ตอนที่ 21 ความสนิทสนมที่ไม่เท่าเทียม
แม้แต่สาวใช้ที่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจ ใครว่าคนที่หน้าตาดีที่สุดในจวนซู่เฉิงโหวคือคุณหนูใหญ่กันเล่า เพราะเช่นไรคุณหนูสี่ก็ถึงเป็นบุตรีแท้ๆ ของฮูหยินคนก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเมื่อก่อนถึงรู้สึกว่าคุณหนูสี่นั้นหน้าตาธรรมดา
ที่จริงแล้วจวนซู่เฉิงโหวมีสตรีที่หน้าตาสวยงามหลายคน และตอนนั้นสะใภ้จังมารดาของมู่ชิงอีก็เป็นถึงสาวงามที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง บุตรสาวแท้ๆ ของนางจะหน้าตาธรรมดาได้เช่นไร แต่แค่เมื่อก่อนมู่ชิงอีไม่ค่อยชอบพูด ไม่ชอบแต่งตัว ส่วนใหญ่หลบซ่อนตัวอยู่แต่ในเรือนของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะออกไปข้างนอกก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่มองใคร แน่นอนว่าต้องถูกผู้อื่นมองข้ามเป็นธรรมดา
เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย มู่ชิงอีก็พาจูเอ๋อร์เดินออกจากเรือนพร้อมกับสาวใช้ที่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาไปยังหน้าประตูจวน มู่ฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นไปรออยู่รถม้าก่อนแล้ว แต่มู่อวิ๋นหรง มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนเพิ่งจะมาถึงยังไม่ได้ขึ้นรถม้า
เมื่อเห็นมู่ชิงอีเดินออกมา มู่อวิ๋นหรงก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ไม่แปลกที่ออกมาช้าเช่นนี้ แล้วยังให้พวกข้ารอ ที่แท้ก็แอบแต่งตัวอยู่ในห้อง แต่จะแต่งตัวสวยเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ เจ้าก็ยัง…”
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบาเอ่ยตอบ “ที่แท้พี่หญิงสามก็คิดว่าข้าสวยเช่นนั้นหรือ ขอบคุณสำหรับคำชมของพี่หญิงสามนะเจ้าคะ เดิมทีข้าแต่งตัวเสร็จตั้งนานแล้ว แต่ว่าท่านย่าส่งคนนำเสื้อผ้าและเครื่องประดับมาให้ ชิงอีไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของท่านย่าจึงเปลี่ยนชุดใหม่ทำให้เสียเวลา ปล่อยให้พี่หญิงสามรอนานแล้ว” เพียงมองดูการแต่งหน้าแต่งตัวที่ละเอียดลออของมู่อวิ๋นหรงก็รู้แล้วว่านางคงใช้เวลาในการเตรียมตัวไปไม่น้อย แต่ว่าการแต่งตัวที่สง่างามของมู่ชิงอี กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการแต่งตัวของมู่อวิ๋นหรงเยอะเกินไป แล้วอีกอย่าง นางเองก็พึ่งมาถึง พูดไม่ได้ว่าใครรอใครกันแน่
มู่สุ่ยเหลียนที่อยู่ข้างๆ ก็พูดว่า “พี่หญิงสาม น้องหญิงสี่ ท่านย่าขึ้นรถแล้ว เราขึ้นรถกันก่อนเถิด หากไปสายมันจะไม่ดี” มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนคือบุตรสาวของมู่ฉังชิง น้องชายของมู่ฉังหมิง เดิมทีต้องจัดอันดับร่วมกัน มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนควรจะอยู่หลังมู่อวิ๋นหรง อยู่หน้ามู่ชิงอี แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจวนซู่เฉิงโหว พวกนางถูกแยกออกจากกัน มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนเรียกมู่อวิ๋นหรงและมู่ชิงอีว่าพี่หญิงสาม พี่หญิงสี่ แต่คนในจวนซู่เฉิงโหวกลับเรียกชื่อพวกนางโดยตรง มีเพียงแต่มู่ชิงอีที่บางครั้งก็เรียกพวกนางว่าพี่หญิง
มู่อวิ๋นหรงขมวดคิ้ว ชี้ไปที่รถม้าคันที่สองที่อยู่ข้างหลังรถม้าของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าไปนั่งข้างหลัง”
มู่ชิงอีไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย นางเดินตรงไปที่รถม้าคันที่สองแล้วพูดเบาๆ ว่า “อวี่เฟยมานั่งกับข้าก็ได้ ส่วนสุ่ยเหลียนไปนั่งข้างหลังเถิด” รถม้าทั้งหมดมีแค่สามคัน มู่ฮูหยินผู้เฒ่านั่งคันแรก มู่ชิงอีเป็นบุตรีของภรรยาเอก แน่นอนว่านางไม่ควรลดตัวลงไปนั่งเบียดกับบุตรอนุสองคนบนรถม้าคันสุดท้าย
ได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นหรงก็โมโหจนเดินเข้าไปดึงมู่ชิงอี แต่มู่ชิงอีหันหน้ามาและสะบัดมือนางออก “หากพี่หญิงสามไม่อยากนั่งข้างหลัง เช่นนั้นก็ไปนั่งเบียดกับท่านย่าข้างหน้าเถิด หรือไม่ก็ไปเรียนท่านพ่อว่า บุตรอนุของจวนซู่เฉิงโหว อยากได้รถม้าคนละหนึ่งคัน”
พูดจบนางก็ไม่สนใจสีหน้าซีดเผือดของมู่อวิ๋นหรง แล้วเดินขึ้นรถม้าทันที มู่อวี่เฟยที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่อวิ๋นหรงที่กำลังโมโห จึงรีบตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
งานเลี้ยงของพระชายากงไม่ได้จัดที่จวนกงอ๋องแต่อย่างใด แต่จัดที่เรือนอีกเรือนหนึ่งของจวนกงอ๋องที่อยู่ในเมืองหลวง เขาให้เหตุผลว่าทิวทัศน์ของเรือนนั้นสวยงามและเหมาะสำหรับการจัดงานเลี้ยงมากกว่า แต่มู่ชิงอีรู้อยู่แล้วว่า นั่นเป็นเพราะว่าความระแวดระวังของมู่หรงอวี้ วันที่จัดงานเลี้ยง แน่นอนว่าจะต้องมีผู้คนมากมาย ถึงแม้ว่าในนั้นจะมีสหายของมู่หรงอวี้แต่มันก็จะต้องมีศัตรูของเขาเช่นกัน มู่หรงอวี้เป็นคนรอบคอบมาโดยตลอด ช่วงสองสามปีมานี้จวนกงอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงได้เป็นอย่างดี เช่นนี้นอกจากไม่เพียงแต่ป้องกันบุคคลภายนอกได้แล้ว ยังทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวาคิดว่ามู่หรงอวี้ไม่ชอบไปมาหาสู่กับบรรดาขุนนางชั้นสูง
เมื่อรถม้าของจวนซู่เฉิงโหวมาถึงประตูจวนก็ถือว่าไม่เร็วหรือช้าเกินไป ถึงแม้ว่าจวนซู่เฉิงโหวจะไม่ใช่ตระกูลที่มีอำนาจและสูงส่งที่สุดในเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นถึงตระกูลท่านโหว อีกทั้งมู่ฉังหมิงก็ยังครอบครองกองทัพที่สำคัญ แน่นอนว่าต้องมีคนออกมาต้อนรับไม่น้อย และคนเหล่านั้นต่างก็พุ่งตรงเข้าไปหามู่อวิ๋นหรง ทำให้มู่สุ่ยเหลียนและมู่อวี่เฟยสองพี่น้องที่ลงรถม้ามาพร้อมกันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แน่นอนว่ามู่ชิงอีไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนมู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนสองพี่น้อง ถึงแม้ว่าพวกนางจะไม่พอใจแต่ว่าพวกนางก็คุ้นชินแล้วไม่น้อย ทุกครั้งที่พวกนางออกมากับมู่อวิ๋นหรงก็มักจะเป็นแค่คนที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม หากพวกนางไม่ตามมู่อวิ๋นหรงออกมาก็คงไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะมาร่วมงานเลี้ยงเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ
เดินเข้ามาข้างใน มู่ฮูหยินผู้เฒ่าพาพวกนางสี่คนไปคารวะพระชายากงก่อน พระชายากงสวมชุดพระชายาเต็มยศนั่งอยู่ในห้องโถง ดูสง่างามกว่าวันธรรมดาไม่น้อย เห็นมู่ฮูหยินผู้เฒ่ามาคารวะ นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ล้วนแต่เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องพิธีรีตองมากนักหรอก นั่งลงเถิด”
เห็นว่าพระชายามีมารยาทเช่นนี้ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกมีหน้ามีตา ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “จะเสียมารยาทไม่ได้ ขอบพระทัยพระชายาเพคะ” ที่พระชายากงบอกว่า ‘ล้วนแต่เป็นคนครอบครัวเดียวกัน’ ไม่ถือว่าเป็นคำพูดตามมารยาท พระชายาผิงหนาน มารดาแท้ๆ ของพระชายากงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับมู่ฉังหมิง ส่วนท่านย่าของพระชายากงก็คือน้องสาวแท้ๆ ของมู่ฮูหยินผู้เฒ่า
“อวิ๋นหรงก็มาด้วยหรือ เข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ เร็ว ไม่เจอหน้าตั้งนานแล้ว ทำไมถึงผอมลงเช่นนี้” พระชายากงแย้มยิ้มพลางกวักมือเรียกมู่อวิ๋นหรงที่ยืนอยู่ข้างมู่ฮูหยินผู้เฒ่า มู่อวิ๋นหรงเหลือบมองมู่ชิงอีด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่ง เดินเข้าไปแล้วพูดว่า “พี่หญิง อวิ๋นหรงคิดถึงท่านมากเลยเพคะ”
พระชายากงยิ้มแล้วพูดว่า “คิดถึงข้าแล้วเหตุใดถึงไม่มาหาข้าที่จวนเล่า”
“หม่อมฉันออกมาได้ที่ไหนกันล่ะเจ้าคะ” มู่อวิ๋นหรงบ่นพึมพำ
พระชายากงจะไม่รู้เรื่องที่มู่อวิ๋นหรงถูกมู่ฉังหมิงลงโทษให้คุกเข่าและกักบริเวณได้อย่างไร นางเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงอีแล้วพูดว่า “คุณหนูสี่ก็มาด้วยหรือ คุณหนูสี่ไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นในเมืองหลวงตั้งหลายปี คงไม่คุ้นเคยใช่หรือไม่” เป็นลูกพี่ลูกน้องเหมือนกัน คนหนึ่งเรียกอวิ๋นหรง แต่อีกคนหนึ่งกลับเรียกคุณหนูสี่ ความสนิทชิดเชื้อของพวกนาง คนที่อยู่ในงานเลี้ยงเพียงแค่เห็นก็เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าพระชายากงไม่ค่อยชอบมู่ชิงอี บุตรสาวภรรยาเอกจวนโหวคนนี้สักเท่าไร
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า “คารวะพระชายาเพคะ”
ชำเลืองมองทุกคนที่นั่งอยู่ในงาน ล้วนแต่เป็นคนที่มู่ชิงอีรู้จัก ในเมืองหลวงแห่งนี้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้คนที่มีฐานะสูงส่งที่ไปมาหาสู่กันก็มีแค่คนเหล่านี้
“คุณหนูสี่หรือ?” หญิงที่นั่งอยู่ข้างล่างพระชายากงมองมู่ชิงอีอย่างตกใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า “เปลี่ยนไปมากจริงๆ แม่นางของตระกูลมู่ช่างงดงามกันเสียจริง หน้าตาเฉกเช่นคุณหนูสี่ เรียกได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงเลยก็ว่าได้”
มู่ชิงอีก้มหน้าลง ยิ้มแล้วพูดว่า “พระชายาฝูชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ หน้าตาเช่นชิงอี จะบอกว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งได้เช่นไรกัน” หญิงผู้นี้ก็คือพระชายาของมู่หรงเค่อ หรือฝูอ๋อง พระโอรสคนโตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่มารดาแท้ๆ ของเขามีฐานะต่ำต้อย โดยทั่วไปแล้วตำแหน่งรัชทายาทไม่เป็นของพระโอรสจากพระมเหสีเอกก็ต้องเป็นของพระโอรสองค์โตเท่านั้น ไม่เช่นนั้น เขาก็คงจะได้เป็นรัชทายาทไปแล้ว
“หา? คุณหนูสี่ยังจำข้าได้ด้วยหรือ” พระชายาฝูถามด้วยความตกใจ สองสามปีมานี้มู่ชิงอีแทบจะไม่ออกมาจากจวน พระชายาฝูจึงจำมู่ชิงอีไม่ได้ อีกทั้งตอนที่เจอกับมู่ชิงอีก็คงจะเป็นตอนที่นางยังเด็ก จึงคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงอีจะรู้ว่านางเป็นใคร มู่ชิงอียิ้มแล้วพูดว่า “พระชายาสง่างามเช่นนี้ ตอนที่ชิงอียังเด็ก เคยเจอท่านตั้งหลายครั้ง จะกล้าลืมได้เช่นไรเพคะ”