องค์หญิงไหวหยางยิ้มบางกล่าว “ไหวหยางขอเล่นพิณให้ทุกท่านรับฟังสักเพลงก็แล้วกัน”
หรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างองค์หญิงไหวหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่องค์หญิงไหวหยางเลือกไม่สอดคล้องกับความคิดของเขานัก แต่ในเมื่อองค์หญิงไหวหยางเปิดปากโพล่งออกไปแล้วเขาก็คงห้ามไม่ได้ เหล่าองค์ชายและท่านอ๋องไม่กี่คนดูประหลาดใจกับฝีมือการเล่นพิณขององค์หญิงไหวหยางมาก มู่หรงจ้าวมองมู่หรงอวี้พลางยิ้มกล่าว “ข้าก็อยากเห็นนักว่าระหว่างฝีมือการเล่นพิณขององค์หญิงกับคุณหนูหลี่ใครจะเก่งกว่ากัน พี่หก ท่านก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่เล่า”
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่องค์หญิงไหวหยางเลือกกลายเป็นการท้าทายว่าที่พระชายากงมากกว่า ทุกคนย่อมรู้ดีแก่ใจว่าองค์หญิงไหวหยางต้องอยู่ที่นี่เพื่อเกี่ยวดองกับแคว้นหวา นอกจากเข้ามาเป็นสนมในวังแล้ว ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คืออภิเษกเข้าตำหนักองค์ชายสักคน แต่องค์ชายที่อายุเหมาะสมกันไม่กี่คนต่างมีพระชายากันหมดแล้วหรือแม้แต่องค์ชายแปดเองก็ยังมีพระคู่หมั้นแล้วด้วย แต่หากได้อภิเษกกับองค์หญิงไหวหยางย่อมต้องแหกกฎมณเฑียรบาลแต่งตั้งเป็นผิงเฟย และบัดนี้คนที่มีโอกาสมากที่สุดก็คือมู่หรงจ้าวและมู่หรงอวี้เพราะสองคนนี้ยังไม่ได้อภิเษกพาตัวพระชายาเข้าจวน หากองค์หญิงไหวหยางไม่ยอมทำอะไรเลย พวกเขาก็ยังมีโอกาสหาข้ออ้างได้ ส่วนองค์ชายคนอื่นๆ ในเมื่อพระชายาไม่ได้กระทำความผิดอะไรย่อมมิอาจหย่าโดยไร้สาเหตุได้อยู่แล้ว
แต่ในเวลานี้ดูภายนอกแล้วเหมือนองค์หญิงไหวหยางจะเป็นฝ่ายท้าทายหลี่จืออี๋ก่อน ซึ่งชวนให้เข้าใจผิดว่านางอาจมีใจปรารถนาอยากได้กงอ๋องหรือไม่
มู่หรงอวี้หลุบสายตาลงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ฝีมือการเล่นพิณต้องถ่ายทอดมาจากหัวใจ จะตัดสินว่าใครแพ้หรือชนะได้เยี่ยงไร”
มู่หรงจ้าวถูกจู่โจมเช่นนี้ก็แค่นเสียงเบาทีหนึ่งแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
นางในนำพิณอันเดิมที่หลี่จืออี๋เพิ่งใช้ก่อนหน้านี้ส่งให้นาง องค์หญิงไหวหยางก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงใดๆ เพียงแต่ฉีกยิ้มน้อยๆ พลางดีดสายพิณ นิ้วเรียวงามดีดเบาๆ พิณก็เปล่งเสียงดนตรีไพเราะใสกังวานออกมา
“มีสาวงามนางหนึ่งเห็นแล้วมิอาจลืมเลือนได้ หากวันใดไม่เจอะเจอคงคิดถึงคะนึงหาแทบคลุ้มคลั่ง ข้าเปรียบดั่งปักษาที่เวียนวนบนนภาเพื่อไขว่คว้าหาหงส์งามในใต้หล้า แต่น่าเสียดายที่แม่นางผู้เลอโฉมไม่ได้อยู่แถวกำแพงตะวันออก ข้าขอใช้เสียงพิณแทนคำพูดในใจเพื่อพรรณนาความรู้สึกทั้งหัวใจที่มีให้น้องเจ้า เมื่อใดจะตอบรับแต่งงานเพื่อปลอบประโลมความรู้สึกชอบพอของเราสอง หวังว่าคุณธรรมของข้าจะคู่ควรกับน้องเจ้าพร้อมจับมือไปด้วยกันจนแก่เฒ่า หากมิอาจเคียงคู่กันไปตราบชั่วนิรันดร์คงทำให้ข้าตรอมใจตาย”
ภายในห้องโถงอยู่ในความสงบ เหนือที่นั่งของขุนนางแคว้นเย่ว์ขึ้นไปหรงจิ่นที่กำลังปิดตาพักผ่อนอยู่ก็ลืมตาขึ้นเหลือบมององค์หญิงไหวหยางที่นั่งอยู่ในพระตำหนักแวบหนึ่งแล้วก็หลับตาลงอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าหรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างเขากลับแสดงสีหน้าเกรี้ยวโกรธพลางจับจ้ององค์หญิงไหวหยางราวกับชิงชังจนแทบอยากจะบีบคอนางให้ตายได้ในทันที หากแสดงเพื่อถวายแด่ฮ่องเต้และไทเฮาทอดพระเนตรคงไม่เท่าไร แต่บรรดาหญิงสาวที่แสดงไปก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงหมิงจูหรือเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ในแคว้นหวาต่างแสดงอย่างเหมาะสมกับสถานะของตัวเอง ทว่าองค์หญิงไหวหยางกลับทำเกินกว่าเหตุ องค์หญิงไหวหยางมาเพื่อเกี่ยวดองกับแคว้นหวาแต่กลับเล่นพิณขับร้องเพลงนี้ในพระตำหนักเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้แคว้นหวาหรือเหล่าองค์ชายท่านอ๋องจะมีใครอยากอภิเษกกับนางเล่า
ตลอดระยะทางที่มาแคว้นหวาหรงเหยี่ยนพยายามป้องกันไม่ให้หรงจิ่นทำเขาเสียแผน คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายคนที่ทำเขาเสียแผนกลับเป็นน้องสาวคนหนึ่งที่เชื่อฟังเขามาตลอด หากเรื่องการเกี่ยวดองกันเกิดปัญหา กลับไปเขาจะให้ความกระจ่างแก่เสด็จพ่อได้อย่างไร
ทุกคนในพระตำหนักต่างมองหน้ากัน ชั่ววินาทีนั้นไม่รู้ว่าควรจะโห่ร้องชื่นชมนางดีหรือไม่ ในเมื่อฝีมือการเล่นพิณขององค์หญิงไหวหยางไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูตระกูลหลี่เลย อีกทั้งยังมีเสียงขับร้องใสหวานเสนาะหูจนชวนให้ผู้ฟังรู้สึกมีความสุขผ่อนคลายไปด้วย แต่…ในสถานการณ์เช่นนี้ร้องเพลงแบบนี้ได้จริงๆ หรือ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…ตกลงแล้วร้องให้ใครฟังกันแน่
คนไม่น้อยต่างพุ่งเป้าสายตาจับจ้องไปที่มู่หรงอวี้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งพร้อมสีหน้าเรียบนิ่ง เพียงแต่การคุมสติของกงอ๋องนั้นไม่เลวเลย เขานั่งนิ่งไม่ขยับราวกับไม่เคยได้ยินเสียงเพลงเมื่อครู่ด้วยซ้ำ
ทว่านอกเหนือจากนั้น มู่ชิงอีกลับจับจ้องไปทางเกอซูฮั่นที่กำลังนั่งสนทนาอยู่กับหย่งจยาจวิ้นจู่ น่าเสียดายที่องค์หญิงไหวหยางทุ่มเทให้ผิดคนเพราะเลี่ยอ๋องแทบไม่ได้สนใจฟังเลยสักนิด แน่นอนว่าองค์หญิงไหวหยางย่อมมองเห็นแล้ว สีหน้าที่แสดงออกมาจึงดูแค้นใจยิ่งกว่าเดิม
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะทรงไม่พอพระทัยก็มิอาจไประบายความโกรธที่องค์หญิงไหวหยางได้ ในขณะที่แต่ละคนแสดงสีหน้าไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไร ฉับพลันฮ่องเต้แคว้นหวาก็หัวเราะเสียงดังมององค์หญิงไหวหยางพลางตรัสว่า “เราได้ยินเพียงว่าสตรีเป่ยฮั่นเป็นคนร่าเริงใจกว้าง คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงแห่งแคว้นเย่ว์จะตรงไปตรงมาเช่นนี้ด้วย ไม่เลวเลย…ในเมื่อองค์หญิงไหวหยางร้องเพลงปักษาไล่ตามหงส์งามในพระตำหนัก เราเดาว่าคนในใจของเจ้าก็คงอยู่ในพระตำหนักแห่งนี้แล้ว มิเช่นนั้นลองกล่าวออกมา เราอาจช่วยทำให้เจ้าสมหวังได้บ้างกระมัง” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเช่นนี้ก็สื่อว่าไม่ได้คิดจะให้องค์หญิงไหวหยางอยู่ที่ในวังแคว้นหวาต่อแน่นอน
หรงเหยี่ยนสีหน้าขรึมลงเล็กน้อยแต่กลับไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่ตักเตือนองค์หญิงไหวหยางทางสายตาเพราะกลัวว่านางจะเอ่ยถึงคนที่ตนรับไม่ได้ออกมา
องค์หญิงไหวหยางขบริมฝีปากเบาๆ แล้วมองหรงเหยี่ยนที่โกรธแทบกระอักตายแวบหนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองเกอซูฮั่นที่นั่งอยู่ข้างหย่งจยาจวิ้นจู่ซึ่งไม่ปรายตามองนางเลยสักครั้ง จู่ๆ ภายในใจก็นึกโกรธไม่พอใจขึ้นมาแล้วกัดฟันกล่าว “ไหวหยางขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาท แต่…ก่อนถึงตอนนั้น ไหวหยางอยากขอเรียนรู้ทักษะฝีมือของฉังหนิงจวิ้นจู่สักนิด โปรดฝ่าบาททรงเติมเต็มความปรารถนาของหม่อมฉันทีเถิดเพคะ”
มู่ชิงอีรู้สึกว่าค่ำคืนนี้เหมือนตนได้ชมละครที่แสนน่าเบื่อและน่าอัศจรรย์ใจก็ไม่ปาน โดยเฉพาะหลังจากที่นางมองความรู้สึกที่องค์หญิงไหวหยางมีต่อเกอซูฮั่นออกก็ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้มที่ทุกคนต่างไม่รู้เรื่องแต่กลับมีเพียงตนเท่านั้นที่มองออก ทว่าชั่ววินาทีที่องค์หญิงไหวหยางหันลูกศรชี้มาที่ตน มู่ชิงอีไม่เพียงแต่รู้สึกงงงัน กลับรู้สึกโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย นางไม่รู้ว่าองค์หญิงไหวหยางถูกใจต้องตาเกอซูฮั่นเช่นไร แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นองค์หญิงไหวหยางก็ไม่ควรมาระบายอารมณ์โกรธลงที่นางโดยไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยล่วงเกินองค์หญิงไหวหยางเลยแม้แต่น้อย
มู่ชิงอีใช้สายตาเจือความเกรี้ยวโกรธกวาดมองหรงจิ่น
ครั้นได้ยินชื่อฉังหนิงจวิ้นจู่สี่พยางค์หรงจิ่นก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น จากนั้นก็เห็นแววตาเกรี้ยวโกรธของมู่ชิงอี นัยน์ตาของหรงจิ่นแฝงรอยยิ้มจางๆ สื่อว่า ข้าบอกเจ้านานแล้วว่านางเป็นบ้า ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย
มู่ชิงอีรู้สึกตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใดองค์หญิงไหวหยางถึงกระทำการได้ไร้ขอบเขตถึงเพียงนี้ หรือว่าคนที่องค์หญิงไหวหยางชอบจะเกี่ยวข้องอะไรกับฉังหนิงจวิ้นจู่ แต่ไม่เคยได้ยินว่าฉังหนิงจวิ้นจู่จะหมั้นหมายกับองค์ชายพระองค์ใดหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครเลยแม้แต่น้อย หรือว่าเหล่าองค์ชายท่านอ๋องที่รู้ข่าวไวจะพอเข้าใจอะไรมากกว่าหรือไม่
ฮ่องเต้แคว้นหวาที่ยังทรงยิ้มแย้มชอบอกชอบใจเหมือนไม่ได้ทรงกริ้วกับความไร้มารยาทขององค์หญิงไหวหยางเมื่อครู่ บัดนี้กลับสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย พระองค์เหลือบมองมู่ชิงอีแวบหนึ่งแล้วตรัสเสียงเรียบ “เรื่องแสดงความสามารถให้เป็นไปตามความสมัครใจของตัวเอง หากองค์หญิงอยากได้คำชี้แนะจากฉังหนิงจวิ้นจู่ อีกประเดี๋ยวก็ค่อยไปคุยกันเองเถิด”
องค์หญิงไหวหยางมองเกอซูฮั่นที่กำลังมุ่นคิ้วมองมู่ชิงอีก็รู้สึกทั้งเจ็บใจทั้งปวดใจ นางกัดฝันอย่างดื้อรั้นแล้วมองมู่ชิงอีอย่างท้าทาย “หรือว่าฉังหนิงจวิ้นจู่ไม่เต็มใจแสดงให้ฝ่าบาทและไทเฮาได้ทอดพระเนตรอย่างนั้นหรือ”
สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่มู่ชิงอี ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าฉินกั๋วฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้วจะเป็นหญิงมากความสามารถที่หาได้ยากคนหนึ่ง แต่กลับไม่เคยได้ยินคนในเมืองหลวงเล่าลือมาก่อนว่าบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหวผู้นี้จะมีความสามารถอันน่าทึ่งอะไร ก่อนที่มู่ชิงอีจะถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ ทุกคนต่างคิดว่านางไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงใดๆ ภายใต้สถานการณ์ศึกปะทะกับองค์หญิงแคว้นเย่ว์เช่นนี้ ตกลงแล้วฉังหนิงจวิ้นจู่จะรับคำท้าหรือจะล่าถอยกันแน่
ตอนต่อไป