ตอนที่519 ศึกระห้ำตาย (1)
ตอนที่519 ศึกระห้ำตาย (1)
เซียถงนำเกราะแสงวิญญาณมาผนึกรวมกับเพลิงพิภพเก้าดุษณี ใช้ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ เพียงเท่านี้กระแสคลื่นเย็นจัดก็ไม่สามารถลุกลามเยือกแข็งนางได้อีกต่อไป
สะดุดมองแผ่นหลังที่หนักแน่นและมั่นคงของเซียถงไกลห่างออกไป เย่หลีเทียนพลันนึกย้อนไปถึงหญิงนางหนึ่งที่มีแผ่นหลังคล้ายแบบนี้เช่นกัน ในตอนนั้นที่เขายังเป็นเด็ก ก็มีแค่ท่านแม่ของเขาเท่านั้นที่มุ่งมั่นยืนหยัดปกป้องตน จนทำให้มีชีวิตรอดอย่างทุกวันนี้
สายตาที่มุ่งมองยิ่งดูซับซ้อนมากขึ้นและมากขึ้น จนท้ายที่สุดเซียถงก็ได้ว่ายออกไปแล้ว แน่นอน นางไม่ให้คำตอบแก่เขาแม้สักคำ
“ดี! ดี! ดี! ดีมาก!!”
เย่หลีเทียนไม่เฝ้าคอยรอคำตอบของเซียถงอีกต่อไป ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมแค้น ถึงกับสบถคำว่า‘ดี’ประชดเสียงดังสามคราติดต่อ ทอดมองเงาร่างพร่างพรายอยู่ไกลห่างอยู่ในน้ำ ฉายปรากฏแววประกายวูบวาบอยู่ในดวงตา จากลังเลไม่แน่ใจ ยามนี้มุ่งมั่นขึ้นมาในทันใด
เซียถงแหวกว่ายออกไปยังทิศทางที่บัญชาสี่พิภพถูกพัดพาซัดออกไป สำแดงใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเร่งเข้าใกล้ ลดทอนระยะความห่างลงทีละเล็กละน้อย น้ำบาดาลเย็นจัดในทะเลสาบเริ่มจับตัวควบแน่นเป็นชั้นน้ำแข็ง ทั้งที่มีเกราะแสงวิญญาณผสานเพลิงพิภพเก้าดุษณีคอยห่อหุ้มร่างกายอยู่แท้ๆ แต่ไอเย็นยังสามารถสอดแทรกเข้ามาได้ แทบจะแช่งเส้นเลือดทั่วกายาของนางจนไม่สามารถไหลเวียนโคจร
แต่เมื่อเห็นว่า ตนกำลังเข้าใกล้บัญชาสี่พิภพขึ้นมาทุกที เซียถงก็กัดฟันแน่นฮึดสู้ เร่งเร้าพลังเต็มพิกัดออกตัวเพิ่มความเร็วออกไป
ปลายนิ้วมืออาดเอื้อมยืดสุดแสน และในที่สุดนางก็ได้มันมาครอง!
มุมปากกระตุกยิ้มปริ่ม หลังจากที่พยายามอย่างหนัก สุดท้ายก็ได้บัญชาสี่พิภพมาครอบครองสมดั่งใจ!
และทันทีที่เซียถงแตะสัมผัสกับบัญชาสี่พิภพ อาณัติบริเวณใต้บาดาลทั้งหมดพลันเกิดสภาวะบิดเบี้ยว ไม่สามารถคงสภาพรูปทรงได้อีก วิสัยทัศน์โดยรอบในตอนนี้เปรียบเสมือนภาพมิติมายา มันทั้งพิศวงและน่าประหลาดอย่างมาก
เย่หลีเทียนกำลังแหวกว่ายตามมาติดๆ พลันรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เช่นกัน และพอหันหลังไปมอง จู่ๆโบราณสถานที่ว่าก็กลายมาเป็นระเบิดน้ำแข็งลูกใหญ่ คลื่นไอเย็นที่กว้างไพศาลออกไป ล้วนกวาดล้างสรรพสิ่งรอบบริเวณกลายเป็นน้ำแข็งในพริบตา บรรดาร่างของสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนลอยเคว้งปลิวออกมา
เพียงชั่วพริบตา เย่หลีเทียนก็ถูกซากศพของเหล่าสัตว์อสูรเหล่านั้นที่โดนแช่แข็งลอยเข้าทับถมเต็มไปหมด เขารีบอาศัยประโยชน์จากซากศพเหล่านี้ใช้เป็นที่ดีดตัว และเร่งแหวกว่ายทะยานหนีออกไปโดยเร็วที่สุด
คลื่นไอเย็นแผ่ขยายกลายเป็นวงกว้าง และทุกบริเวณที่มันเคลื่อนผ่านล้วนต้องถูกแช่ตายทั้งเป็น สรรพสิ่งเหล่านั้นล้วนกลายเป็นน้ำแข็งในพริบตา
เห็นน้ำใต้บาดาลถูกเปลี่ยนกลายเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา และมันกำลังลามมาทางนี้เรื่อยๆแล้ว เย่หลีเทียนไม่มีเวลา มาคอยกังวลแล้วว่า เซียถงยังสบายดีอยู่หรือไม่ ทำได้เพียงรีบแหวกว่ายพลางเลี่ยงหลบซากศพของสัตว์อสูรเหล่านั้นที่ลอยเคว้งคว้างขัดขวางอยู่ตามทาง เพื่อป้องกันมิให้คลื่นไอเย็นไล่ตามสัมผัสตัวเขาได้ทัน
เขาต้องรีบว่ายขึ้นฝั่งโดยเร็วที่สุด
ในขณะเดียวกัน เซียถงยังคงอยู่ใต้น้ำบริเวณนั้น แต่แทนที่จะถูกคลื่นเย็นแช่แข็งทั้งเป็น แต่นางกลับถูกย้ายร่างไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง
จะกล่าวว่าย้ายไปยังพื้นที่อื่นเลยก็ไม่ถูกต้องสักทีเดียว เพราะนางเหมือนถูกย้ายเข้ามาพื้นที่ลูกบาศก์ชิ้นหนึ่งใต้บาดาลที่กลายมาเป็นน้ำแข็ง ซึ่งภายในนี้สามารถแยกน้ำมิให้ไหลเข้ามาได้โดยสิ้นเชิง
เซียถงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก ยืนอยู่ท่ามกลางพื้นที่ลูกบาศก์ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป พอกวาดสายตามองก็พบกระจกใสสี่ด้านห้อมล้อมเอาไว้ และเมื่อลองเอื้อมนิ้วออกไปสัมผัส สีของกระจกใสสีด้านก็พลันแปรเปลี่ยนทันที
“หลิวซู!”
เซียถงเรียกหาหลิวซูโดยไว และมันก็ปรากฏกายขึ้นยืนอยู่ข้างนาง กวาดมองสรรพสิ่งโดยรอบด้วยความงุนงงไม่ต่าง
“เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร?”
“อืมม… ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่เหมือนจะเป็นม่านอาณาเขตอะไรสักอย่าง เคยเจอเมื่อนานมาแล้วอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นวิชาขั้นสูงแขนงหนึ่ง”
เซียถงครุ่นคิดอยู่สักครู่ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“จะต้องเป็นเพราะบัญชาสี่พิภพแน่นอน!”
ได้ยินเช่นนั้น หลิวซูเข้าใจได้ในทันควัน
“เข้าใจล่ะ! วิชากางอาณาเขตนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในพลังความสามารถที่บัญชาสี่พิภพทำได้!”
“แล้วเราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง?”
สิ้นเสียงคำถามข้อนี้ หลิวซูก็เริ่มเคลื่อนไหว จำแลงกายเป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าออกเป็นจำนวนหมื่นพันนับไม่ถ้วน! เหล่านั้นห้อมล้อมอยู่รอบตัวเซียถง เพียงนางโบกใช้ก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระตามใจนึก หรือยังสามารถควบคุมผ่านความคิดได้ไร้ขอบเขต!
กระบี่ทัณฑ์ฟ้ารูปแบบที่สอง ค่ายกลเงามายากระบี่!
นี่เป็นอีกหนึ่งรูปแบบความสามารถที่ทรงพลังที่สุดของกระบี่ทัณฑ์ฟ้า หลังจากที่หลิวซูสามารถคายผนึกชิ้นที่สองในกายตัวเองลงได้ และเจ้าของกระบี่ทัณฑ์ฟ้าคนเก่าอย่าง เกาชาง ยังพึ่งพารูปแบบความสามารถนี้ของกระบี่ทัณฑ์ฟ้าไต่เต้าขึ้นมา จนมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วผืนพิภพและกลายมาเป็นหนึ่งในสามยอดปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทาน!
แต่อย่างไร เกาชางในตอนนั้นไม่สามารถปลดคลายตราผนึกชิ้นนี้ที่ฝังอยู่ในกายหลิวซูออกไปได้ จึงกล่าวได้ว่า ถึงตอนนั้นตัวเขาจะได้รับการยอมรับจากหลิวซูในฐานะเจ้าของแล้ว แต่กลับไม่สามารถดึงศักยภาพสูงสุดของกระบี่ทัณฑ์ฟ้าออกมาได้ แตกต่างจากในปัจจุบัน ตราผนึกดังกล่าวของหลิวซูได้ถูกทำลายเป็นที่เรียบร้อย และขุมพลังความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้ยังเหนือชั้นกว่าแต่ก่อนมาก!
หลิวซูทรงพลังไร้เทียมทานเสียจนสามารถประกันได้อย่างไม่อายฟ้าอายดิน หากเซียถงสำแดงใช้กระบี่ทัณฑ์ฟ้ารูปแบบที่สอง ค่ายกลเงามายากระบี่ ควบคู่ไปกับความมหัศจรรย์ของวรยุทธต่อสู้ลับ พลานุภาพทำลายล้างที่ถูกปลดปล่อยออกมา มันสามารถเป่าหุบเขาทั้งลูกให้กระจุยได้ในพริบตาเดียว!
บูมมม!!
เงามายากระบี่ทัณฑ์ฟ้าทั้งหมื่นพันมุ่งเป้าไปยังที่กำแพงลูกบาศก์ใส ณ จุดเดียว เสี้ยวพริบตาต่อมา ก็กระหน่ำพวยพุ่งมุ่งโจมตีกระหน่ำใสอย่างบ้าคลั่ง! บังเกิดประกายไฟเสียดสีกระเซ็นสาดนับไม่ถ้วน! หลังจากนั้นสักครู่ หนึ่งภาพฉากวุ่นวายโกลาหลก็กลับกลายสู่ความสงบดังเดิม
หลิวซูถึงกับหน้าถอดสีหนัก อุทานร้องลั่นขึ้นว่า
“เป็นไปไม่ได้!”
สิ้นเสียง มันเตรียมจะเปิดฉากโจมตีใหม่เป็นคำรบสอง แต่ทันใดนั้นก็โดนเซียถงหยุดเอาไว้เสียก่อน
“อย่าเพิ่งโจมตี!”
นางคล้ายสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่างบนกำแพงลูกบาศก์เหล่านี้ ระดมความคิดพลางครุ่นมองสักพัก นางค่อยกล่าวขึ้นว่า
“กำแพงลูกบาศก์พวกนี้น่าจะสามารถดูดซับพลังลมปราณได้ ไม่ว่าจะหยิบใช้กระบวนโจมตีรุนแรงปานใด แต่เป็นอันเกิดจากพลังลมปราณ ล้วนปราศจากผลใดๆทั้งสิ้น ต้องคิดหาวิธีอื่น…”
เซียถงที่โดนแยกตัวออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ย่อมไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่า ในปัจจุบันกำลังเกิด เหตุการณ์ความโกลาหลครั้งใหญ่บนยอดเขาคุนหลุน ขณะที่ทะเลสาบเบื้องล่างลงมา ยามนี้กลายเป็นธารน้ำแข็งไปโดนสิ้นแล้ว แต่น่าแปลกนัก บริเวณนั้นกลับมีธารเลือดสดไหลนองอยู่เกลือน ฉาบพื้นน้ำแข็งกลายเป็นสีโลหิตฉาน และเมื่อสังเกตให้จงดี จะพบเย่หลีเทียนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่าง ดูมีทีท่าขมักเขม่น
“ต้องมากกว่านี้…”
เย่หลีเทียนใช้พลังเฮือกใหญ่ พุ่งโฉบไล่ล่าสัตว์อสูรแถวนั้นมาสูบเลือดสูบเนื้ออย่างหิวโหย เพื่อเติมเต็มพลังความแข็งแกร่งให้กลับมาดังเดิม จากนั้นก็ตั้งใจจะมุ่งหน้าสู่ยอดเขาคุนหลุนอีกครั้งหนึ่ง
ถึงแม้เลือดของสัตว์อสูรแถวนี้จะไม่บริสุทธิ์เท่าของพวกในโบราณสถานใต้บาดาล แต่ก็ยังนับว่ามีประโยชน์อยู่ไม่น้อย
เย่หลีเทียนเพิ่งจะดูดเลือดพวกมันได้สักสองสาม ทันใดนั้น ก็ปรากฏกลุ่มแสงสีม่วงปนเงินระเบิดตูมตามอยู่แถวยอดเขาด้านบนเหนือศีรษะ
นี่เป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้แล้ว!
เห็นดังนั้น เย่หลีเทียนโยนร่างของสัตว์อสูรตนนั้นทิ้งไปทันที และรีบมุ่งหน้าวิ่งขึ้นไป
ระยะทางจากทะเลสาบเบื้องล่างอยู่ห่างจากยอดเขาไม่ไกลนัก เพียงไม่กี่สิบอึดใจ เขาก็มาถึงแล้ว
เมื่อไปถึงก็ปรากฏเป็นภาพสมรภูมิเดือดฉากหนึ่ง มีกลุ่มคนอยู่สองฝั่งกำลังออกโรงสัประยุทธ์!
เฟิงหมิงอี้พุ่งโฉบจู่โจมใส่อย่างไม่เกรงกลัว กระบี่ทองคำในมือไป๋หลี่หานตั้งรับในท่าแนวนอน สองคมกระบี่ปะทะชนสอดเสียดเสียงโลหะดังสนั่น พร้อมประกายไฟที่สาดกระเซ็นสารทิศ
เฟิงหมิงอี้กล่าวเย้ยหยันดูแคลนออกไปคำหนึ่ง
“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ระดับชั้นพลังลมปราณของราชาหมาป่าสวรรค์จะอ่อนปวกเปียกปานนี้!”
พลังต่อสู้ไป๋หลี่หานในปัจจุบันถูกจัดได้ว่า อ่อนแอกว่าปกติมาก เนื่องด้วยเพิ่งจะผ่านศึกสัประยุทธ์กับเย่หลีเทียนไปหมาดๆ ไม่ต้องกล่าวถึง เรื่องเปิดศึกกับเย่หลีเทียนเป็นครั้งที่สอง แค่เฟิงหมิงอี้ที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นกลาง เขาเองก็แทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว