ตอนที่511 คลื่นวินาศสังหาร (1)
ตอนที่511 คลื่นวินาศสังหาร (1)
หยุนศีปั้นหน้าเครียดจัด ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่น่าจะใช่เซียถง ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายลมปราณของนางคลื่นวินาศสันตะโรนี้ได้เลย”
สักครู่ต่อมา นางครุ่นพินิจใช้ความคิดจริงจัง เริ่มกล่าวรำพึงต่อว่า
“เพราะหากนางอยู่บนนั้นจริง ประการแรก ธรรมชาติของคนเราจะต้องเร่งเร้าพลังลมปราณขึ้นป้องกันตัว และสอง เซียถงไม่มีทางปลดปล่อยลมปราณที่ทรงพลังปานนี้ออกมาได้ ต่อให้สำแดงใช้ไม้ตายก้นหีบนำออกก็ตาม อย่างไรก็เร็วเข้าเถิด! เราต้องรีบไปช่วยเซียถง! ยิ่งนางเป็นคนเดียวที่หลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าได้ด้วยสิ หากมีนางเป็นกำลังการผลิตสำคัญ เตรียมตั้งธุรกิจฟันกำไรก้อนโตได้เลย…”
ประโยคท่อนสุดท้ายเหมือนจะแค่พูดเล่น แต่น้ำเสียงของหยุนซีดูเอาจริงเอาจังอย่างมาก และถึงแม้ระดับเสียงจะแผ่วอ่อนปานใด แต่เหล่านั้นล้วนเข้าหูชิงเยวี่ยทุกวาจาคำ ทำเอาสีหน้าของเขาถึงกับแปรเปลี่ยนไปในทันที ทั้งดูซีดเผือดปนแววสยดสยองอยู่หลายส่วน กระทั่งเวลาเช่นนี้ยังคิดแต่เรื่องเงิน ช่างเป็นผู้หญิงที่อันตรายโดยแท้!
เซียถงไปสนิทกับคนแบบนี้ได้ยังไงกัน?
“ท่านอาจารย์ผู้พี่…”
ต่อเสียงเอ่ยเรียกนี้ หยุนซีสะดุ้งตกใจเฮือกหนึ่ง นางพึงทราบ เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องแอบได้ยินเป็นแน่ ใจถึงกับตกฮวบลงไปยังตาตุ่ม พลางรู้สึกละอายอีกหนึ่งส่วน แต่อย่างไรทั้งหมดก็แค่ชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะไม่สนใจอันใด
นางค่อยๆ หันศีรษะชำเลืองมองอีกคนที่อยู่เคียงข้าง ปรากฏเป็นชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีม่วงลายปักดอกโบตั๋นสีคราม ถึงใบหน้าจะดูอ่อนกว่าวัยดั่งหนุ่มสาวอายุยี่สิบต้น แต่ด้วยการแต่งงานเช่นนี้จึงทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก และด้วยอากัปกิริยาที่ดูสุภาพของเขา มันยิ่งทรงเสริมให้ชายผู้นี้ดูหล่อเหลาและมีสง่าราศีขึ้นมาก
เสื้อคลุมลายปักสีม่วงตัวนี้ ล้วนถูกถักทอขึ้นจากผ้าไหมชั้นเยี่ยมทุกอณูนิ้ว!
เห็นหยุนซีลอบสายตาชำเลืองมองมาทางตน จือหยวนเอียงศีรษะปั้นหน้างุนงงเล็กน้อย
ชั่วอึดใจนั้นเอง ใบหน้าของหยุนซีพลันแดงก่ำจากความเขินอาย รีบยกสองมือโบกปฏิเสธ กล่าวแก้ตัวโดยไว
“เมื่อครู่ข้าล้อเล่น! ล้อเล่นเท่านั้น! อย่าเอาไปคิดจริงจังเสียล่ะ! ฮ่าฮ่า! ระหว่างข้ากับเซียถง พวกเราสองสาวสนิทกันจะตาย! หลอกกันเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ!”
คงน่าอายมิใช่น้อยหากจือหยวนที่ฟื้นชีพขึ้นมาได้ทราบว่า หญิงที่ตนแอบรักเสมอมา ยามนี้ได้กลายมาเป็นพวกบ้าเงินทองไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะในกรณีใด ข้าจะต้องสร้างภาพลักษณ์ของอิสตรีในฝัน ที่ทั้งสง่างามและจิตใจดีมีเมตตาที่สุดบนผืนปฐพีให้คนรักของนางได้เห็น มิใช่ภาพลักษณ์ของหญิงบ้าเงินขี้เหนียวเช่นนี้!
จือหยวนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาจับมือหยุนซีเอาไว้และเงยหน้าขึ้นสบตามอง เอ่ยน้ำเสียงที่แผ่วอ่อนเป็นอย่างมากขึ้นว่า
“นางอยู่บนนั้นรึ?”
หยุนซีพยักหน้าตอบ ถึงแม้นางจะไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับจือหยวนเลยสักครั้งในตลอดสิบปีที่ผ่านมา แต่ยามนี้ นางกลับสามารถเข้าใจความคิดอ่านที่อยู่ในหัวของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี กล่าวคือแค่ส่งสายตามาให้ ย่อมทราบถึงความปรารถนาในใจระหว่างกันและกันทันที
“ไปกันเถอะ! ข้างบนนั้นอันตรายมาก ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของนางได้! เราต้องรีบช่วยนางก่อนจะสายเกินไป!”
จือหยวนพยักหน้าตอบเห็นด้วยกับนางเช่นกัน และเตรียมเคลื่อนขยับวิ่งจูงมือกันออกไป
“เดี๋ยวก่อนพวกท่าน!”
นั่นคือสุ้มเสียงของเซี่ยหลู่เฟิงที่แผดดังขึ้นจากด้านหลัง เขารีบเดินกะเผลกตรงมาหาหยุนซีและจือหยวนโดยเร็ว ทิ้งตัวคุกเข่าต่อหน้าและกล่าวอ้อนวอนขึ้นว่า
“โปรดพาผู้ต่ำต้อยไปด้วยเถิด!”
จือหยวนเห็นดังนั้นก็ส่ายหัวให้เบาๆ หยุนซีเข้าใจถึงความหมายที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อได้ทันที จึงกล่าวแปลถ่ายทอดให้ว่า
“เจ้ายังไม่หายดี หากฝืนขึ้นไปบนนั้นเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายของเจ้าแทน”
“แต่เซียถงเป็นน้องสาวของข้า ในฐานะพี่ชาย จะให้ทนรออยู่ตรงนี้ได้เยี่ยงไร?”
หยุนซีได้แต่เหม่อมองไปทางเซี่ยหลู่เฟิง สีหน้าค่อนข้างหนักใจ เส้นผมฝั่งขวาเกือบครึ่งแถบขวาของเขา มันแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวหงอกไปแล้ว นี่เป็นผลจากอาการบาดเจ็บสาหัสเข้าขั้นวิกฤตในตอนก่อนหน้า ถึงแม้เซี่ยหลู่เฟิงจะได้รับการช่วยชีวิตจนฟื้นขึ้นมาได้ แต่อาการเรื้อรังขั้นร้ายแรงยังคงอยู่ เส้นลมปราณทั่วร่างกายของเขาได้รับความเสียหายหนัก เพียงจะลองโคจรลมปราณเล็กน้อยก็ยังติดขัดไปหมด
ในขณะเดียวกัน ฉีหมิงเยว่ก็เดินขึ้นหน้าออกมา ยืนอยู่เคียงกายเซี่ยหลู่เฟิง พยายามช่วยขอร้องอีกแรงหนึ่ง
หยุนซีไม่กล้าตัดสินใจ จึงเบี่ยงความสนใจหันไปหาจือหยวนหวังใช้ช่วยตัดสินแทน เพราะเวลานี้ ความเด็ดขาดในการตัดสินใจของหยุนซีดูต่ำลงจากเก่ามาก ความมั่นใจเด็ดเดี่ยวอย่างในอดีตหายไปค่อนข้างหลายส่วน นางในปัจจุบันจึงดูไม่ต่างจากศรีภรรยาตัวน้อยที่เชื่อฟังอยู่ใต้อาณัติสามีทุกอย่าง
แต่ก่อนที่จือหยวนจะทันเอ่ยตอบใดๆ ออกมา จู่ๆ ก็ได้ยินสุ้มเสียงเย็นชาของไป๋ปิงโผล่มาจากไหนมิทราบ
“ก็ปล่อยเขาไปด้วยจะเป็นไร? ต่อให้ช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็ได้พบเจอหน้าน้องสาวตัวเองให้อุ่นใจ”
คนที่พูดก็คือไป๋ปิง ร่างอรชรกระโปรงขาวอีกสายหนึ่งร่อนพลิ้วลงมาจากฟากฟ้า ลงจอดสู่ภาพพื้นอย่างงดงาม ผมสลวยสีดำขลับคลุมยาวลงมา มองผิวเผินก็คล้ายผ้าคลุมไหล่ ใบหน้าสะอาดสะอ้านสวยใส ให้ได้พบเห็นต่างให้ความรู้สึกดุจดั่ง ราชินีน้ำแข็งที่กำลังจุติลงบนผืนพิภพ ภาพลักษณ์ในปัจจุบันดูแตกต่างจากในอดีตลิบลับ!
นางหยิบโอสถขึ้นมาสองเม็ดจากกระเป๋าข้างเอว แล้วส่งให้เซี่ยหลู่เฟิง
“หากเจ้ากลืนมันลงไป โอสถทั้งสองเม็ดนี้จะช่วยให้เจ้าสามารถระดมใช้ลมปราณได้อีกครั้ง แต่ผลข้างเคียงหลังจากหมดฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรงมาก อวัยวะภายในร่างกายเจ้าจะเกิดอาการบอบช้ำรุนแรง สรุปโดยง่ายคือ เจ้าเตรียมนอนป่วยติดเตียงได้เลยอย่างน้อยครึ่งปี”
“ขอบพระคุณท่านผู้สูงส่ง!”
เซี่ยหลู่เฟิงรีบยื่นมือไปรับโอสถสองเม็ดนั้นทันที
ระหว่างทางกลับ หลังจากที่หยุนซีได้รับโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าที่เซียถงหลอมกลั่นให้มาแล้ว มีอยู่ช่วงระยะหนึ่ง จู่ๆ นางก็ได้พานพบกับไป๋ปิงโดยบังเอิญ
แทบจะในทันทีที่สองพี่น้องได้เจอหน้า ทั้งคู่ก็กัดกันทันที! เปิดศึกต่อสู้ขนาดย่อมเป็นคำรบสอง!
ขณะที่ฉากต่อสู้กำลังดำเนินไป โอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าเม็ดนั้นก็พลันร่วงตกลงมาจากบนตัวหยุนซี และเมื่อไป๋ปิงฉวยหยิบมันขึ้นมาดู ก็ถึงกับตื่นตะลึงสุดขีด หันขวับจับจ้องไปที่หยุนซีด้วยความเหลือเชื่อ ปรากฏว่า นางทำสำเร็จแล้วจริงๆ!
แทบจะในทันที ทั้งคู่สงบศึกกันชั่วคราวและรีบมุ่งหน้ากลับไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือของไป๋ปิง ในที่สุดหยุนซีก็สามารถป้อนโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าเข้าปากของจือหยวนได้
ร่างกึ่งเป็นกึ่งตายที่ถูกแช่ผนึกเอาไว้นับสิบปี ในที่สุดจือหยวนก็ฟื้นคีนชีพขึ้นมา เขาราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง!
จากนั้น ทั้งสามคนก็รีบมุ่งหน้ามาที่หุบเขาคุนหลุนทันที ทั้งหมดก็เพื่อช่วยเซียถง
พอเดินทางมาถึงช่วงตีนเขา ทั้งสามก็ได้พบเจอกับชิงเยวี่ย ในตอนนั้น เขากำลังง่วนกับการช่วยเหลือชีวิตของเซี่ยหลู่เฟิงให้พ้นจากความตาย และแน่นอน ทันทีที่ได้พบเจอกับท่านอาจารย์อีกครั้ง เขารู้สึกยินดีปรีใจแทบร้องไห้
ด้วยความช่วยเหลือจากโอสถชั้นสูงของไป๋ปิง เซี่ยหลู่เฟิงฟื้นสติตื่นขึ้นในเวลาต่อมา แต่ผมเกือบซีกหนึ่งบนศีรษะกลับกลายเป็นสีขาวโพลน แลเห็นดังนั้น ไป๋ปิงจึงอาสาเข้าป่าข้างเคียงเพื่อเสาะหาสมุนไพรช่วยเหลือเพิ่มเติม ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างที่เห็น
ไป๋ปิงไม่ลังเลเลยที่จะช่วยสานฝันแก่เซี่ยหลู่เฟิงให้เป็นจริง นางหันไปกล่าวกับหยุนซีและจือหยวนอีกว่า
“เอาล่ะ อย่าได้รอช้าเลย รีบไปช่วยนางกันเถอะ”
สิ้นเสียงดังนั้น ทุกคนก็รีบมุ่งหน้าขึ้นสู่จุดเกิดเหตุทันที
ไม่นานจากนั้น พอชิงเยวี่ยและคนอื่นๆ จากออกไป ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเพิ่งมาถึง
เฟิงหมิงอี้ก้าวถอยหลังออกห่าง สำรวจมองรอยเท้าที่หลงเหลืออยู่ตามพื้น เขาเอ่ยขึ้นว่า
“พวกมันมุ่งหน้าไปนั้น รีบตามไป!”
เสียงปะทะชนแกร่งกร้าวหลายสายดังสนั่นลั่นทั่วยอดเขาคลุนหลุน ราวกับกำลังมีเทพเซียนเปิดศึกกันอยู่บนนั้น โดยมีฟ้าดินเป็นสักขีพยาน
ในตอนนี้ ด่านผนึกทั้งหมดที่ถูกติดตั้งทั่วหุบเขาคุนหลุนได้ถูกทำลายไปจนสิ้น เป็นผลพวงจากศึกสัประยุทธ์ดุเดือดครั้งนี้ ไม่เว้นแม้แต่ถ้ำหมื่นอสรพิษ หรือ เส้นทางกระดูกบุปผาพิษ ทั้งหมดกลายสภาพเป็นภาพมายาและค่อยๆ มลายหายไปสิ้น
ทุกคนที่อยู่เบื้องล่างล้วนสังเกตเห็นภาพฉากเหล่านี้ต่อหน้าต่อตา ด้วยความตกตะลึงจัด ถึงกับต้องแหงนศีรษะเงยขึ้นไปมองบนยอดเขาอย่างอดมิได้ เกิดอะไรขึ้นบนนั้นกันแน่?
ไป๋หลี่หานเนื้อตัวเปียกชุ่มชโลมธารเลือดแดงฉาน เสื้อคลุมที่คลุมใส่ล้วนถูกย้อมจนจำสีเดิมไม่ได้แล้ว เข่าข้างหนึ่งทรุดลงกับพื้น ในมือมีกระบี่สีทองคำค่อยค้ำยันเอาไว้มิให้เซล้มลง สักครู่ต่อมา เขาก็กระอักพ่นเลือดสดออกมาคำโต
ใช้หลังมือปากเช็ดเลือดโลหิตมุมปาก ส่งสายตาหนาวเหน็บมุ่งมองไปทางเย่หลีเทียนอย่างเย็นชา