จ้าวจื่ออวี้ที่มีอายุเพียงยี่สิบห้าในปีนี้ สำหรับผู้บัญชาการทหารที่มีผลงานโดดเด่นแล้วอายุของเขานั้นถือว่าค่อนข้างเยาว์วัยอย่างมาก เขาสวมเสื้อสีดำลายก้อนเมฆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเย็นชาเข้าคู่กับสีดำที่ดูราวกับรอยเปื้อนของโลหิตราวกับกระบี่ที่เพิ่งเปื้อนโลหิตมาจากสงคราม ในขณะนี้จ้าวจื่ออวี้ขมวดคิ้วและมองไปที่หญิงสาวทั้งสามข้างหน้าของเขา ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาดูไม่อดทนมากนัก
เมื่อเฝิงจื่อสุ่ยเดินเข้ามา องค์หญิงห้าจ้องมองไปยังจ้าวจื่ออวี้อย่างเย่อหยิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ หย่งจยาจวิ้นจู่และองค์หญิงไหวหยางที่อยู่ข้างนางนั้นไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา ใบหน้าอันงดงามของหย่งจยาจวิ้นจู่แสดงออกให้เห็นถึงท่าทางที่ผ่อนคลาย
จ้องมองไปที่ชายตรงหน้า องค์หญิงหมิงฮุ่ยรู้สึกถึงเพียงความโกรธในใจของนางไม่มีที่ระบาย จ้าวจื่ออวี้ผู้นี้แต่ไหนแต่ไรก็เป็นผู้ที่ไม่เห็นหัวและไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น นางจึงพูดคุยกับเขาอย่างระมัดระวัง แม้ว่านางจะเป็นถึงองค์หญิงแต่การที่ต้องเสียหน้าให้กับนางมันจะถึงตายเลยอย่างนั้นหรือ
องค์หญิงหมิงฮุ่ย ถ้าอย่างนั้นพวกเรานั่งด้านนั้นกันเถิดนะ องค์หญิงไหวหยางเหลือบมองที่จ้าวจื่ออวี้ผู้เย็นชาพลางกระซิบบอกที่หูขององค์หญิงหมิงฮุ่ย องค์หญิงหมิงฮุ่ยในเวลานี้นั้นได้เสียรู้เขาไปเสียแล้ว หากนางจากไปเช่นนี้คงจะไม่มีผู้ใดคิดว่าหมิงฮุ่ยนั้นเกรงกลัวจ้าวจื่ออวี้หรอกใช่หรือไม่
ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น! ข้าจะนั่งตรงนี้! องค์หญิงหมิงฮุ่ยเชิดหน้าขึ้นพูดเสียงดัง
จ้าวจื่ออวี้วางถ้วยน้ำชาในมือลงแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า หากองค์หญิงโปรดปรานที่ตรงนี้ อย่างนั้นก็โปรดรอที่ด้านข้างไปก่อนเถิด หากข้าลุกไปแล้วก็คงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะแย่งที่ตรงนี้กับท่านกระมัง องค์หญิงหมิงฮุ่ยอดไม่ได้ที่จะสำลักออกมา แล้วเจ้าจะลุกไปเมื่อใดกัน
จ้าวจื่ออวี้มองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง ก็คงจะเย็นๆ
ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงวันมา อย่างน้อยก็อีกสองยามกว่าจะถึงเวลาเย็น ใบหน้าอันงดงามขององค์หญิงหมิงฮุ่ยเปลี่ยนสีในทันใด ผู้ชมรอบข้างต่างก็คิดว่าแม้ชายผู้นี้สามารถต่อกรกับหญิงสาวที่เป็นถึงองค์หญิงได้ แต่ก็กระทำเกินเหตุเกินไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากไม่มีความสามารถและสถานะที่ใกล้เคียงกัน ก็มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่เต็มใจต่อกรกับจ้าวจื่ออวี้ แม้จะเป็นถึงองค์หญิงก็ตาม
ณ ยามนี้ ผู้คนในเมืองหลวงนั้นถึงกับเงียบกริบอย่างน่าอัศจรรย์
ข้าน้อยเฝิงจื่อสุ่ยขอคารวะจวิ้นอ๋องและองค์หญิง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าเขาเริ่มวุ่นวายมากขึ้น เฝิงจื่อสุ่ยก็ถอนหายใจและทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป องค์หญิงหมิงฮุ่ยกำลังนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอี้ยวตัวมามองเฝิงจื่อสุ่ยและกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า เจ้าเป็นใครกัน
เฝิงจื่อสุ่ยอดไม่ได้ที่จะนิ่งชะงัก องค์หญิงหมิงฮุ่ยผู้นี้มาศาลาชิงอานเพื่อพบคุณชายเว่ย นางไม่ได้ศึกษาอะไรมาก่อนเลยอย่างนั้นหรือ แม้ว่าข้าเฝิงจื่อสุ่ยจะไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแต่ก็ไม่ใช่บุคคลที่ไร้ชื่อเสียงเสียทีเดียวหรอกใช่หรือไม่
กระหม่อมเป็นเถ้าแก่แห่งศาลาชิงอานแห่งนี้ ไม่ทราบว่า…องค์หญิงไม่พอพระทัยที่ใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เฝิงจื่อสุ่ยถามอย่างนอบน้อม องค์หญิงหมิงฮุ่ยยกมือขึ้นและชี้ไปที่จ้าวจื่ออวี้ กล่าวว่า เจ้าบอกให้เขาสละที่นั่งให้ข้าเดี๋ยวนี้!
เฝิงจื่อสุ่ยมองไปที่จ้าวจื่ออวี้ที่กำลังก้มหน้าดื่มชา เกาจมูกของตนด้วยความลำบากใจเล็กน้อย คือว่า…องค์หญิงผู้ใดมาก่อนก็ต้องได้นั่งก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านต้องจองที่ตรงนั้นไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นท่านลองดูที่ตรงอื่นดีหรือไม่ มีที่นั่งหลายตำแหน่งที่มีทัศนียภาพสวยงามไม่แพ้กัน นอกจากนี้ร้านของกระหม่อมยังมีห้องด้านข้างอีกหลายห้องซึ่งท่านสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ได้อีกด้วย แม้ว่าจะไม่มีชีวิตชีวาเท่าในห้องโถงแต่ก็ยังมีเสน่ห์ตรงที่เงียบสงบและสมศักดิ์อันสูงส่งขององค์หญิง
ศาลาชิงอานนั้นเลื่องชื่ออย่างมากในเรื่องของของว่างและทิวทัศน์ แน่นอนว่าย่อมได้รับเกียรติจากองค์หญิงที่มาเยือนเพื่อเพลิดเพลินกับทิวทัศน์และดื่มชา แน่นอนหากองค์หญิงหมิงฮุ่ยพูดอย่างเปิดเผยว่านางมายลโฉมคุณชายเว่ยล่ะก็ เฝิงจื่อสุ่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามน้ำไป
ข้าไม่สน ข้าต้องการจะนั่งตรงนี้! องค์หมิงฮุ่ยกัดฟันด้วยสีหน้าเจื่อนๆ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การได้ใกล้ชิดกับคนที่นางชอบแต่ยังรวมไปถึงศักดิ์ศรีอันสูงส่งขององค์หญิงด้วย อันที่จริงองค์หญิงหมิงฮุ่ยในตอนนี้นั้นค่อนข้างเสียใจที่บังคับให้จ้าวจื่ออวี้สละที่นั่งให้กับนาง ตอนที่ได้พูดออกไปนั้นแน่นอนว่านางคาดไม่ถึงว่าจ้าวจื่ออวี้นั้นจะไม่ไว้หน้าตนได้ถึงขนาดนี้ แต่เมื่อในตอนนี้ตัดสินใจขึ้นขี่หลังเสือไปแล้วมันจึงยากที่จะลงได้
เฝิงจื่อสุ่ยมองไปที่จ้าวจื่ออวี้อย่างช่วยไม่ได้และหวังว่าจวิ้นอ๋องผู้นี้จะเมตตาอยู่บ้าง
จ้าวจื่ออวี้นั้นสังเกตได้ถึงสายตาอันกระตือรือร้นของเฝิงจื่อสุ่ย ในช่วงที่จ้าวจื่ออวี้นั้นยังไม่ได้ไปประจำการที่เมืองชายแดนเขานั้นถือได้ว่าเป็นแขกประจำอีกคนของศาลาชิงอานเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าก็ต้องไว้หน้าเถ้าแก่ผู้นี้อยู่แล้วแต่ก่อนที่เขาจะเปิดปากพูด ก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่อ่อนโยนสดใสดังขึ้นมาจากบันได หากพี่จ้าวไม่รังเกียจล่ะก็ มานั่งกับข้าเป็นอย่างไรเล่า
ทุกคนหันไปมองที่บันไดเป็นตาเดียวกัน เมื่อครู่พวกเขาเอาแต่พุ่งความสนใจไปที่องค์หญิงและจวิ้นอ๋องที่อยู่ตรงหน้าจนไม่ได้สนใจว่ามีใครอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ดูแล้วอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด เขาแต่งกายด้วยผ้าปักลายนกอินทรีสีม่วงแดงเข้ม บนหน้าปกคลุมด้วยผ้าตาข่ายสีม่วง ในมือถือพัดที่ด้ามจับดูไปแล้วทั่วๆ ไป แต่มู่ชิงอีนั้นกลับสังเกตเห็นว่าด้ามพัดนั้นไม่ใช่ไม้ไผ่ธรรมดาทั่วไปแต่กลับทำมาจากประเภทของกระดูกจำพวกงาช้าง แม้จะอยู่ในที่มืดแต่ก็สามารถมองเห็นความแวววาวได้แบบจางๆ มีความเป็นไปได้มากว่ามันจะเป็นแร่ที่หายาก ดูแล้วไม่เหมือนของหรูหราที่ใช้อวดแต่กลับเหมือนอาวุธที่อันตรายมากกว่า มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงบทสนทนาที่เคยพูดคุยกับไท่สื่อเหิงเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ของคุณชายเว่ยอันล้ำลึกและคาดเดาไม่ได้
เมื่อถูกจับตามองตลอดเวลาแน่นอนว่าคุณชายเว่ยก็ต้องรู้สึกได้ถึงมัน เมื่อมองไปด้านข้างเขาเห็นเด็กหนุ่มรูปงามอายุราวสิบสามสิบสี่ปีในอาภรณ์สีขาวนั่งอยู่ตรงมุมห้อง เมื่อพบว่าตนถูกจับได้ เด็กหนุ่มจึงยิ้มพลางก้มหน้าลงดื่มชาด้วยอาการเขินอายเล็กน้อย คุณชายเว่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆ ออกมาแล้วหันกลับไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง
จ้าวจื่ออวี้ยังมองไปที่ชายที่กำลังเดินเข้ามาแล้วยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นว่า ที่แท้ก็คุณชายเว่ยนั่นเอง ช่างโชคดีนักที่ได้พบท่าน
พี่จ้าวเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเว่ยอู๋จี้ เชิญพี่จ้าว คุณชายเว่ยยิ้ม
การเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่อ่อนโยนแต่คาดเดาไม่ได้อย่างคุณชายเว่ย แม้แต่คนอย่างจ้าวจื่ออวี้ก็ยากที่จะรับมือ จ้าวจื่ออวี้จึงลุกขึ้นและตามเว่ยอู๋จี้ย้ายไปด้านข้างของหลังผ้าใบ เฝิงจื่อสุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันกลับมาและยิ้มให้องค์หญิงหมิงฮุ่ย องค์หญิง เชิญพ่ะย่ะค่ะ
องค์หญิงหมิงฮุ่ยจ้องไปที่ชายที่อยู่ด้านหลังผ้าใบซึ่งดูเหมือนกำลังพูดคุยกับจ้าวจื่ออวี้อยู่ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว ตั้งแต่ต้นจนจบ…คุณชายเว่ยไม่แม้แต่จะมองมาที่ตนเลย
คุณชายเว่ย มีนามว่าอู๋จี้ บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้าเมื่อสิบปีก่อน หากเทียบกับราชวงศ์ในสามก๊ก[1] เขาก็เปรียบเสมือนกับซิ่นหลิงจวิน[2]ในตำนานที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความเป็นมาของเขา
ขนาดเว่ยอู๋จี้ก็ยังมาอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่างานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาในครั้งนี้เป็นงานฉลองที่เชิญแขกมาจากทุกทิศทุกทางจริงๆ เมืองหลวงแห่งนี้…เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อยๆ มู่ชิงอีลุกขึ้นและเดินลงบันไดไปอย่างสบายๆ พลางครุ่นคิดในใจ
ออกจากศาลาชิงอานแล้ว อู๋ซินจึงรีบตามมาทันที ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่มู่ชิงอีก็เอ่ยถามขึ้นอย่างลอยๆ ว่า คุณชายเว่ยผู้นี้ เจ้าคิดอย่างไรกับเขา อู๋ซินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่ชิงอีจะถามคำถามเช่นนี้กับเขา แม้ว่ามู่ชิงอีจะยอมรับเขาในฐานะที่เป็นองครักษ์ที่หรงจิ่นมอบให้นางแต่อู๋ซินรู้ดีว่ามู่ชิงอีไม่ได้ไว้วางใจเขาเลย โดยปกติแล้วเรื่องที่เขาจะสามารถรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อนางเต็มใจที่จะบอกเท่านั้น แต่อย่างไรนั้น พวกเขาก็ยังห่างไกลจากจุดที่เรียกว่าความไว้ใจที่จะสามารถพูดคุยกันแบบสบายๆ ได้
———————-
[1]สามก๊ก วรรณกรรมจีนอิงประวัติศาตร์
[2]ซิ่นหลิงจวิน ตัวละครในสามก๊ก
ตอนต่อไป