หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 114 คนใจแข็งดุจเหล็ก เรื่องสนุกยังมีต่อ (4)

หวนคืนชะตาแค้น

ถึงแม้เกอซูปิงจะมีนิสัยองอาจผ่าเผยแต่ก็เป็นสาวเป็นนางจึงนึกละอายใจไม่กล้ามองหรงจิ่นอีก หยัดกายลุกเดินไปข้างกายเกอซูฮั่นแล้วคล้องแขนยิ้มออดอ้อนว่า “ข้าไม่เหนื่อย ข้าจะอยู่กับท่านพี่สิบเอ็ด”

เกอซูฮั่นตบบ่าน้องสาวอย่างไม่ใส่ใจยิ้มเอ่ย “มาแคว้นหวาเจ้าเองก็ชอบก่อความวุ่นวายเหมือนกัน” เกอซูปิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เกอซูฮั่นอย่างไม่ยอมรับ

นางไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายสักหน่อย คนที่ก่อเรื่องวุ่นวายคือองค์หญิงหมิงฮุ่ยสมองเลอะเลือนกับองค์หญิงไหวหยางที่หน้าเนื้อใจเสือนั่นต่างหากเล่า

พระชายาจื้อพาองค์หญิงหยางไหวและองค์หญิงหมิงฮุ่ยจากไป ในเวลาอันสั้นบรรยากาศภายในโถงใหญ่ก็กลับไปสมัครสมานกันและผ่อนคลายเหมือนตอนแรกไม่ได้แล้ว โชคดีที่คนพวกนี้ไม่ได้สนใจ คนพวกนี้ถ้าไม่ได้มีสถานะเป็นราชนิกูลก็เป็นคนมีอำนาจ ไม่ว่าสถานการณ์จะน่าอึดอัดแค่ไหนพวกเขาก็ล้วนมีวิธีจัดการเองได้สบายๆ ความน่าอึดอัดเล็กน้อยเช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในสายตาอยู่แล้วและไม่โยกย้ายตัวไปไหนแต่นั่งลงในโถงใหญ่แล้วคุยเรื่องของตัวเองไป

พอมองทุกคนที่เหมือนมีธุระของตัวเอง ใบหน้าองค์ชายเก้าที่หล่อเหลาผิดมนุษย์ก็ฉีกยิ้มเหนื่อยหน่ายแล้วมุ่งเดินไปทางที่มู่ชิงอีนั่งอยู่เอ่ยพลางยิ้มตาหยีว่า “ข้ามีนามว่าหรงจิ่น คุณชายท่านนี้มีนามว่าอันใดหรือ”

มู่ชิงอีจับจ้องเขาด้วยสีหน้าซึมกระทือเอ่ยเสียงเรียบว่า “จังชิง”

องค์ชายหรงจิ่นกลับแสดงท่าทีสบายๆ กระทั่งลูบใบหน้าตนอย่างหลงตัวเองยิ้มกล่าว “น้องจังก็รู้สึกว่าข้าหน้าตาหล่อเหลาอย่างไม่มีใครเทียบเทียมได้เช่นกันใช่หรือไม่เล่า ไม่ต้องกังวลไป ผ่านไปอีกไม่กี่ปีเจ้าก็จะเป็นหนุ่มรูปงามไร้ใครเทียบเทียมเหมือนข้าแล้ว เฮ้อ…ไม่แน่ว่าอาจจะน้อยกว่าสักหน่อย แต่เห็นแก่ที่ในโถงใหญ่มีเพียงเราสองคนที่เป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา น้องจังช่วยรับพี่เก้านั่งด้วยสักหน่อยได้หรือไม่”

ไม่รอให้มู่ชิงอีได้พูดก็ดึงเก้าอี้แล้วนั่งลงเอง มู่ชิงอีมองใครบางคนที่หากไม่ได้เอ่ยวาจาที่ทำให้ผู้คนตกใจคงตายตาไม่หลับอย่างหมดคำพูด แต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายหรงจิ่นก็ไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่ากระซิบกระซาบ ถึงแม้ไม่ถึงขนาดได้ยินกันทั่วทั้งห้องโถง แต่คนรอบด้านต้องได้ยินชัดเจนเต็มสองหูอย่างไม่ต้องสงสัย คนอื่นๆ อดจับจ้องใบหน้าของพวกเขาไม่ได้ จากนั้นก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาหน้าตาโดดเด่นกว่าใครจริงๆ มีคนอีกบางส่วนที่เบนสายตามองหรงเหยี่ยนที่ทำสีหน้าไม่ถูก

องค์ชายแคว้นเย่ว์โง่เขล่าขนาดนี้เลยหรือ

หรงเหยี่ยนทำได้เพียงฝืนยิ้มขออภัยคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับตนอย่างจำใจ

โชคดีที่ความจริงทุกคน ณ ที่นี้ไม่ได้ถือเรื่องหรงจิ่นเป็นเรื่องเป็นราวอะไร ในเมื่อองค์ชายเก้าแคว้นเย่ว์ชื่อเสียงโด่งดังเพียงเรื่องเดียวก็คือใบหน้าหล่อเหลา ถึงอย่างไรก็ไม่เคยได้ยินว่าเก่งกาจตรงไหนมาก่อน ขนาดการมาแคว้นหวาครั้งนี้หรงเหยี่ยนยังเป็นคนตัดสินใจ ที่ผ่านมาหรงจิ่นอยู่เป็นคู่หูประดับข้างกายหรงเหยี่ยนมาตลอด กระทั่งแม้แต่เป็นคู่หูคนหนึ่งยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีเลย หากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่งหรงจิ่นไปแคว้นอื่น นั่นไม่ใช่เป็นการไปเชื่อมไมตรีแต่คงเป็นการยุแหย่ต่างหาก

ฉากแทรกเล็กๆ น้อยๆ นี้ถูกคนอื่นมองข้ามไปอย่างรวดเร็ว องค์ชายและหนุ่มน้อยที่เป็นตัวประกอบไม่สำคัญอะไรนั่งอยู่ด้วยกันกลับทำให้ทุกคนรู้สึกสมเหตุสมผลดี คนอย่างหรงจิ่นขนาดนั่งตรงนั้นยังทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับอยู่คนละโลก มีเพียงแต่สายตาของมู่หรงเสียและเว่ยอู๋จี้ที่กวาดตามองพวกเขาสองคนเป็นครั้งคราว

“น้องจัง เจ้ารู้จักกับองค์ชายเก้าด้วยงั้นหรือ” เกอซูปิงที่อยู่ข้างกายเกอซูฮั่นลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วย้อนกลับมาที่โต๊ะมู่ชิงอีอีกครั้งพร้อมเอ่ยถามอย่างสงสัย

มู่ชิงอีตอบเสียงเรียบ “ตอนนี้รู้จักแล้ว”

เกอซูปิงกะพริบตางุนงง หันไปหาหรงจิ่น “องค์ชายเก้า ข้าเกอซูปิง”

ต่อหน้าคนภายนอกคุณชายเก้าดูเป็นคนเงียบขรึม เขาหาวแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “อ้อ เป็นน้องสาวของเจ้าบึกบึนเป่ยฮั่นนั่นนี่เอง เจ้าหน้าตาไม่เลวเลยนะ” เกอซูปิงอดหน้าแดงไม่ได้ ถึงแม้จะถูกหรงจิ่นชมเชยจนทำให้นางดีใจขวยเขินอยู่บ้าง แต่นางจะยอมให้คนอื่นดูแคลนท่านพี่สิบเอ็ดของนางไม่ได้

ท่านพี่สิบเอ็ดเป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่แห่งเป่ยฮั่นเชียวนะ!

“บุรุษที่เป่ยฮั่นของเราล้วนร่างกายสูงใหญ่ทั้งนั้น ท่านพี่สิบเอ็ดเป็นบุรุษรูปงามจนเป็นที่ชื่นชอบที่สุดของเหล่าหญิงสาวในเป่ยฮั่นแล้ว!” เกอซูปิงกล่าวโอ้อวด

หรงจิ่นพยักหน้าเอ่ยอย่างจริงจัง “แผ่นหลังกว้างดั่งเสือ เอวหนาดั่งหมี มีหัวแต่ไร้สมอง เหล่าสาวๆ ของแคว้นหวาและแคว้นเย่ว์หามีใครชอบแบบนี้ไม่ น้องจัง เจ้าว่าถูกหรือไม่เล่า” มู่ชิงอีกัดฟันพูดตอบ “องค์ชายเก้าถามผิดคนแล้ว ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าสาวๆ ของแคว้นหวาและแคว้นเย่ว์จะชอบผู้ชายแบบใด”

เกอซูปิงต่อบทสนทนาด้วยไม่ได้อีกต่อไป นางรู้สึกว่า ถึงแม้หน้าตาขององค์ชายหรงจิ่นจะไร้ผู้ใดเปรียบ แต่ก็ไม่ควรดูแคลนท่านพี่สิบเอ็ดที่ตนเคารพเลื่อมใสมาตั้งแต่เด็กหลังจากที่คุยกันเพียงไม่กี่ประโยค ดังนั้นหลังจากทั้งสามสบตากันไปมา ในที่สุดหย่งจยาจวิ่นจู่ก็ตัดใจทิ้งโอกาสตีสนิทหนุ่มหล่อแล้วหมุนตัวไปจดจ่อสนทนากับจังชิงที่เพิ่งรู้จักกันแทน

องค์ชายหรงจิ่นที่นั่งดื่มชาอีกฝั่งมองพวกเขาสองคนที่ปฏิสัมพันธ์ดีเยี่ยมเบื้องหน้าก็ลอบขบฟัน

เหตุใดชิงชิงไม่สนใจเขาแต่กลับคุยจ้อสนุกสนานกับหญิงน่ารังเกียจคนนี้ขนาดนั้นเล่า ต่อให้คุยกันออกรสแค่ไหน ชิงชิงก็ไม่อาจเปลี่ยนเป็นชายไปสู่ขอนางได้สักหน่อย

ทันทีที่องค์ชายหรงจิ่นไม่พอใจก็เริ่มก่อกวนโดยพยายามจะลากมู่ชิงอีไปเดินเล่นในสวนดอกไม้เป็นเพื่อนเขาให้ได้ท่าเดียว คาดว่าความทรงจำที่องค์ชายหรงจิ่นชอบก่อความวุ่นวายตลอดหลายวันมานี้คงแทรกเข้าสู่ใจใครหลายคน เหล่าบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่เดิมทีวิ่งเล่นสนุกสนานอยู่ในสวนดอกไม้ต่างก็ถูกเหล่าพระชายาเชิญให้ไปพักผ่อน จากนั้นก็ไม่มีอะไรมาขัดขวาง เพียงแต่สุดท้ายกลับมีหย่งจยาจวิ้นจู่เพิ่มมาอีกคน

ดังนั้นเป้าหมายของพวกเขาสามคนคือเดินเตร่อยู่ในสวนดอกไม้จวนจื้ออ๋องอย่างสบายๆ เทียบกับโถงใหญ่ที่วุ่นวายคึกคักเมื่อครู่แล้ว กลิ่นอายและความสงบในสวนดอกไม้กลับทำให้มู่ชิงอีรู้สึกสบายกว่ามาก นางแหงนหน้าทอดมองพระอาทิตย์ยามพลบค่ำแล้วสูดลมหายใจเข้าช้าๆ

หรงจิ่นมองเกอซูปิงที่เดินเคียงข้างมู่ชิงอีแวบหนึ่งอย่างรังเกียจแค่นเสียงเบาเอ่ย “ข้ากับน้องจังมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ จวิ้นจู่จะตามมาทำไม คงไม่ใช่ว่าต้องตาน้องจังหรอกใช่หรือไม่”

เกอซูปิงหน้าแดง แน่นอนว่านางไม่กล้าพูดอยู่แล้วว่านางต้องตาหรงจิ่นต่างหาก อีกอย่างน้ำเสียงเย็นชาปนแดกดันเช่นนั้นก็ทำให้นางไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อยจึงคว้าตัวมู่ชิงอีเอาไว้ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าต้องตาน้องจังเข้าแล้ว แล้วอย่างไรเล่า”

“หา?” หรงจิ่นขมวดคิ้วมุ่นพลางมองทั้งสองสลับไปมา เกอซูปิงยิ้มจ้องเขาตาหยีแต่กลับถูกมู่ชิงอีที่นางกำลังกุมข้อมือไว้ส่งผ่านความประหม่าของนางมาให้ จากนั้นก็ฟังองค์ชายหรงจิ่นถอนหายใจเอ่ยอย่างนิ่งเฉยว่า “ก็ไม่อย่างไร เพียงแต่จวิ้นจู่จะเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน…ก็ควรถามเขาก่อนว่ายอมให้เจ้ากินหรือไม่”

มู่ชิงอีอดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่ได้

ถ้านางเป็นหย่งจยาจวิ้นจู่คงยกฝ่ามือฟาดหน้าเจ้าหมอนี่ไปแล้ว

หย่งจยาจวิ้นจู่ถูกยั่วโมโหจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ชี้หน้าหรงจิ่นอยู่นานแต่ก็พูดอะไรไม่ออก

“องค์ชายเก้า! เงียบปากเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” มู่ชิงอีกัดฟันเอ่ยขึ้น

องค์ชายหรงจิ่นมองสาวน้อยชุดแดงที่ถูกตนยั่วโมโหก่อนปิดปากอย่างพึงพอใจ ในระยะเวลาอันสั้นหย่งจยาจวิ้นจู่ก็ไร้ซึ่งความกล้าที่จะไปสนใจหรงจิ่นอีก นางแค่ลากตัวมู่ชิงอีมาคุยด้วย ดูท่าทางเหมือนหนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวเดินเคียงกันในสวนดอกไม้ องค์ชายเก้าที่เดิมทีเป็นคนเสนอกลับกลายเป็นส่วนเกินแทน

ตอนต่อไป

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท