ตอนที่467 แผนร้ายขององค์รัชทายาท (1)
ตอนที่467 แผนร้ายขององค์รัชทายาท (1)
ได้สติอีกครั้ง เฟยเหล่ยตื่นขึ้นมาในสถานที่แปลกตาไม่รู้จักเหมือนกับว่าเป็นห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง โดยรอบได้ยินเสียงกระแสน้ำพัดผ่าน ฟื้นสติเต็มตื่นแล้วก็จริง ทว่ามือไม้กลับไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย อึดใจต่อมา มันหวนย้อนกลับไปนึกถึง ใบหน้าของหญิงสาวรูปงามล่มเมืองที่แสนเลือดเย็น พร้อมชื่อของนางประหนึ่งสายฟ้าฟาดผ่ากลางจิตใจ!
“ซะ-เซียถง!!”
เฟยเหล่ยจิตหลอนแทบวิปลาสทันทีที่นึกถึงชื่อนี้ เหล่าลูกน้องผู้ใต้บัญชาของมันทั้งหลายเป็นถึงนายทหารมือดี ล้วนถูกนางล่าเสียบสังหารทิ้งไม่เหลือราวกับเศษหินเศษกรวดข้างทาง คนนับสิบต้องตายโดยไม่ทันได้ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ!
“ละ-แล้วข้า…แล้วข้ายังมีชีวิตอยู่? หรือ…หรือตายไปแล้วกัน?”
เฟยเหล่ยรีบเอื้อมมือขึ้นแตะคอตัวเองโดยไว เพราะมันยังจำได้แม่น หลังจากที่เซียถงล้างบางทุกคนเสร็จสรรพ เป้าหมายต่อไปก็คือตัวมัน และบางทีมันอาจถูกสะบั้นศีรษะหลุดจากบ่าฉับพลันไปแล้ว แต่ตายไม่รู้ตัวก็เป็นได้
เสี้ยวอึดใจต่อมา ก็มีสุ้มเสียงแสนหนาวเหน็บเปล่งเบาออกมา ประหนึ่งหลุดลอยมาจากขุมนรกอเวจีชั้นลึกสุด
“ตอนนี้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากนี้กลับไม่แน่เช่นกัน!”
เสียงนี้เปล่งดัง เคียงคู่ไปกับแสงไฟสว่างไสวที่สาดเข้าใส่ บรรยากาศโดยรอบจากหม่นมิดกลายเป็นสว่างเจิดจ้าในทันใด!
เฟยเหล่ยตกตะลึงยิ่งยวด เพียงค้นพบได้ว่าตนกำลังถูกขังอยู่ในห้องโดยสารใต้ท้องเรือ และเบื้องหน้าของเขาในขณะนี้ก็หาใช่ใครอื่นนอกเสียจากเซียถงในชุดนักฆ่าสีดำ นางยกมือส่งสัญญาณขึ้นรเล็กน้อย ก็มีคบเพลิงไฟส่องสว่างรอบตัวทันควัน!
ทันทีที่เห็นเซียถง เฟยเหม่ยตื่นผวาขวัญเสียหนัก ไยสายตาคู่นั้นของนางถึงได้มืดหม่นและเย็นชาถึงปานนี้ ราวกับว่านางเป็นปีศาจก็ไม่ผิด!
เซียถงยกมือข้างซ้ายขึ้นมาเล็กน้อย บนฝ่ามือปรากฏกลุ่มเพลิงสีทองพิสุทธิ์ขึ้นระลอกหนึ่ง แสงไสวแพร่งพรายดุจเริงระบำ เสียงเผาไหม้ดังซี่ๆไม่มีหยุด
โม่ซวนวางมือพิงพักอยู่บนด้ามกระบี่คาดเอว ยืนปิดเงียบไม่ส่งเสียงใดๆอยู่ประตูทางเข้าห้องโดยสารแห่งนี้ เขากำลังเฝ้ามองเฟยเหล่ยด้วยสีหน้าแววตาปราศจากความรู้สึก หรือกล่าวให้ถูกก็คือ ราวกับเขากำลังเฝ้าดูคนใกล้ตาย
เฟยเหล่ยตระหนักชัดแจ้งดีว่า หญิงสาวนางนี้ที่ชื่อเซียถง ไม่เพียงขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ แต่ยังเป็นถึงพระชายาเอกของท่านราชาหมาป่าสวรรค์ในตำนานผู้นั้น ซึ่งชื่อเสียงลือเลื่องของท่านราชาหมาป่าสวรรค์ผู้นั้น กลับไม่ต้องสาธยายให้เสียเวลาเปล่า เขาเป็นที่รู้จักและหวั่นเกรงของทุกคนทั่วทั้งทวีปเทียนหลางแห่งนี้
อย่างไรเสีย ในเวลานี้แค่ต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายหญิง ก็ทำให้ชายอันธพาลร่างกำยำสูงคนนี้ต้องหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นผับๆแล้ว!
“องค์ราชินี! องค์ราชินีโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด! ข้าผู้ต่ำต้อยมีตาหามีแววไม่ ได้โปรด…”
เซียถงเบือนหน้าเล็กน้อยอย่างหมดความอดทน กล่าวแทรกจังหวะตัดบทสวนในคราวเดียว
“ข้าถามเจ้าตอบ!”
“ขอรับ! ขอรับ! ได้เลยขอรับ!!”
“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า เฉียนอวิ๋งกลายมาเป็นนักโทษนอนคุก? นี่เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่?”
ได้ยินแบบนั้น เฟยเหล่ยตกใจอย่างมาก แววความกังวลโฉบแวบแล่นผ่านอยู่ในดวงตา กลืนน้ำลายฮึกหนึ่งลงคอที่แสนแห้งฝืด ชั่วพริบตานั้น มันแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาด หากคนพวกนั้นรู้เรื่องนี้ขึ้นมาจากเป็นเช่นไรกัน? ตาย! ตาย! ตายสถานเดียวแน่นอน!
“องค์ราชินี โปรดไว้ชีวิตผู้ต่ำต้อย! เรื่องนี้…เรื่องนี้ผู้ต่ำต้อยไม่กล้าเอ่ยกล่าว! โปรดยกโทษให้ด้วยเถิด!!”
เฟยเหล่ยจะหาญกล้าปากสว่างไปมากกว่านี้ได้เยี่ยงไร เรื่องที่ว่าเป็นความลับสุดยอดของจักรวรรดิตะวันตก หากวันนี้เขาต้องปริปากพูดออกมาจริงๆ ต่อให้เซียถงไว้ชีวิตมันไป แต่หลังจากนี้ตัวมันคงไม่รอดอยู่ดี!
“ขนาดนั้นเชียว?”
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปริปากพูด เซียถงก็แสยะยิ้มเร้นประกายเจ้าเล่ห์
โม่ซวนเอ่ยขัดจังหวะขึ้นว่า
“นายหญิง เรื่องเค้นความลับเชลยแบบนี้ ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าน้อยจะดีกว่า”
เขาติดตามราชาหมาป่าสวรรค์มาก็เนิ่นนานแล้ว และในบรรดาองครักษ์หน่วยเงาทั้งหมด ทักษะการรีดเค้นความลับของเขาก็จัดอยู่ในระดับแนวหน้าคนหนึ่ง
แต่เซียถงกลับโบกมือขึ้นหยุดโม่ซวนเอาไว้ และค่อยๆเดินเข้าไปนั่งยองอยู่ต่อหน้าเฟยเหล่ย กระดิกเรียวนิ้วยาวขึ้นเชยคางอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึง อาการสั่นสะท้านรุนแรงตั้งแต่ปลายเท้ายันลูกกระเดือกของชายตรงหน้า
นางยิ้มกว้างและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจ สุนัขรับใช้ที่ดีย่อมไม่คายความลับเจ้าของโดยง่าย ข้าเองก็อยากรู้ สุนัขตัวนี้จะทนได้เสียกี่น้ำ แต่เรื่องใช้กำลังทุบตีคงขอผ่าน ข้าหาใช่พวกหัวรุนแรงเท่าไหร่ หุหุ!”
ยิ่งน้ำเสียงของนางสงบนิ่งมากเท่าไหร่ เฟยเหล่ยก็ยิ่งหน้าถอดสีหนักขึ้นเท่านั้น ใจดวงนี้ของมันร่วงตกไปยังตาตุ่มทันทีที่ได้ยิน ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่า เรียวนิ้วยาวของนางที่เคยเชยคางของมันอยู่ ในเวลานี้ได้เลื่อนลงมาหยุดลงตรงขั้วหัวใจ
“ทะ-ท่านจะทำอะไร?”
เซียถงหัวเราะคิกคักสนุกสนาน หันหน้าไปถามกับโม่ซวนแทนว่า
“โม่ซวน เจ้ารู้หรือไม่ สิ่งใดเจ็บปวดทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย?”
ทีแรกโม่ซวนฉงนใจไม่น้อย มิอาจทราบได้เลยว่า นายหญิงของเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เพียงครู่หนึ่งถัดมา เขาก็นึกออกทันควัน และกล่าวตอบไปว่า
“พิษกร่อนฤทัย หลังจากพิษชนิดนี้กระจายตัวแทรกซึมไปทั่วร่างกายของผู้รับประทาน จะทำให้คนๆนั้นรู้สึกเจ็บปวดเหนือจินตนาการ กระจายผ่านกล้ามเนื้อ พิษกร่อนกล้ามเนื้อ กระจายผ่านกระดูก พิษกร่อนกระดูก จนท้ายที่สุดพิษเหล่านั้นจะแล่นเข้าสู่หัวใจ สิ่งนี้ไม่สามารถฆ่าใครได้ทันที แต่จะทำให้ตายอย่างช้าๆ…”
วิธีการตายเฉกเช่นนี้นับได้ว่า แค่ฟังก็น่าสะพรึงขวัญแล้ว
“เอ…ขวดนี้หรือเปล่า?”
ฟังโม่ซวนกล่าวจบ เซียถงก็หยิบขวดยาพิษใบจิ๋วจากใต้แขนเสื้อ เขย่ามันเล่นไปมาอยู่ต่อหน้าเฟยเหล่ยเล็กน้อย
สีหน้าของเฟยเหล่ยในเวลานี้ถอดสีซีดเผือดราวกับคนใกล้ตาย ภาพลักษณ์ของแม่ทัพใหญ่อันสง่าราศีไม่มีหลงเหลือกระทั่งร่องรอยใดๆ แม้มันจะเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครั้งไม่ถ้วนจนจิตใจแกร่งกล้าปานใดแล้วก็ตาม แต่เมื่อได้ยินวิธีทรมานเฉกเช่นนี้ ก็ถึงกับใจสั่นสะท้านหนักเกินควบคุม และอดรู้สึกเกลียดตัวเองมิได้ที่เป็นพวกมีตาหามีแววไม่ เล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกับมัจจุราชสตรีนางนี้!
ชั่วอึดใจต่อมา เฟยเหล่ยถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเข็มเงินหลายสิบเล่มที่เซียถงบรรจงหยิบขึ้นมา เตรียมใช้สกัดตามจุดต่างๆบนร่างกายของมัน
“ไฉนหน้าซีดปานนั้น? เพิ่งจะมาอยากตายตอนนี้รึ? มันสายไปแล้ว!”
เซียถงคลี่ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาโม่ซวนอีกครั้งและเอ่ยขึ้นว่า
“อันที่จริง วิธีของเจ้าก็ไม่เลว แต่ข้ามีวิธีที่ทรมานยิ่งไปกว่านั้น!”
“รบกวนนายหญิงช่วยสั่งสอน!”
“ได้เลย! ได้เลย! มีหนูทดลองมาให้ใช้สอนพอดี!”
เซียถงเก็บขวดยาพิษกลับที่เดิมเสร็จสรรพ นิ้วชี้ของนางเลื่อนห่างออกไปจากบริเวณหัวใจประมาณสองนิ้วและจิ้มย้ำจุดดังกล่าวเบาๆ จากนั้นค่อยเงยหน้าอธิบายให้โม่ซวนฟังอย่างเอาจริงเอาจังว่า
“เจ้าเห็นจุดนี้หรือไม่? หากใช้มีดกรีดลงไปแล้ว ถึงไม่สร้างความเจ็บปวดใดๆก็จริงอยู่ แต่มันจะเข้าตัดเส้นเลือดใหญ่ ปล่อยให้น้ำเลือดไหลทะลักลงปอดได้ แล้วลองนึกภาพดูสิ ปอดที่มีน้ำเลือดอยู่ท่วมล้น จะทำให้คนเราหายใจยากลำบากขนาดไหน? กล่าวคือ ทุกครั้งที่พยายามหายใจเข้าไป มันจะให้ความรู้สึกทรมานราวกับคนจมน้ำที่ขาดอากาศ เสมือนตายไปชั่วขณะและก็ตื่นขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความทรมานที่ยังคงอยู่ เป็นวัฏจักรเช่นนี้วนเวียนไปเรื่อยๆไม่รู้จบ จนคิดได้ว่า บางทีความตายอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าไปเลย”
….
รับฟังจากคำบอกเหล่าของอิ๋งเอ๋อร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เซี่ยหลู่เฟิงจึงเอ่ยถามกลับไปว่า
“เจ้าหมายความว่า ระหว่างทางที่ถงเอ๋อร์เดินทางไปที่จักรวรรดิซีฉิน นางบังเอิญช่วยชีวิตฉีหมิงเยว่ได้ทัน?”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ ด้วยความสิ้นหวังในตอนนั้น มันบีบบังคับให้คุณหนูฉีต้องกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แต่โชคยังดีที่องค์ราชินีช่วยชีวิตไว้ได้ทัน มิเช่นนั้น นางคงตายไปแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วย่าเฟิงล่ะ? นางกับย่าเฟิงมักจะตัวติดกันอยู่เสมอมิใช่รึ?”