“องค์หญิงมีฝีมือการเล่นพิณที่หาผู้ใดเทียบได้ไม่ หม่อมฉันนับถือยิ่งนักเพคะ” ผ่านไปพักใหญ่ถึงจะได้ยินมู่ชิงอีเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง
ทุกคนในพระตำหนักรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถือว่าน่าตกใจอะไร ในเมื่อไม่เคยมีใครกล่าวถึงว่าบุตรสาวของจวนซู่เฉิงโหวมีฝีมือการเล่นพิณ แต่องค์หญิงไหวหยางกลับกัดไม่ปล่อย นางจับจ้องมู่ชิงอีไม่คลาดสายตาพร้อมเลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่รับคำท้าแต่กลับถอย หรือนี่จะเป็นวิธีการของสตรีจากตระกูลสูงส่งในแคว้นหวาอย่างนั้นหรือ”
“แล้วการบีบบังคับให้คนอื่นลำบากใจก็เป็นวิธีการขององค์หญิงแห่งแคว้นเย่ว์อย่างนั้นหรือ” องค์หญิงสามที่นั่งข้างกายมู่ชิงอีเอ่ยเสียงเย็นชา แต่องค์หญิงไหวหยางกลับไม่สนใจองค์หญิงสามแล้วเอาแต่จับจ้องมู่ชิงอีแล้วยิ้มกล่าว “ข้าใคร่ขอคำชี้แนะของฉังหนิงจวิ้นจู่จากใจจริง โปรดจวิ้นจู่เห็นแก่หน้าข้าด้วยเถิด”
เกอซูฮั่นขมวดคิ้วแน่นแล้วเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิงไหวหยาง ฉังหนิงจวิ้นจู่มิได้ชอบทางนี้ เหตุใดองค์หญิงต้องฝืนใจนางด้วย”
เกอซูฮั่นไม่เปิดปากพูดยังดีเสียกว่า ทันทีที่เปิดปากพูดสีหน้าขององค์หญิงไหวหยางก็ดูแย่ลงยิ่งกว่าเดิม แม้แต่มู่ชิงอียังอดที่จะอยากซัดเกอซูฮั่นในใจสักทีไม่ได้
ถึงแม้เกอซูฮั่นคิดอยากจะช่วยนางแต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หากยิ่งช่วยก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงมิใช่หรือ
เป็นไปตามคาดองค์หญิงไหวหยางกล่าวขึ้นว่า “จะเป็นการฝืนใจได้เช่นใดเล่า ฉังหนิงจวิ้นจู่ถูกฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ด้วยพระองค์เองย่อมมีบางอย่างที่เหนือกว่าผู้ใดอยู่แล้ว ฝ่าบาทว่าใช่หรือไม่เล่าเพคะ”
“บางทีฉังหนิงจวิ้นจู่อาจไม่เข้าใจทักษะการเล่นพิณจริงๆ ก็ได้เพคะ” อยู่ดีๆ เสียงหวานอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็โพล่งขึ้นมา “สู้จวิ้นจู่เลือกด้านที่ถนัดก็พอแล้ว เช่นนี้ก็นับว่าสมดั่งใจปรารถนาขององค์หญิงไหวหยางแล้วใช่หรือไม่เพคะ” แม่นางเชียนหลิงที่นั่งอยู่ข้างกายคุณชายเว่ยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนเหมือนจะช่วยแก้สถานการณ์ให้มู่ชิงอี แต่ในอีกแง่หนึ่งกลับยิ่งบีบบังคับให้มู่ชิงอีต้องรับคำท้าขององค์หญิงไหวหยางด้วยเช่นกัน หากนางไม่เลือกอะไรเลยจริงๆ เกรงว่าเช้าวันพรุ่งนี้ชื่อเสียงเรื่องไร้ความสามารถของฉังหนิงจวิ้นจู่คงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงแน่นอน
มู่ชิงอีแหงนหน้ามองไปก็เห็นเชียนหลิงฉีกยิ้มสดใสส่งมาให้ตน ดวงตางดงามสุกสกาวอ่อนโยนคู่นั้นเหมือนเต็มไปด้วยเจตนาร้าย มู่ชิงอีรีบจดบัญชีแค้นนี้ของเว่ยอู๋จี้ไว้ในใจทันที
ตนไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับหญิงสาวที่น่ากลัวอย่างเชียนหลิงนี่เลย แต่เว่ยอู๋จี้ที่เลี้ยงผู้หญิงแบบนี้ไว้แล้วยังปล่อยออกมาเพ่นพ่านสร้างความวุ่นวายให้คนอื่นเช่นนี้ ตนคงต้องจำบัญชีแค้นนี้ให้ขึ้นใจแล้วกระมัง!
ครั้นเห็นแววตาโกรธเคืองของมู่ชิงอี เว่ยอู๋จี้ก็ชะงักไปแล้วก้มหน้ามองเชียนหลิงแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร แต่เชียนหลิงกลับไม่ยอมง่ายๆ นางกระตุกแขนเสื้อของเว่ยอู๋จี้เบาๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “อู๋จี้ เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า”
เว่ยอู๋จี้เงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว”
รอยยิ้มที่เชียนหลิงส่งมาให้มู่ชิงอีก็ยิ่งหวานหยดย้อยมากกว่าเดิม มู่ชิงอีลอบสบถด่าในใจด้วยท่าทีสงบ
เว่ยอู๋จี้ รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังเลี้ยงสตรีโง่เขลาไว้ข้างกายเจ้าอยู่
องค์หญิงหมิงเวยมุ่นคิ้วกำลังคิดอยากจะเปิดปากช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้มู่ชิงอี แต่จู่ๆ มู่ชิงอีกลับหยัดกายลุกขึ้นแล้วอมยิ้มกล่าวกับองค์หญิงเก้าว่า “องค์หญิงเพคะ หมึกและพู่กันที่องค์หญิงใช้เมื่อครู่ขอชิงอียืมสักประเดี๋ยวได้หรือไม่”
องค์หญิงเก้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วมององค์หญิงไหวหยางที่ยังยืนกลางพระตำหนักพร้อมปิดปากยิ้มหวาน “ย่อมได้อยู่แล้ว ฉังหนิงจวิ้นจู่ตามสบายเถิด” เพียงสะบัดมือนางในที่อยู่ด้านหลังก็รีบส่งพู่กันหมึกและกระดาษให้นางทันที มู่ชิงอีเดินออกมาจากที่นั่งของตัวเองแล้วเดินไปด้านหน้าโต๊ะที่ว่างอยู่ในมุมหนึ่งของพระตำหนัก หลังจากฝนหมึกเสร็จก็เริ่มขยับมือสะบัดพู่กันไปมา ทุกคนที่นั่งในพระตำหนักต่างมองอย่างใคร่รู้ มีบางส่วนที่เดาไม่ออกว่าฉังหนิงจวิ้นจู่กำลังทำอะไรอยู่ หากบอกว่าเป็นการวาดภาพทว่าความเร็วในการขยับพู่กันกลับเร็วเกินไปหน่อย หากเป็นการเขียนตัวอักษรพู่กันจีน เวลานี้คงเขียนเสร็จนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างเห็นว่าฉังหนิงจวิ้นจู่ใช้สีสำหรับใช้วาดภาพด้วย ส่วนการเขียนตัวอักษรพู่กันจีนอยากทำให้ยอดเยี่ยมก็มิใช่เรื่องง่าย นอกเสียจากจะมีระดับความสามารถที่โดดเด่น แต่เนื่องจากฉังหนิงจวิ้นจู่ยังวัยเยาว์นักจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกแสดงเขียนตัวอักษรพู่กันจีนธรรมดาๆ แน่นอน
การวาดภาพต้องใช้เวลาแต่มู่ชิงอีกลับไม่ได้ใช้เวลามากสักเท่าไร หลังจากใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็วางพู่กันลงแล้วส่งสัญญาณเรียกให้นางในข้างกายเอาภาพไปให้ทุกคนในพระตำหนักได้ชมกัน
ครั้นเห็นมู่ชิงอีหยุดปลายพู่กัน ใบหน้างดงามขององค์หญิงไหวหยางก็เผยท่าทีเย้ยหยันออกมา นางไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเวลาเพียงแวบเดียวมู่ชิงอีจะสามารถวาดอะไรที่น่าทึ่งออกมาได้ ในเมื่อองค์หญิงเก้าวาดภาพดอกโบตั๋นที่เบ่งบานงดงามเมื่อครู่ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งค่อนชั่วยามแล้ว
สองนางในค่อยๆ เปิดภาพอย่างระมัดระวังให้ทุกคนได้ชมกัน ภาพแรกที่เห็นคือหงส์ตัวใหญ่ยักษ์ที่กินพื้นที่ไปครึ่งกระดาษ หงส์เกาะดอกโบตั๋นเป็นภาพหนึ่งที่ไม่เลวเลยแต่หงส์ในภาพนี้กลับดูแปลกๆ อยู่บ้างเพราะเป็นภาพหงส์หันหลังเลยทำให้ทุกคนเห็นเพียงเงาแผ่นหลังของหงส์ขนาดใหญ่ หัวของหงส์กลับมุ่งไปทางดวงตะวันฝั่งตะวันออกราวกับปรารถนาอยากสยายปีกโบยบินไปให้ไกล
“เอ๊ะ มีกลอนด้วยหรือ” องค์ชายเจ็ดที่ดูกระตือรือร้นที่สุดหยัดกายลุกขึ้นแล้วจับจ้องไปที่กลอนบนภาพวาดแล้วอ่านเสียงดังว่า “เพลงปักษาไล่ตามหงส์งามในอดีตกลับกลายเป็นหงส์งามไล่ตามปักษาในเวลานี้แล้ว ถึงแม้จะน่าสงสารที่บุรุษหามีใจให้ แต่หากเจ้าเศร้าใจแล้วเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย เอ๊ะ…นี่หมายความว่าเช่นใดหรือ” ครั้นอ่านจบ มู่หรงจ้าวก็เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก แต่พอนึกขึ้นได้เขาก็พ่นเสียงหัวเราะออกมาทันทีแล้วล้มตัวลงบนเก้าอี้พร้อมเสียงขำขันที่แทบหน้าคว่ำคะมำหงาย ทั้งยังไม่ลืมยกมือขึ้นประสานส่งให้มู่ชิงอีพลางกลั้วหัวเราะกล่าว “ฉังหนิงจวิ้นจู่ความสามารถยอดเยี่ยมนัก ข้านับถือ!”
ส่วนสีหน้าคนอื่นๆ ก็ดูแปลกไม่น้อยเพราะทุกคนดูเหมือนพยายามกลั้นหัวเราะไว้อยู่ มีผู้กล้าไม่กี่คนที่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกับมู่หรงจ้าวโต้งๆ ความจริงภาพวาดพร้อมบทกลอนของมู่ชิงอีไม่ได้งดงามเท่าไรนัก มู่ชิงอีจงใจปกปิดความสามารถ ขณะเดียวกันหากอยากวาดภาพให้ดูซับซ้อนกว่าองค์หญิงเก้าเมื่อครู่ในเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้ ในแง่คุณภาพผลงานย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแต่ก็นับว่าพอดูได้ ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกทึ่งก็คือกลอนที่นางเขียนขึ้นมาถึงจะนับไม่ได้ว่าเป็นกลอนที่โดดเด่นอะไร แต่ภายใต้สถานการณ์ในเวลานี้รวมกับภาพวาดหงส์หันหลังให้ดอกไม้แล้วมุ่งหน้าไปสู่ดวงตะวันกลับชวนให้กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ
กลอนบทนี้เข้าใจง่ายมาก หากพูดภาษาง่ายๆ ก็คือ ถึงเพลงปักษาไล่ตามหงส์งามจะเป็นที่แพร่หลายในอดีต แต่พอขับร้องโดยสตรีกลับดูไม่สำรวมเท่าไรนัก คนที่เจ้าชอบกลับไม่ชอบเจ้าถึงแม้จะคู่ควรกับความเห็นใจ แต่หากเจ้าเจ็บปวดใจก็ไม่ได้เกี่ยวกับข้า ดังนั้นอย่ามาหาเรื่องข้าจะดีกว่า
องค์หญิงไหวหยางจับจ้องภาพนั้นด้วยสีหน้าเดือดดาลแล้วถึงกวาดตามองทุกคนที่ดูท่าทางกำลังกลั้นหัวเราะไว้อยู่ องค์หญิงไหวหยางก็ยิ่งอยากพุ่งเข้าไปฉีกมู่ชิงอีให้เป็นชิ้นๆ สำหรับแววตาชิงชังที่องค์หญิงไหวหยางส่งมา มู่ชิงอีกลับแสดงสีหน้าราบเรียบ
ตนไม่ได้เป็นฝ่ายไปหาเรื่ององค์หญิงไหวหยางก่อน กลับกันองค์หญิงไหวหยางต่างหากที่เป็นฝ่ายมาหาเรื่องก่อน คิดว่าตนรังแกได้ง่ายๆ หรืออย่างไรกัน
“ไหวหยาง! กลับมานี่!” หรงเหยี่ยนขึงตามององค์หญิงไหวหยางแวบหนึ่งพร้อมเอ่ยเสียงขรึม คืนนี้แคว้นเย่ว์อับอายมากเกินพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องขายหน้าเช่นนี้ต่อไปอีก “ไหวหยางไม่ค่อยรู้ความ โปรดฝ่าบาททรงอภัยให้ด้วย”
เดิมทีฮ่องเต้แคว้นหวายังทรงกริ้วอยู่ในใจ แต่หลังจากได้เห็นพฤติกรรมของมู่ชิงอีความโกรธก็พลันมลายหายไปจนสิ้น จากเดิมทีที่รู้สึกว่าองค์หญิงไหวหยางช่างขัดตานักเหมือนว่าจะไม่ได้ดูขัดหูขัดตาขึ้นมาชั่วขณะแล้ว ฮ่องเต้แคว้นหวาโบกมือพลางยิ้มตรัส “เอาเถิด เด็กๆ เล่นกันเท่านั้น ฉังหนิงจวิ้นจู่ก่อกวนไปบ้าง ตวนอ๋องกับองค์หญิงไหวหยางก็อย่าถือความนางเลย”
หรงเหยี่ยนฝืนยิ้ม เขามองมู่ชิงอีที่กลับไปนั่งข้างกายองค์หญิงหมิงเวยแล้วพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ฉังหนิงจวิ้นจู่หลักแหลมเหนือใคร กระหม่อมเลื่อมใสเสียด้วยซ้ำแล้วจะบังอาจถือความนางได้เช่นใดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวามองมู่ชิงอีแวบหนึ่งแล้วตรัสพร้อมรอยยิ้มเอ็นดูรักใคร่ที่แต่งแต้มบนใบหน้า “ฉังหนิงจวิ้นจู่หลักแหลมเหนือใครจริงๆ เอาล่ะ…ฉังหนิงจวิ้นจู่ฟังราชโองการ”
ตอนต่อไป