ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง – ตอนที่ 439 สายสัมพันธ์พี่น้อง (1)

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่439 สายสัมพันธ์พี่น้อง (1)

ตอนที่439 สายสัมพันธ์พี่น้อง (1)

ย้อนกลับไปตอนนั้น ไป๋ปิงเป็นสาวงามที่รู้จักกันดีในนาม หนอนหนังสือ อันเนื่องมาจากนิสัยที่ชอบเก็บตัวอยู่แต่กับหน้าหนังสือโอสถ เป็นหญิงผู้มีน้ำใจและเปี่ยมไปด้วยเมตตา ทว่าในปัจจุบัน แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อย ผมเผ้าก็กะเซอะกะเซิงเดินไปไหนมาไหนโดยไม่สนใจสายตาใคร ราวกับคนเป็นโรคประสาทก็ไม่มีผิด

“ข้ากลายมาเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไรงั้นรึ? ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณเจ้าไง! หากไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวและงี่เง่าของเจ้าในตอนนั้น มีหรือที่จือหยวนจะอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายได้ยังไง?! ข้าหรือจะอยู่สภาพเช่นนี้?!!”

สายตาที่จับจ้องของไป๋ปิงยิ่งทวีความเกลียดชังเข้มข้นมากขึ้น

ได้ยินแบบนั้น หยุนซีถึงกับหน้าถอดสีซีดเผือดให้ทันใด คำพูดแต่ละคำของไป๋ปิงประหนึ่งคมมีดที่ทิ่มแทงจิตใจบาดลึกระทม

“ข้าเองก็รู้สึกเสียใจจริงๆกับสิ่งที่ทำลงไปวันนั้น และตลอดที่ผ่านมานับสิบปี ข้าก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยจือหยวนให้ฟื้นกลับคืนมา!”

หยุนซีกล่าวตอบไปคำหนึ่ง ใบหน้าซีดเซียวดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่

ไป๋ปิงสูดไอเย็นเข้าแช่มลึก กล่าวประชดประชันเจือเสียงขำขันขึ้นว่า

“เสียใจ? รู้สึกเสียใจตอนนี้มันช่วยแก้ไขอะไรได้ล่ะ?”

หยุนซีขบริมฝีปากแน่น จับจ้องไปที่ไป๋ปิงและเอ่ยขึ้นไม่นานจากนั้นอีกว่า

“ทำเช่นไรเจ้าถึงจะยอมมอบยอดบัวสมุทรแก่ข้า?”

ไป๋ปิงเค้นเสียงหัวเราะเย้ยยันคำหนึ่ง เหล่มองหยุนซีด้วยความรังเกียจก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“ให้ข้าใช้กระบี่เล่มนี้แทงทะลุขั้วหัวใจของเจ้า ยามนั้นจึงค่อยมอบยอดบัวสมุทรให้!”

ทันทีที่ได้ยิน นัยน์ตาหยุนซีสั่นไสววูบหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง และเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า

“ตกลง!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ….”

ไป่ปิงแหงนหน้ามองฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง กล่าวขึ้นอย่างสาแก่ใจว่า

“หยุนซีหนอหยุนซี เจ้าตายเพื่อจือหยวนได้จริงๆ แต่ไฉนถึงไม่เป็นแบบนี้ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเกิดขึ้น!?”

กล่าวจบ ร่างของไป๋ปิงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ปราดไสวพุ่งเข้าหยุดอยู่ต่อหน้าหยุนซีด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง

หยุนซียืนอยู่แบบนั้นไม่มีทีท่าขยับเขยื้อนใดๆ

เซียถงที่เฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ของหยุนซีเลยสักนิด จึงเร่งทะยานเหินขึ้นไปยังจุดนั้น พร้อมอัญเชิญกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเรียกขึ้นมือโดยไว ขณะเดียวกัน คมกระบี่เล่มสีน้ำเงินครามก็ยกขึ้นทะลุจ่อบริเวณหน้าอกซ้ายของหยุนซีไว้เรียบร้อย ชั่วพริบตาขณะ คมกระบี่ของไป๋ปิงที่ยกขึ้นแทงสุดกำลัง กล่าวได้ว่าทั้งรุนแรงและรวดเร็วอย่างยิ่ง หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ จะต้องมีหนึ่งชีวิตที่ต้องดับดิ้นทันทีโดยไม่ต้องสงสัย

‘แคร่ง!!’

สองกระบี่ปะทะชนกัน ก่อเกิดประกายไฟลุกโชนสาดกระเด็นไปทั่วสารทิศ ทั้งเซียถงและไป๋ปิงต่างไม่มีใครยอมใคร เร่งโถมพลังลมลมปราณผลักใส่กันไปมาจนร่างสั่นเทิ้ม ใต้ล่างแผ่นกระเบื้องเท้าหลังของพวกนางที่ฝืนยืนหยัดแตกร้าวเป็นสายนับไม่ถ้วนราวกับใยแมงมุม

ไป๋ปิงพยายามทรงตัวให้มั่นคงที่สุด ผลักดันคมกระบี่ตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ปั้นหน้าบึ้งใส่เซียถงไปทีหนึ่ง ก่อนจะชำเลืองหาหยุนซีและกล่าววาจาหยามเหยียดขึ้นว่า

“หยุนซี! ข้าทราบ เพราะเจ้ารู้ตัวดีว่า ที่ผ่านมาตนเองนั้นเห็นแก่ตัวและงี่เง่าปานใด! มีใครที่รู้จักเจ้าดีไปกว่าข้าอีก? และด้วยความรู้สึกผิดนี้เอง ก็เลยทำให้เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะหลบคมกระบี่ของข้า ถึงยอมตายทั้งที่ไม่สนอะไรสิ้น หวังจะชำระล้างความผิดภายในใจได้ ช่างน่าสมเพชสิ้นดี! ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อจือหยวนนี่มันอ่อนแอจริงๆ!”

“ท่านกับอาจารย์หยุนซีต่างก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ! ไฉนถึงต้องฆ่าแกงกันให้ตาย? เช่นนั้นตอบข้าหน่อย ฆ่านางทิ้งไปแล้วมันช่วยให้จือหยวนฟื้นคืนกลับมาได้หรือไม่?!”

เซียถงมิอาจปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ จึงเอ่ยถามไป๋ปิงที่อยู่ต่อหน้าหวังเรียกสติ

แต่จู่ๆหยุนซีก็ยกมือขึ้นผลักร่างของเซียถงออกไป และกล่าวขึ้นว่า

“เซียถง ออกไปเถอะ นี่เป็นเรื่องระหว่างเรา เจ้าไม่เกี่ยว”

นางถูกผลักออกไปอยู่ด้านหนึ่ง จับจ้องหยุนซีเขม็งเปี่ยมแววเป็นกังวล และเอ่ยขึ้นว่า

“อาจารย์! ไม่เห็นหรือว่าไป๋ปิงต้องการจะเอาชีวิตท่าน! แล้วท่านก็ยังยืนรับกระบี่ทั้งแบบนี้?!”

“สาวน้อย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าขอแค่ชีวิตนังสารเลวนี่เท่านั้น!”

ไป๋ปิงแผดเสียงเย็นเยียบเล็ดลอดจากซี่ฟันที่กัดแน่น สีหน้าฉาบคลุมจิตสังหารอาฆาต เสมือนกับต้องการกลืนกินหยุนซีเข้าไปทั้งเป็น

หยุนซีมองหญิงสาวตรงหน้า ร่องรอยความขื่นขมระทมใจฉายปรากฏขึ้นผ่านใบหน้าอันงดงามของนาง และเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วอ่อนดังว่า

“ข้ารู้สึกเสียใจเสมอมากับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ตอนที่ยังเด็ก ตัวข้าทั้งงี่เง่าและไร้แกนสาระ คิดแต่จะอาศัยพึ่งพารูปโฉมและทักษะด้านพิษ รังแกคนอื่นตามใจชอบ ทำตัวหยิ่งผยองอวดดีไม่ฟังใคร และข้าก็ทราบ ตัวเจ้านั้นรังเกียจข้าปาดใด เพราะเช่นนี้ถึงได้ยอมเข้ารับคมกระบี่ของเจ้า หวังจากนี้ ความเกลียดชังต่อตัวข้าภายในใจเจ้าจะมลายหายไป และกลับมาเป็นไป๋ปิงที่ข้ารู้จักอีกครั้ง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! แน่นอน! ความเกลียดชังที่อัดแน่นอยู่ในใจของข้าย่อมมลายสิ้นสูญ!”

ไป๋ปิงระเบิดหัวเราะด้วยความสะใจ

หยุนซีพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี เซียถงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยขึ้น

“อาจารย์…”

หยุนซีหาได้สนใจไม่ นางส่ายหัวและกล่าวแทรกขัดจังหวะขึ้นว่า

“หนี้บางอย่างกลับมิอาจชำระได้ด้วยเงิน นี่เป็นความตายที่ข้าสมควรได้รับแล้ว”

จากนั้นก็เหลียวกลับมองที่ไป๋ปิงอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความโหยหาอาลัย และกล่าวอีกว่า

“ปิงเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้หรอกว่า ตอนนั้นเจ้างดงามปานใด ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองที่ทำให้เจ้ากลายมาเป็นเฉกเช่นนี้ ข้านี่มัน…เป็นพี่สาวที่ไม่ได้ความเลยจริงๆ ถึงทำให้น้องตัวเองเสียคนกลายเป็นบ้า…”

“หุบปากสกปรกของเจ้าได้แล้ว!

สีหน้าไป๋ปิงยิ่งทวีความเกลียดชังจัดจ้านชัดแจ้ง ทั่วร่างกายาระเบิดกระแสลมปราณหอบใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ทั้งตัวยามนี้ฉาบคลุมไปด้วยแสงสีม่วงประกายเทาระยิบระยับ นางยกคมกระบี่ขึ้นจ่อใส่ทางหยุนซีอีกครั้ง ประดุจเตรียมลงดาบประหาร

เซียถงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเคลื่อนขยับเล็กน้อย แทบจะในทันใด นางเตรียมจะปราดพุ่งเข้าขวางหน้าหยุนซี แต่เสี้ยวพริบตานั้น กลับเป็นฝ่ายหยุนซีเสียเองที่ตบฝ่ามือขึ้นอัดใส่หน้าอกของเซียถงจนปลิวกระเด็น พร้อมกู่ร้องตะโกนลั่นว่า

“อย่าเข้ามายุ่ง! นี่เป็นเรื่องระหว่างพี่น้อง!”

คลื่นกระแทกลมปราณท่วมท้นเข้าปะทะโจมตีอย่างจัง ร่างของเซียถงกู่ถอยออกไปหลายสิบก้าว แผ่นกระเบื้องใต้ฝ่าเท้าถูกกวาดล้างกระจัดกระจายลากเป็นเส้นยาว นางเร่งระดมกระแสลมปราณสุดขั้วควบแน่นไปยังเท้าทั้งสองข้าง เพื่อต้านรับมิให้ถูกผลักไปไกลกว่านี้

หยุนซียืนตระหง่าน ณ จุดเดิมไม่แปรเปลี่ยน เฝ้ามองน้องสาวของนางกำลังยกคมกระบี่ขึ้นทิ่มแทงใส่ด้วยความเกลียดชัง ชั่วพริบตานั้นเอง ภาพความทรงจำเก่าๆที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็ฉายปรากฏขึ้นในหัวของนาง

ในอดีต ระหว่างเราสองพี่น้องช่างสนิทสนมกันดีจริงๆ เราจับมือไปเที่ยวงานเทศกาลในเมืองด้วยกัน ไปยืนรอเพื่อชมดอกไม้ไฟด้วยกัน และข้ายังจำได้ดี ตอนที่ดอกไม้ไฟระเบิดไปทั่วท้องฟ้ายามรัตติกาล น้องสาวของข้าก็ส่งเสียงกรี๊ดไม่หยุดเพราะตกใจ

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด…ที่ไม่เคยได้ยินเจ้าเรียกข้าว่า พี่สาว อีกต่อไปเลย

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด…ที่เจ้ามองข้าแตกต่างออกไปจากเดิม

และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด…ที่เราสองพี่น้องเป็นศัตรูกัน

สายสัมพันธ์พี่น้องระหว่างเราสอง มันขาดสะบั้นจบกันตอนที่ข้าอายุยี่สิบปี ในตอนนั้น นางตอบปฏิเสธคำสารภาพรักของจือหยวน และสั่งให้อีกฝ่ายดื่มยาพิษเพื่อพิสูจน์ความรักที่มีให้ ในเวลานี้ไป๋ปิงก็หันคมกระบี่เข้าห้ำหั่นกับนางในทันใด

ณ เวลานั้น ทั้งสองพี่น้องต่อสู้สัประยุทธ์เดือดกันนานถึงสามวันสามคืนเต็ม และจบลงโดยที่เป็นฝ่ายหยุนซีคว้าชัยชนะ ซึ่งนางเองก็เกือบฆ่าน้องสาวตัวเองตายเพราะบันดาลโทสะ

จากวันนั้น ความรู้สึกของไป๋ปิงที่มีต่อหยุนซีก็กลายเป็นความด้านชา หาได้ใส่ใจเป็นห่วงใดๆอีกเลย

สองพี่น้องไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลยนับแต่นั้น หยุนซีเองไม่ได้พบน้องสาวตัวเองมาเกือบห้าปีเต็ม จะได้ยินจากคนอื่นๆก็เพียงว่า นางในปัจจุบันบรรลุเซียนโอสถแล้ว และกลายมาเป็นนักหลอมโอสถที่มีชื่อเสียงกระช่อนไปทั่วทวีปเทียนหลาง

นับแต่วันที่จือหยวนอยู่ในสภาพครึ่งเป็นตาย มีวันหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน จู่ๆไป๋ปิงก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหยุนซีอีกครั้ง และคราวนั้นที่ได้เห็นหน้ากันก็พึงทราบ น้องสาวคนนี้ของนางเติบโตขึ้นและเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว อีกฝ่ายหาใช่สาวน้อยไร้เดียงสาคนเดิมอีกต่อไป สีหน้าแววตาของนางช่างเย็นชาและอ้างว้าง กลายเป็นคนแปลกหน้าห่างไกลกันเสียแล้ว

เพื่อแย่งชิงร่างกึ่งเป็นกึ่งตายของจือหยวน พวกนางในเวลานั้นได้เปิดฉากสัประยุทธ์อย่างดุเดือดเป็นคำรบสอง

และยังคงเป็นไป๋ปิงที่ประสบความล้มเหลว

จวบจนตอนนี้ ก็เวลาสิบปีเต็มแล้วที่สองพี่น้องมีอันต้องแตกหักกัน

ย้อนกลับไปตอนนั้น ไป๋ปิงเป็นสาวงามที่รู้จักกันดีในนาม หนอนหนังสือ อันเนื่องมาจากนิสัยที่ชอบเก็บตัวอยู่แต่กับหน้าหนังสือโอสถ เป็นหญิงผู้มีน้ำใจและเปี่ยมไปด้วยเมตตา ทว่าในปัจจุบัน แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อย ผมเผ้าก็กะเซอะกะเซิงเดินไปไหนมาไหนโดยไม่สนใจสายตาใคร ราวกับคนเป็นโรคประสาทก็ไม่มีผิด

“ข้ากลายมาเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไรงั้นรึ? ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณเจ้าไง! หากไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวและงี่เง่าของเจ้าในตอนนั้น มีหรือที่จือหยวนจะอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายได้ยังไง?! ข้าหรือจะอยู่สภาพเช่นนี้?!!”

สายตาที่จับจ้องของไป๋ปิงยิ่งทวีความเกลียดชังเข้มข้นมากขึ้น

ได้ยินแบบนั้น หยุนซีถึงกับหน้าถอดสีซีดเผือดให้ทันใด คำพูดแต่ละคำของไป๋ปิงประหนึ่งคมมีดที่ทิ่มแทงจิตใจบาดลึกระทม

“ข้าเองก็รู้สึกเสียใจจริงๆกับสิ่งที่ทำลงไปวันนั้น และตลอดที่ผ่านมานับสิบปี ข้าก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยจือหยวนให้ฟื้นกลับคืนมา!”

หยุนซีกล่าวตอบไปคำหนึ่ง ใบหน้าซีดเซียวดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่

ไป๋ปิงสูดไอเย็นเข้าแช่มลึก กล่าวประชดประชันเจือเสียงขำขันขึ้นว่า

“เสียใจ? รู้สึกเสียใจตอนนี้มันช่วยแก้ไขอะไรได้ล่ะ?”

หยุนซีขบริมฝีปากแน่น จับจ้องไปที่ไป๋ปิงและเอ่ยขึ้นไม่นานจากนั้นอีกว่า

“ทำเช่นไรเจ้าถึงจะยอมมอบยอดบัวสมุทรแก่ข้า?”

ไป๋ปิงเค้นเสียงหัวเราะเย้ยยันคำหนึ่ง เหล่มองหยุนซีด้วยความรังเกียจก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“ให้ข้าใช้กระบี่เล่มนี้แทงทะลุขั้วหัวใจของเจ้า ยามนั้นจึงค่อยมอบยอดบัวสมุทรให้!”

ทันทีที่ได้ยิน นัยน์ตาหยุนซีสั่นไสววูบหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง และเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า

“ตกลง!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ….”

ไป่ปิงแหงนหน้ามองฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง กล่าวขึ้นอย่างสาแก่ใจว่า

“หยุนซีหนอหยุนซี เจ้าตายเพื่อจือหยวนได้จริงๆ แต่ไฉนถึงไม่เป็นแบบนี้ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเกิดขึ้น!?”

กล่าวจบ ร่างของไป๋ปิงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ปราดไสวพุ่งเข้าหยุดอยู่ต่อหน้าหยุนซีด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง

หยุนซียืนอยู่แบบนั้นไม่มีทีท่าขยับเขยื้อนใดๆ

เซียถงที่เฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ของหยุนซีเลยสักนิด จึงเร่งทะยานเหินขึ้นไปยังจุดนั้น พร้อมอัญเชิญกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเรียกขึ้นมือโดยไว ขณะเดียวกัน คมกระบี่เล่มสีน้ำเงินครามก็ยกขึ้นทะลุจ่อบริเวณหน้าอกซ้ายของหยุนซีไว้เรียบร้อย ชั่วพริบตาขณะ คมกระบี่ของไป๋ปิงที่ยกขึ้นแทงสุดกำลัง กล่าวได้ว่าทั้งรุนแรงและรวดเร็วอย่างยิ่ง หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ จะต้องมีหนึ่งชีวิตที่ต้องดับดิ้นทันทีโดยไม่ต้องสงสัย

‘แคร่ง!!’

สองกระบี่ปะทะชนกัน ก่อเกิดประกายไฟลุกโชนสาดกระเด็นไปทั่วสารทิศ ทั้งเซียถงและไป๋ปิงต่างไม่มีใครยอมใคร เร่งโถมพลังลมลมปราณผลักใส่กันไปมาจนร่างสั่นเทิ้ม ใต้ล่างแผ่นกระเบื้องเท้าหลังของพวกนางที่ฝืนยืนหยัดแตกร้าวเป็นสายนับไม่ถ้วนราวกับใยแมงมุม

ไป๋ปิงพยายามทรงตัวให้มั่นคงที่สุด ผลักดันคมกระบี่ตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ปั้นหน้าบึ้งใส่เซียถงไปทีหนึ่ง ก่อนจะชำเลืองหาหยุนซีและกล่าววาจาหยามเหยียดขึ้นว่า

“หยุนซี! ข้าทราบ เพราะเจ้ารู้ตัวดีว่า ที่ผ่านมาตนเองนั้นเห็นแก่ตัวและงี่เง่าปานใด! มีใครที่รู้จักเจ้าดีไปกว่าข้าอีก? และด้วยความรู้สึกผิดนี้เอง ก็เลยทำให้เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะหลบคมกระบี่ของข้า ถึงยอมตายทั้งที่ไม่สนอะไรสิ้น หวังจะชำระล้างความผิดภายในใจได้ ช่างน่าสมเพชสิ้นดี! ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อจือหยวนนี่มันอ่อนแอจริงๆ!”

“ท่านกับอาจารย์หยุนซีต่างก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ! ไฉนถึงต้องฆ่าแกงกันให้ตาย? เช่นนั้นตอบข้าหน่อย ฆ่านางทิ้งไปแล้วมันช่วยให้จือหยวนฟื้นคืนกลับมาได้หรือไม่?!”

เซียถงมิอาจปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ จึงเอ่ยถามไป๋ปิงที่อยู่ต่อหน้าหวังเรียกสติ

แต่จู่ๆหยุนซีก็ยกมือขึ้นผลักร่างของเซียถงออกไป และกล่าวขึ้นว่า

“เซียถง ออกไปเถอะ นี่เป็นเรื่องระหว่างเรา เจ้าไม่เกี่ยว”

นางถูกผลักออกไปอยู่ด้านหนึ่ง จับจ้องหยุนซีเขม็งเปี่ยมแววเป็นกังวล และเอ่ยขึ้นว่า

“อาจารย์! ไม่เห็นหรือว่าไป๋ปิงต้องการจะเอาชีวิตท่าน! แล้วท่านก็ยังยืนรับกระบี่ทั้งแบบนี้?!”

“สาวน้อย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าขอแค่ชีวิตนังสารเลวนี่เท่านั้น!”

ไป๋ปิงแผดเสียงเย็นเยียบเล็ดลอดจากซี่ฟันที่กัดแน่น สีหน้าฉาบคลุมจิตสังหารอาฆาต เสมือนกับต้องการกลืนกินหยุนซีเข้าไปทั้งเป็น

หยุนซีมองหญิงสาวตรงหน้า ร่องรอยความขื่นขมระทมใจฉายปรากฏขึ้นผ่านใบหน้าอันงดงามของนาง และเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วอ่อนดังว่า

“ข้ารู้สึกเสียใจเสมอมากับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ตอนที่ยังเด็ก ตัวข้าทั้งงี่เง่าและไร้แกนสาระ คิดแต่จะอาศัยพึ่งพารูปโฉมและทักษะด้านพิษ รังแกคนอื่นตามใจชอบ ทำตัวหยิ่งผยองอวดดีไม่ฟังใคร และข้าก็ทราบ ตัวเจ้านั้นรังเกียจข้าปาดใด เพราะเช่นนี้ถึงได้ยอมเข้ารับคมกระบี่ของเจ้า หวังจากนี้ ความเกลียดชังต่อตัวข้าภายในใจเจ้าจะมลายหายไป และกลับมาเป็นไป๋ปิงที่ข้ารู้จักอีกครั้ง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! แน่นอน! ความเกลียดชังที่อัดแน่นอยู่ในใจของข้าย่อมมลายสิ้นสูญ!”

ไป๋ปิงระเบิดหัวเราะด้วยความสะใจ

หยุนซีพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี เซียถงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยขึ้น

“อาจารย์…”

หยุนซีหาได้สนใจไม่ นางส่ายหัวและกล่าวแทรกขัดจังหวะขึ้นว่า

“หนี้บางอย่างกลับมิอาจชำระได้ด้วยเงิน นี่เป็นความตายที่ข้าสมควรได้รับแล้ว”

จากนั้นก็เหลียวกลับมองที่ไป๋ปิงอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความโหยหาอาลัย และกล่าวอีกว่า

“ปิงเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้หรอกว่า ตอนนั้นเจ้างดงามปานใด ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองที่ทำให้เจ้ากลายมาเป็นเฉกเช่นนี้ ข้านี่มัน…เป็นพี่สาวที่ไม่ได้ความเลยจริงๆ ถึงทำให้น้องตัวเองเสียคนกลายเป็นบ้า…”

“หุบปากสกปรกของเจ้าได้แล้ว!

สีหน้าไป๋ปิงยิ่งทวีความเกลียดชังจัดจ้านชัดแจ้ง ทั่วร่างกายาระเบิดกระแสลมปราณหอบใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ทั้งตัวยามนี้ฉาบคลุมไปด้วยแสงสีม่วงประกายเทาระยิบระยับ นางยกคมกระบี่ขึ้นจ่อใส่ทางหยุนซีอีกครั้ง ประดุจเตรียมลงดาบประหาร

เซียถงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเคลื่อนขยับเล็กน้อย แทบจะในทันใด นางเตรียมจะปราดพุ่งเข้าขวางหน้าหยุนซี แต่เสี้ยวพริบตานั้น กลับเป็นฝ่ายหยุนซีเสียเองที่ตบฝ่ามือขึ้นอัดใส่หน้าอกของเซียถงจนปลิวกระเด็น พร้อมกู่ร้องตะโกนลั่นว่า

“อย่าเข้ามายุ่ง! นี่เป็นเรื่องระหว่างพี่น้อง!”

คลื่นกระแทกลมปราณท่วมท้นเข้าปะทะโจมตีอย่างจัง ร่างของเซียถงกู่ถอยออกไปหลายสิบก้าว แผ่นกระเบื้องใต้ฝ่าเท้าถูกกวาดล้างกระจัดกระจายลากเป็นเส้นยาว นางเร่งระดมกระแสลมปราณสุดขั้วควบแน่นไปยังเท้าทั้งสองข้าง เพื่อต้านรับมิให้ถูกผลักไปไกลกว่านี้

หยุนซียืนตระหง่าน ณ จุดเดิมไม่แปรเปลี่ยน เฝ้ามองน้องสาวของนางกำลังยกคมกระบี่ขึ้นทิ่มแทงใส่ด้วยความเกลียดชัง ชั่วพริบตานั้นเอง ภาพความทรงจำเก่าๆที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็ฉายปรากฏขึ้นในหัวของนาง

ในอดีต ระหว่างเราสองพี่น้องช่างสนิทสนมกันดีจริงๆ เราจับมือไปเที่ยวงานเทศกาลในเมืองด้วยกัน ไปยืนรอเพื่อชมดอกไม้ไฟด้วยกัน และข้ายังจำได้ดี ตอนที่ดอกไม้ไฟระเบิดไปทั่วท้องฟ้ายามรัตติกาล น้องสาวของข้าก็ส่งเสียงกรี๊ดไม่หยุดเพราะตกใจ

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด…ที่ไม่เคยได้ยินเจ้าเรียกข้าว่า พี่สาว อีกต่อไปเลย

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด…ที่เจ้ามองข้าแตกต่างออกไปจากเดิม

และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด…ที่เราสองพี่น้องเป็นศัตรูกัน

สายสัมพันธ์พี่น้องระหว่างเราสอง มันขาดสะบั้นจบกันตอนที่ข้าอายุยี่สิบปี ในตอนนั้น นางตอบปฏิเสธคำสารภาพรักของจือหยวน และสั่งให้อีกฝ่ายดื่มยาพิษเพื่อพิสูจน์ความรักที่มีให้ ในเวลานี้ไป๋ปิงก็หันคมกระบี่เข้าห้ำหั่นกับนางในทันใด

ณ เวลานั้น ทั้งสองพี่น้องต่อสู้สัประยุทธ์เดือดกันนานถึงสามวันสามคืนเต็ม และจบลงโดยที่เป็นฝ่ายหยุนซีคว้าชัยชนะ ซึ่งนางเองก็เกือบฆ่าน้องสาวตัวเองตายเพราะบันดาลโทสะ

จากวันนั้น ความรู้สึกของไป๋ปิงที่มีต่อหยุนซีก็กลายเป็นความด้านชา หาได้ใส่ใจเป็นห่วงใดๆอีกเลย

สองพี่น้องไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลยนับแต่นั้น หยุนซีเองไม่ได้พบน้องสาวตัวเองมาเกือบห้าปีเต็ม จะได้ยินจากคนอื่นๆก็เพียงว่า นางในปัจจุบันบรรลุเซียนโอสถแล้ว และกลายมาเป็นนักหลอมโอสถที่มีชื่อเสียงกระช่อนไปทั่วทวีปเทียนหลาง

นับแต่วันที่จือหยวนอยู่ในสภาพครึ่งเป็นตาย มีวันหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน จู่ๆไป๋ปิงก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหยุนซีอีกครั้ง และคราวนั้นที่ได้เห็นหน้ากันก็พึงทราบ น้องสาวคนนี้ของนางเติบโตขึ้นและเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว อีกฝ่ายหาใช่สาวน้อยไร้เดียงสาคนเดิมอีกต่อไป สีหน้าแววตาของนางช่างเย็นชาและอ้างว้าง กลายเป็นคนแปลกหน้าห่างไกลกันเสียแล้ว

เพื่อแย่งชิงร่างกึ่งเป็นกึ่งตายของจือหยวน พวกนางในเวลานั้นได้เปิดฉากสัประยุทธ์อย่างดุเดือดเป็นคำรบสอง

และยังคงเป็นไป๋ปิงที่ประสบความล้มเหลว

จวบจนตอนนี้ ก็เวลาสิบปีเต็มแล้วที่สองพี่น้องมีอันต้องแตกหักกัน

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

Status: Ongoing
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยโฉมหน้าอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!เธอคือนักฆ่ามือวางอันดับหนึ่งแห่งยุค2018 แต่กลับถูกคนที่รักและไว้ใจที่สุดซ้อนแผนและสังหารเธอทิ้งในระหว่างภารกิจหนึ่ง ส่งผลให้วิญญาณของเธอทะลุมิติไปยังโลกอื่น! ซึ่งนางคนนี้เป็นคุณหนูสายตรงแห่งจวนเสนาบดี ใบหน้าช่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทว่ากลับมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่ง!ในท้ายที่สุดนางได้เสียชีวิตลงเพื่อช่วยชีวิตชายที่นางรักสุดหัวใจ และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วิญญาณนักฆ่าสาวสลับเข้าร่าง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความงดงามดั่งบุปผาซ่อนพิษซึ่งเป็นจุดเด่นของเธอได้หายไป! โลกทั้งใบที่เคยรู้จักกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! ใบหน้าอัปลักษณ์? จุดตันเถียนถูกทำลายจนกลายมาเป็นสตรีพิการบ่มเพาะพลังไม่ได้? เจ้าของร่างเก่าถูกสังหารทิ้งโดยไม่มีผู้ใดไยดี? แต่ไม่เป็นไร ทั้งทักษะการฆ่าและจิตใจของเธออันไร้เมตตายังคงอยู่ เรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของแม่เลี้ยงกับบุตรสาวของฮูหยินรอง? ได้! ได้เลย! ทุกคนไม่ว่าใครหน้าไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้แน่แท้! ควบคุมหมื่นอสูร หลอมกลั่นโอสถ ตียุทธ์ภัณฑ์สร้างสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่สวรรค์ยังต้องก้มกราบข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท