“ฮ่องเต้แคว้นหวา นี่คือ…” หรงเหยี่ยนหรี่ตาลงแล้วจับจ้องของที่กองอยู่บนพื้น ภายในใจนึกสงสัยว่าฮ่องเต้แคว้นหวาไม่อยากเอาของชิ้นนี้ออกมาให้ดูเลยจงใจเอาของปลอมมาตบตาแทนหรือไม่
อารมณ์ที่ดีตลอดในค่ำคืนนี้มลายหายไปในพริบตา ไม่เพียงเท่านั้นเพราะฮ่องเต้แคว้นหวาเกรี้ยวโกรธจนหน้ามืดเป็นพักๆ ความลำพองใจที่ตนมีตลอดหลายวันมานี้กลับดูเป็นเรื่องขบขันไปชั่วขณะ อีกทั้งแผนที่ซ่อนสมบัติใบนั้น…เขาก็ส่งคนไปหาตามแผนที่นั้นแล้ว เพียงแต่ออกจะไกลไปสักหน่อย หากแผนที่นั้นเป็นของปลอมเช่นกันล่ะก็…ตอนนี้ฮ่องเต้แคว้นหวารู้สึกเพียงหน้ามืดเหมือนเห็นตนกลายเป็นตัวตลกของเหล่าขุนนางทูตแคว้นอื่นไปแล้ว
“จับตัวเนี่ยอวิ๋นไว้!” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเสียงเย็นยะเยือก ไม่ว่าเช่นไรอย่างน้อยเนี่ยอวิ๋นก็ต้องรับโทษถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ทันใดนั้นก็มีคนพุ่งเข้ามาหมายจะจับตัวเนี่ยอวิ๋นไป เนี่ยอวิ๋นไม่ได้ขัดขืนอะไรเพียงแต่ยอมให้องครักษ์คนอื่นจับตนไปเข้าคุกด้วยท่าทีนิ่งขรึม
ในงานวันคล้ายวันพระราชสมภพพระชนมายุครบห้าสิบชันษานี้ ฮ่องเต้แคว้นหวารู้สึกอับอายจนต้องเดินหนีออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ทุกคนที่นั่งอยู่มองหน้ากัน พวกเขาล้วนแต่เป็นบุคคลที่ผ่านเหตุการณ์อะไรมามากมาย แต่คาดว่าสถานการณ์เช่นนี้กลับเพิ่งเคยพบเคยเห็นเป็นครั้งแรก ชั่ววินาทีนั้นไม่มีใครรู้ว่าควรทำตัวเช่นใด ครั้นมองเศษซากกึ่งโปร่งแสงบนพื้นก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังเยาะเย้ยงานเลี้ยงยิ่งใหญ่งดงามแห่งนี้เข้าไปใหญ่
ฮ่องเต้จากไปแล้ว ฮองเฮาเองก็ไม่ได้อยู่นานเพียงแค่รีบมอบหมายให้เหล่าอ๋องจัดการปัญหาไป จากนั้นก็ประคองไทเฮารวมถึงพาเหล่าพระสนมทั้งหลายเดินออกจากพระตำหนักไปเช่นกัน องค์หญิงหมิงเวยมองเหตุการณ์วุ่นวายนี้ด้วยสายตาเยือกเย็นแล้วเอียงตัวเอ่ยกับมู่ชิงอีด้วยเสียงราบเรียบว่า “ช่างเถอะ พวกเราก็ไปกันเถิด”
มู่ชิงอีย่อมไม่คัดค้านอะไรอยู่แล้ว ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่ได้กระทำการบุ่มบ่ามใดในพระตำหนักนักแต่หลังจากนี้คงทำทุกอย่างแน่นอน ฉะนั้นนางต้องเตรียมตัวไว้ก่อน
เหล่าอ๋องปลอบประโลมแขกเหรื่อในงานแล้วส่งขุนนางทูตและแขกกิตติมาศักดิ์เหล่านี้ออกจากวังไป ทุกคนย่อมรู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้แคว้นหวาอารมณ์ไม่ดีเลยไม่มีใครกล้าไปวุ่นวายกับเขาอีก
มู่ชิงอีบอกลาองค์หญิงหมิงเวยตรงประตูแล้วเดินมายังเบื้องหน้ารถม้าของตน ประจวบกับทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวเองก็มากันครบแล้วเช่นกัน ครั้นเห็นมู่ชิงอีกำลังเตรียมตัวขึ้นรถม้ามู่หรงอวิ๋นก็อดเอ่ยเสียงสูงแดกดันนางไม่ได้ว่า “นี่คือองค์หญิงหมิงเจ๋อมิใช่หรือ เหตุใดไม่อยู่ในวังแต่กลับไปจวนเล็กๆ อย่างจวนซู่เฉิงโหวกันเล่า”
“อวิ๋นหรง!” มู่เชินขมวดคิ้วเอ่ย ประตูวังเป็นจุดที่คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน มู่หรงอวิ๋นทำตัวปากไม่มีหูรูดเช่นนี้จะพลอยหาเรื่องเดือดร้อนมาให้จวนซู่เฉิงโหวไปด้วย มู่ฉังหมิงสีหน้าเงียบขรึมราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่มู่อวิ๋นหรงกล่าวเมื่อครู่ ทว่ามู่อวิ๋นหรงไม่ยอมง่ายๆ กล่าวเยาะเย้ยว่า “หรือว่าข้าพูดผิดไปหรือ ไม่รู้ว่านางใช้วิธีการใดหรือเล่นอาคมใดจนฝ่าบาททรงแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิง แต่…ใครจะรู้ว่านางจะถูกส่งตัวไปเกี่ยวดองที่ไหนหรือเปล่า”
มู่ชิงอีกระตุกเหยียดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยกล่าว “พี่หญิงสาม ระวังตัวเองไว้เถิด ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นองค์หญิงมิใช่หรือ”
มู่อวิ๋นหรงหน้าซีดแต่กลับขบริมฝีปากกล่าว “เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “เกรงว่าท่านพี่หญิงคงต้องกลัวข้าแล้วกระมัง หากไม่อยากกลัวข้า…เช่นนั้นก็ไตร่ตรองอภิเษกกับหนิงอ๋องเป็นพระชายาหนิงไปเสียเถิด ในเมื่อฝ่าบาทไม่มีทางแต่งตั้งท่านเป็นองค์หญิงอยู่แล้ว”
“พอแล้ว!” มู่ฉังหมิงกวาดตามองมู่ชิงอีด้วยสายตาราบเรียบแวบหนึ่งแล้วตัดบทมู่อวิ๋นหรงที่กำลังคิดจะโต้ตอบกลับไป
ฉับพลันสะใภ้ซุนที่อยู่ด้านหลังพวกเขาก็เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดหลิงเอ๋อร์ยังไม่ออกมาอีกนะ ตั้งแต่บ่ายวันนี้มาก็ไม่เห็นเขาอีกเลย” ตอนนี้ทุกคนถึงจับผิดสังเกตได้ ค่ำคืนดึกดื่นขนาดนี้แล้วแต่กลับไม่มีใครเห็นเงาหัวของมู่หลิงเลย มู่ฉังหมิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่งเพราะแม้แต่ตอนดูการแสดงพลุด้านนอกพระตำหนักเมื่อครู่ก็เหมือนจะไม่เห็นมู่หลิงเช่นกัน
มู่อวิ๋นหรงเองก็นิ่งแล้วลังเลอยู่พักหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “หรือว่าพี่รอง…ยังไม่ออกมาจากในวังเจ้าคะ”
มู่เชินมองมู่ชิงอีแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จะเป็นไปได้เช่นใด พวกเราเดินออกมาก็รั้งท้ายแล้ว อีกเดี๋ยวประตูวังก็จะปิดแล้ว”
“หรือว่าเขากลับไปก่อนแล้ว” มู่ฉังหมิงมุ่นคิ้วเอ่ย พวกเขานั่งอยู่ด้านในพระตำหนักกันหมดแต่มีเพียงมู่หลิงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่ด้านนอก คงนึกไม่ชอบใจขึ้นมาเลยกลับไปก่อนก็มีความเป็นไปได้ สะใภ้ซุนเอ่ยอย่างกังวลว่า “แต่ว่า…รถม้าของจวนเราก็อยู่ครบ ท่านพี่…หลิงเอ๋อร์จะอยู่ในวังหรือไม่เจ้าคะ” หากหลังจากประตูวังปิดแล้วยังอยู่ในนั้นจะต้องรับโทษใหญ่ สะใภ้ซุนเลยนึกเป็นห่วงขึ้นมา
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วขบคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าจะกลับไปดูเอง”
ถึงแม้สะใภ้ซุนจะเป็นกังวลแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มู่ฉังหมิงหมุนตัวเดินเข้าไปทางประตูวัง ส่วนคนอื่นๆ ถูกบ่าวรับใช้ประคองพาขึ้นรถม้าเตรียมกลับจวน ก่อนขึ้นไปมู่ชิงอีมองเงาแผ่นหลังของมู่ฉังหมิงที่กำลังเดินเข้าวังไปแวบหนึ่งพร้อมยกยิ้มมุมปากบางๆ มู่หลิง…จะถูกหาตัวเจอหรือไม่นะ
คืนนี้สถานที่คึกคักไม่ได้มีเพียงในวังหลวงเท่านั้น ยามที่งานเลี้ยงสนุกสนานรื่นเริงที่สุดในวัง คุกใหญ่ในเมืองหลวงก็มีแขกพิเศษคนหนึ่งมาเยือนเช่นกัน
จูหมิงเยียนนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งในคุกที่มืดสลัวอย่างโดดเดี่ยว แววตาหยิ่งผยองสุกใสในอดีตกลับมืดมัวมองอะไรไม่ชัดเจนนานแล้ว ใบหน้าสะสวยแปรเปลี่ยนดูซูบผอมอ่อนแรงเพราะความกังวลหวาดกลัวในหลายวันมานี้ นับตั้งแต่พระชายาผิงหนานออกไปในวันนั้นกลับไม่ได้พาท่านเจ้าอาวาสที่เปรียบเสมือนดั่งยามาช่วยจูหมิงเยียนเลย เหตุเพราะใต้เท้าเซ่าไม่อนุญาต ศาลอิงเทียนฝู่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมีสิ่งชั่วร้ายมาแผ้วพานได้เช่นใด ยิ่งไปกว่านั้นนักบวชยังเคยกล่าวไว้ว่าหากคนเราทำผิดมักจิตใจฟุ้งซ่าน อีกทั้งผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ไม่อนุญาตเพราะเรื่องของจูหมิงเยียนทำให้จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องตกเป็นเป้าสายตนคนไม่น้อยแล้ว หากโวยวายว่าเป็นเรื่องผีสางนางไม้อีก ต่อให้จูหมิงเยียนจะไม่รู้ว่ามีผีจริงไหม แต่เกรงว่าคนนอกคงเดากันไปว่าจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องทำเรื่องไม่ดีไว้แน่
แต่ภายในใจของจูหมิงเยียนเอาแต่คิดว่าเป็นวิญญาณร้ายของกู้อวิ๋นเกอดตามหลอกหลอนจนหวาดกลัวหนักกว่าเดิม ทรมานมาหลายวันจนนางสติล่องลอย กระทั่งแม้แต่เรี่ยวแรงอาละวาดยังไม่มี
คืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพครบห้าสิบชันษาของฮ่องเต้แคว้นหวา เดิมทีนางควรได้ออกงานเลี้ยงใหญ่โตอยู่ท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของบรรดาสตรีทุกคนในฐานะพระชายากง ในวังฉลองกันอย่างรื่นเริงแต่นางกลับถูกขังอยู่ในคุกเป็นนักโทษตกต่ำเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนกว่าเท่านั้น…หลังจากกู้อวิ๋นเกอตายไป…ยังไม่พ้นหนึ่งเดือนดี นางก็ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว!
ถึงแม้จะเป็นอากาศในเดือนห้าเดือนหกแต่ในคุกกลับหนาวเย็นยะเยือก จูหมิงเยียนเหม่อมองห้องที่ว่างเปล่าอย่างหวาดกลัวพลางกระชับกอดตัวเองเพื่อรับไออุ่นอย่างระแวง
ด้านนอกประตู ทหารเฝ้าคุกนำบุรุษร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำพร้อมสวมหมวกเหวยเม่า[1]บนศีรษะทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัดนักเดินเข้ามาพร้อมผุดรอยยิ้มชั่วร้าย ค่ำคืนนี้ในเมืองหลวงเต็มไปด้วยเรื่องน่ายินดี แม้แต่ทหารอารักขาหน้าคุกก็ถูกปล่อยตัวกลับไปกว่าครึ่ง ส่วนทหารที่เหลือไว้เฝ้าหน้าคุกก็น้อยเต็มที โชคดีที่นักโทษกักขังในคุกอิงเทียนฝู่ไม่ใช่ผู้ต้องโทษร้ายแรงอะไร ส่วนมากเป็นนักโทษทะเลาะวิวาทหรือขโมยของเล็กน้อยเท่านั้นที่ถูกจับเข้ามา อีกทั้งไม่มีใครบ้ากล้าหาญมาช่วยนักโทษแหกคุกแน่นอน
“พลั่ก” ประตูคุกถูกเปิดออกจากด้านนอก แต่เพราะเป็นค่ำคืนเงียบสงัดจึงเสียงดังมากเป็นพิเศษ จูหมิงเยียนแหงนหน้าขึ้นอย่างงงงวยมองไปทางประตู
ยามค่ำคืนแบบนี้จะมีใครโผล่มาที่นี่ได้เล่า
——————————–
[1]หมวกเหวยเม่า เป็นหมวกปีกกว้าง มีผ้ายาวตาข่ายคลุมปิดหน้าลงมาถึงคอ
ตอนต่อไป