ชายหนุ่มชะงักและรีบกล่าวทันทีว่า กระหม่อมไม่รู้หนังสือจึงไม่กล้าจดบันทึกตามความประสงค์ที่คนผู้นั้นพูด จึงแค่ทำตามที่คนผู้นั้นบอกพ่ะย่ะค่ะ หากท่านอ๋องยินยอมให้กระหม่อมเข้าพบก็แค่ส่งบันทึกให้ แต่หากท่านอ๋องไม่ให้เข้าพบ ก็แค่…ทำเป็นเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
เอามา
พ่ะย่ะค่ะ ชายหนุ่มล้วงหยิบสานส์ออกจากแขนเสื้ออย่างระมัดระวังแล้วยื่นให้มู่หรงอาน มู่หรงอานคลี่กระดาษออกอ่าน ดวงตาพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย อีกทั้งท่าทีก็ยังเปลี่ยนไป เวลาผ่านไปเนิ่นนานก็กล่าวว่า เจ้าออกไปซะ
ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในจวนมานาน ทราบอย่างดีว่าสิ่งใดควรเอ่ยถามและสิ่งใดไม่ควรเอ่ยถาม ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งสิ้นชีพเร็วเท่านั้น จึงทูลลาด้วยความเคารพอย่างเร่งรีบ
ความสงบสุขได้รับปรากฏขึ้นภายในเรือนหลังเล็กนี้อีกครั้ง มู่หรงอานเปิดสานส์ในมืออีกครั้ง ตัวอักษรธรรมดาถูกเขียนลงบนกระดาษธรรมดาที่ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษใดๆ แต่ตัวหนังสือบนสานส์กลับทำให้มู่หรงอานต้องเคลื่อนไหว ‘จิ่วจ่วนหลิงหลง มู่ชิงอี’
มู่หรงอานยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากจิ่วจ่วนหลิงหลงอยู่ที่มู่ชิงอีจริงๆ เช่นนั้นก็จับนางให้กับพี่หกเพื่อแลกกับชิงเซวียน ไม่สิ!…
เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปก็ชักกลับมาทันใด ท่าทีของมู่หรงอานเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ข่าวนี้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง…พี่ใหญ่ต้องการฆ่าชิงเซวียนมานานแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต หากบอกเล่าข่าวนี้กับพี่ใหญ่มีแต่ชิงเซวียนจะต้องสิ้นชีพเร็วขึ้นเท่านั้น!
มู่หรงอานกำลังรวมรวมความคิด
เพียงแต่…หากตนได้รับจิ่วจ่วนหลิงหลงแล้วมอบมันให้กับพี่หก ด้วยวิธีนี้ก็สามารถขอให้พี่หกไว้ชีวิตชิงเซวียนได้!
ความคิดที่วาบเข้ามาในหัวของมู่หรงอานนั้นมันได้ถูกตัดสินแล้ว เขากำกระดาษในมือ ฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนมันลงในถ้วยน้ำชาที่เย็นชืดบนโต๊ะด้านข้าง
เข้ามา!
ท่านอ๋อง ด้านนอกประตู องครักษ์สองคนก้าวไปข้างหน้าเพื่อรอรับคำสั่ง
มู่หรงอานเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ตรวจสอบมู่ชิงอีให้ข้า! สิ่งที่นางทำในช่วงนี้และผู้ที่นางพบเจอ ตรวจสอบพวกเขาทั้งหมด องครักษ์รู้สึกประหลาดใจ ทันทีที่ตนลืมตาขึ้นมาก็พบดวงตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารของมู่หรงอาน เรื่องนี้…หากให้พี่หกล่วงรู้ พวกเจ้าก็ไม่สมควรมีชีวิต!
องค์รักษ์ทั้งสองตะลึงงัน รีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า กระหม่อมน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่ากงอ๋องและหนิงอ๋องเป็นพี่น้องกัน หนิงอ๋องเป็นผู้ที่แหงนหน้ามองกงอ๋องเสมอ ยามนี้ดูราวกับว่าพี่น้องที่สนิทที่สุดก็ยังมีความลับเป็นของตัวเอง แต่เรื่องเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ใต้บัญชาอย่างพวกเขา
หลังจากออกคำสั่งกับองครักษ์แล้ว มู่หรงอานก็เดินกลับไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลง ยังมีบันทึกที่ยังอ่านไม่เสร็จวางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง เพียงแค่จ้องมองไปยังม้วนบันทึก ภาพชายร่างผอมซีดที่กระดูกราวกับเหล็กกล้านั่งอ่านหนังสือด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่นริมหน้าต่างก็พลันปรากฏขึ้นในหัว
พี่หกกล่าวว่ากู้ซิ่วถิงเป็นอุปสรรคที่ชั่วร้ายของตน แต่ไม่ใช่เช่นนั้น…เมื่อต้องลมก็รับลม เมื่อต้องฝนก็รับฝน องค์ชายแปดที่อาละวาดกลับถูกครอบงำเพราะชายหนุ่มผู้หนึ่ง จริงๆ แล้ว ในตอนแรกตนเป็นเพียงคนที่เต็มไปด้วยโทสะคนหนึ่ง ที่งานฉลองฉงหลินในปีนั้น ชายผู้สวมชุดคลุมสีแดงของบัณฑิต อ่อนโยนและสง่างามราวกับหยก งดงามและดึงดูด เพียงแต่ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นที่ไม่ว่าจะใช้มองผู้ใดกลับทำให้ผู้คนรู้สึกเยือกเย็นและมีช่องว่างอยู่เสมอ มู่หรงอานผู้นี้ต้องการชายหนุ่มคนไหนแล้วจะไม่ได้รับเช่นนั้นหรือ แต่คนผู้นั้นกลับกล้าที่จะปฏิเสธตนอย่างไร้ความปราณี ทำให้ตนโกรธเป็นอย่างมากจนเกิดความปรารถนาที่จะพิชิตคนผู้นี้ให้ได้
ยังจดจำได้ดีว่ายามที่เขาถูกนำตัวมาที่จวนหนิงอ๋อง เขาถูกทรมานด้วยความเจ็บปวดมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มโดยพี่หก แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักคำ หลังจากผ่านความเป็นความตายมาหลายครา แม้แต่ผู้ทรมานก็ยังไม่กล้าทนทำในตอนท้าย ในที่สุดพี่หกก็ล้มเลิกแผนการการทรมาน ตนจึงไปขอคนจากพี่หกมา
ตนไม่เคยเป็นคนใจดีและคนผู้นั้นก็ได้รับความทุกข์ทรมานมากมายในเงื้อมมือของตน ในปีแรก ชายหนุ่มผู้นั้นใช้เวลาเกือบสิบเอ็ดเดือนในการพักฟื้นบนเตียง และสุดท้ายตนก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ทำได้เพียงขังคนผู้นี้ไม่ให้ผู้ใดพบเห็น ไม่ว่าตนจะอยู่ห่างออกไปถึงสิบเดือนครึ่ง ไม่ว่าพี่หกจะเกลี้ยกล่อมหรือดุด่าตนเช่นไรก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธที่จะมอบตัวหรือฆ่ากู้ซิ่วถิงทิ้ง อารมณ์ดั้งเดิมได้กลายเปลี่ยนเป็นความหมกมุ่นมานานแล้ว ความหลงใหลได้กลายเป็นดั่งปีศาจร้าย ปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยไปก็ไม่ได้…
ในจวนซู่เฉิงโหว มู่ชิงอีกำลังวาดรูปด้วยพู่กัน จูเอ๋อร์ถูกส่งไปดูแลเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับวันคล้ายวันพระราชสมภพของโอรสสวรรค์ มีเพียงเด็กสาวตัวเล็กที่ไม่ได้โดดเด่นรออยู่ในห้องกำลังเลิกคิ้วสงสัย
คุณหนู มีคนมาสืบเรื่องของท่านมาสองวันแล้ว นอกจากนี้ยังมีการสอบสวนและตรวจสอบอย่างลับๆ ในจวนซู่เฉิงโหวด้วยเจ้าค่ะ
มู่ชิงอียิ้มอย่างเฉยเมย มองไปที่ภาพวาดวิวทิวทัศน์บนโต๊ะด้วยความพึงพอใจ ริมฝีปากแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า ให้พวกเขาได้ตรวจสอบ เป็นอย่างที่ข้าบอกไว้ว่า…เขาจะมาหาข้าด้วยตัวของเขาเอง
เด็กสาวขมวดคิ้วและพูดขึ้นอย่างกังวลว่า เกรงว่าความปลอดภัยของคุณหนู…
บุคลิกของหนิงอ๋องเป็นคนเจ้าอารมณ์ หากเขามาสร้างปัญหาให้กับหญิงสาวในยามนี้เกรงว่า…สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาค่อนข้างจะรับมือได้ยาก
มู่ชิงอียิ้มและมองไปยังเด็กสาวที่อยู่ข้างหน้านาง เด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้มีนามว่าเฝิงอิ๋ง เดิมเป็นบุตรีแท้ๆ ของเฝิงจื่อสุ่ย เฝิงจื่อสุ่ยได้ล่วงเกินบุคคลสำคัญในอดีตและถูกกู้เซียงทำให้พลัดถิ่น เฝิงอิ๋งผู้นี้สูญเสียมารดาไปเมื่ออายุเพียงห้าปี นางจึงเติบโตมากับบิดาและยังช่วยบิดาของนางจัดการทรัพย์สินของเขา แม้จะอายุเพียงสิบห้าปีแต่กลับเฉลียวฉลาด เด็กสาวธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เฝิงจื่อสุ่ยส่งนางมาที่จวนซู่เฉิงโหว ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันที่เริ่มแผนการ นางนั้นสามารถเข้าสู่เรือนหลานจื่อได้อย่างราบรื่นกลายมาเป็นสาวใช้ได้อย่างรวดเร็ว
หากเขาจะรีบมาหาข้าโดยตรง ก็ควรจะมอบสานส์ลับให้มู่หรงอวี้ตั้งแต่แรกแล้ว มู่ชิงอีอธิบายเสียงเบา ยิ่งไปกว่านั้น จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นเมื่อเขามา กระดาษแผ่นหนึ่งจะเพียงพอที่ใช้เป็นหลักฐานหรือไม่
เฝิงอิ๋งครุ่นคิดตาม จากนั้นก็ปิดริมฝีปากและหัวเราะ แต่ก็กลับมาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า หากหนิงอ๋องไม่ถูกหลอกล่ะเจ้าคะ
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ตราบใดที่มีความสงสัยเกิดขึ้นในใจของเขา…เขาจะหาโอกาสที่จะมาหาข้าอย่างแน่นอน
เฝิงอิ๋งพยักหน้าและเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า คุณหนูวางแผนที่จะใช้หนิงอ๋องเพื่อแลกเปลี่ยนคุณชายใหญ่กับกงอ๋องหรือเจ้าคะ
มู่ชิงอีส่ายหัวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ไม่ ข้าจะไม่แลกเปลี่ยนมู่หรงอานกับพี่ใหญ่
เช่นนั้น…คุณหนูต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ
ร่องรอยของจิตสังหารวาบขึ้นในดวงตาของมู่ชิงอี
ต้องการให้มู่หรงอาน…ตายโดยไร้หลุมฝังศพ!
แต่เมื่อมองลงไปที่โต๊ะ แววตาที่สงบก็ปรากฏความลังเลเล็กน้อย
ข้อมูลข่าวสารจากเฝิงจื่อสุ่ยนั้นมีประโยชน์ แต่หากต้องการทำสิ่งใด ความสามารถย่อมไม่เพียงพอแน่นอน ในเมืองหลวงแห่งนี้…สิ่งเดียวที่ช่วยได้คือ…
ชิงชิง ภาพของต้นสนต้องลมที่ถูกวาดขึ้นด้วยจิตสังหารนี้ เจ้ากำลังคิดร้ายอะไรอยู่หรือ เสียงชายหนุ่มที่อ่อนโยนและเจิดจ้าดังขึ้นในเรือน เฝิงอิ๋งมองขึ้นไปยังข้างบนก็เห็นร่างอาภรณ์สีดำงดงามค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมายังพื้นห้อง นางไม่ทราบเลยว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อใด
อย่างไรก็ตาม มู่ชิงอีท่าทางดูราวกับว่าจะไม่แปลกใจเลย กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า หากองค์ชายเก้าเป็นสุภาพบุรุษที่ชอบซ่อนตัวอยู่บนคาน ถ้าไม่ใช้เครื่องหอมก็คงจะเป็นการดีที่สุดนะเพคะ
ตอนต่อไป