เกอซูฮั่นสีหน้าขรึมลง ในฐานะที่เขาเป็นเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นจึงย่อมไม่ใช่คนอารมณ์เย็นสักเท่าไรมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อวิ๋นอิ่นไม่เห็นใครในสายตาเช่นนี้ย่อมชวนให้เขาเดือดดาลเป็นธรรมดา จึงเอ่ยยิ้มเย็นชาว่า “ดี ข้าจะดูว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นเก่งมาจากไหนถึงเห็นข้าขัดหูขัดตาเช่นนี้ได้!”
ในเมื่อคุยกันไม่ได้ พวกเขาสองคนเลยลงไม้ลงมือกันโต้งๆ ไปเลย
หย่งจยาจวิ้นจู่โผล่ศีรษะออกจากรถม้าแล้วมองออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวัง องครักษ์แห่งเป่ยฮั่นต่างล้อมรอบรถม้าเพื่อปกป้องหย่งจยาจวิ้นจู่ไว้นานแล้ว เห็นเพียงร่างของพวกเขาสองคนตะลุมบอนใส่กันอย่างว่องไวจนชวนให้ทุกคนตาลายกันไปหมด ถึงแม้องครักษ์ของเป่ยฮั่นจะมียอดฝีมือมากมายแต่หากอยากจะดูให้ชัดเต็มสองตาเกรงว่าคงกินแรงพวกเขาไม่น้อย
เกอซูฮั่นชักดาบคู่กายแสงวาววับที่พกติดตัวออกมา ขณะเดียวกันในแขนเสื้อของคุณชายอวิ๋นอิ่นก็มีแสงเงินพาดผ่าน ในมือเขาเองก็กุมมีดสั้นกระทัดรัดขนาดหนึ่งไม้บรรทัดเล่มหนึ่งเช่นกันแต่กลับเห็นเพียงแสงสีแดงบนปลายมีดอันแหลมคมรำไรที่ทำให้พอรู้ว่ามีดเล่มนี้เป็นมีดสังหารที่เคยใช้ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน
เกอซูฮั่นผ่านมาหลายศึกจึงใช้วิทยายุทธต่อสู้อย่างตรงไปตรงมาไม่เคยลอบทำร้ายใครอยู่แล้ว ทว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นกลับต่างกันออกไป กระบวนท่าวิทยายุทธของเขาเปลี่ยนแปลงยากจะคาดเดาได้ อีกทั้งทุกกระบวนท่าอันตรายราวกับผีไร้เงาก็ไม่ปาน
เดิมทีเกอซูฮั่นเดือดดาลเพราะจู่ๆ ก็ถูกดักจู่โจม แต่หลังจากลงมือแล้วความเกรี้ยวโกรธภายในใจก็ค่อยๆ มลายหายไป ยิ่งชอบใจที่มีคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีกัน เดิมทีเขามาแคว้นหวาเพื่อหายอดฝีมือมาประลองสักยก แต่เขายังไม่ทันท้าประลองกับเนี่ยอวิ๋น คืนนี้เนี่ยอวิ๋นก็ถูกฮ่องเต้แคว้นหวาจับตัวไปเสียแล้ว ส่วนจะรอดออกมาได้หรือไม่เป็นเรื่องที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ บัดนี้ได้เจอกับคุณชายอวิ๋นอิ่นก็นับว่าสมดั่งใจแล้ว
พวกเขาสองคนปะทะกันตรงกลางถนนใหญ่ ถึงแม้เวลานี้จะอยู่ในช่วงกลางดึกแต่เพราะเสียงต่อสู้เลยทำให้ผู้คนไม่น้อยแห่กันออกมามุงดู มีเสียงขบวนฝีเท้าพร้อมเพรียงดังแว่วมาจากมุมไกลๆ เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำหน้าที่ดูแลอารักขาเมืองหลวงตามเสียงมา คุณชายอวิ๋นอิ่นเองก็เข้าใจดีว่าวิทยายุทธของเขากับเกอซูฮั่นพอๆ กัน หากจะสู้กันต่อไปผลลัพธ์ก็แค่ดูว่าใครจะตายได้อนาถกว่ากันเท่านั้นเอง อีกอย่างเมืองหลวงแคว้นหวาไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การสู้กันเอาเป็นเอาตาย คุณชายอวิ๋นอิ่นแค่นเสียงเบาทีหนึ่งแล้วใช้ปลายมีดสั้นประกายแสงสีแดงอันแหลมคมในมือฟันไปที่แผ่นอกของเกอซูฮั่น เกอซูฮั่นก็ไม่น้อยหน้าแกว่งดาบปัดมีดสั้นของคุณชายอวิ๋นอิ่นออก จากนั้นก็ยกมือข้างซ้ายขึ้นปล่อยหมัดซัดเขาไปทีหนึ่งเช่นกัน
คุณชายอวิ๋นอิ่นชะงักไปเล็กน้อย เขาถอยตัวไปด้านหลังหลายสิบก้าว กวาดตามองคนที่พุ่งมาทางนี้แวบหนึ่งอย่างเย็นชาแล้วถึงลอยตัวหนีไป
เกอซูฮั่นก้มมองแผ่นอกที่ถูกฟันจนเลือดซึมออกมาแวบหนึ่งพลางมุ่นคิ้ว ครั้นหย่งจยาจวิ้นจู่เห็นเขาไปแล้วเลยรีบลงจากรถม้าวิ่งไปหาทันที “ท่านพี่สิบเอ็ด ท่านพี่เป็นเช่นใดบ้างเพคะ” พอเห็นรอยแผลเลือดซึมตรงทรวงอกของเกอซูฮั่นก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีด “ท่านพี่สิบเอ็ด ท่านพี่บาดเจ็บแล้ว”
เกอซูฮั่นส่ายศีรษะกล่าว “แค่แผลภายนอก ไม่เป็นไรหรอก เขาเองก็บาดเจ็บเช่นกัน”
เกอซูฮั่นแหงนหน้ามองทิศทางที่คุณชายอวิ๋นอิ่นจากไปแวบหนึ่ง เกอซูฮั่นหลุบตาลงพลางครุ่นคิดบางอย่าง หมัดสุดท้ายเดิมทีเขาน่าจะหลบได้สิถึงจะถูก แต่เกอซูฮั่นรู้สึกได้ว่าตอนที่คุณชายอวิ๋นอิ่นคิดจะหลบแล้วค่อยซัดเขากลับอย่างหนักหน่วงอีกสักหมัดกลับนิ่งชะงักไปชั่วขณะ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดแต่เกอซูฮั่นก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ถึงการสู้กันครั้งนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่น่าพอใจสักเท่าไรแต่ก็นับว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นมีฝีมือการต่อสู้สมดั่งคำร่ำลือจริงๆ หากไม่ใช่เพราะอายุยังน้อย เกรงว่าคงรับมือได้ยากกว่าหนานกงเจวี๋ยแห่งแคว้นเย่ว์เสียอีก
“เลี่ยอ๋อง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์เมืองหลวงรีบปรี่เข้ามาหา ครั้นเห็นแผ่นอกของเกอซูฮั่นมีบาดแผลก็ตกใจยกใหญ่แล้วรีบสั่งคนให้ตามไล่ล่าตัวคนร้ายมา
เกอซูฮั่นเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร เจอสหายเลยประลองกันสักหน่อยเท่านั้น”
สีหน้าที่ตื่นตระหนกของหัวหน้าองครักษ์ในตอนแรกพลันดูลำบากใจขึ้นมา สหายแบบไหนกันโผล่มาฟันท่านตอนดึกดื่นเช่นนี้ อีกอย่างเมืองหลวงมีคำสั่งว่าห้ามประลองกัน! คงไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนแคว้นอื่นแล้วจะแหกกฎหรอกกระมัง
ณ จวนซู่เฉิงโหว
มู่ชิงอีกลับมาถึงเรือนหลานจื่อ บ่าวรับใช้ทั้งสองรู้สึกดีอกดีใจโล่งอกขึ้นมาทันที นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางเข้าวังเลยกลัวว่าจะก่อเรื่องวุ่นวายให้คุณหนูของตนจึงระมัดระวังไม่กล้าพูดอะไรมากนัก ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กลับมาถึงจวนเลยรีบพูดชดเชยในช่วงเวลาตลอดทั้งวันที่ไม่ได้พูดให้สมใจ มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางๆ แล้วไม่ได้สนใจพวกนางอีก มองอู๋ซินที่อยู่เรือนทั้งวันแล้วเอ่ยถามว่า “วันนี้เรือนหลานจื่อมีเรื่องอันใดหรือไม่”
อู๋ซินเอ่ยอย่างนอบน้อม “ทุกอย่างปกติดี ไม่มีเรื่องอันใดขอรับ”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างวางใจ ถึงแม้เมื่อวานตนจะถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่จนทำให้คนมากมายเหนือความคาดหมาย แต่ตนก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง คาดว่าคงไม่มีใครจงใจมาหาเรื่องนางเพราะเรื่องนี้หรอกกระมัง
ขณะขบคิดอยู่นั้นก็มีเสียงโอดครวญดังแว่วมาจากในห้องนอน มู่ชิงอีอดปรายตามองไม่ได้ เวลาเช่นนี้คนที่กล้ามาเรือนนางอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ในเมืองหลวงแห่งนี้นอกจากองค์ชายเก้าคงไม่มีใครแล้ว
นางมองอู๋ซินที่ยืนอยู่อีกฝั่งแวบหนึ่ง อู๋ซินพยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึมซึ่งบ่งบอกว่าคนด้านในเป็นอดีตเจ้านายเขาจริงๆ
มู่ชิงอีถอนหายใจลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง ทว่าทุกอย่างที่เห็นกลับทำให้นางตกใจยกใหญ่ คนที่ในยามปกติมักเอนกายด้วยท่าทีเกียจคร้านอยู่บนเตียงของนางหรือนั่งบนเก้าอี้แล้วมองนางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มทว่าบัดนี้กลับนอนผมยุ่งกระเซอะกระเซิงกองอยู่ที่พื้น อีกทั้งมู่ชิงอีก็เห็นร่องรอยเลือดสีแดงเข้มบนพื้นตั้งแต่แวบแรกแล้ว
“หรงจิ่น?” มู่ชิงอีเดินเข้ามา ยื่นมือออกไปหมายจะประคองเขาขึ้น ทว่านางเป็นเพียงสาวน้อยร่างบางอายุเพียงสิบหกคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้หรงจิ่นจะเป็นบุรุษอ่อนแอขี้โรคแต่ก็สูงกว่านางมากโข พอลองไปได้สักพักหนึ่งก็ค้นพบว่านางมิอาจย้ายร่างหรงจิ่นไปได้ มู่ชิงอีเลยตัดสินใจเรียกอู๋ซินมาช่วย
ครั้นเห็นหรงจิ่นนอนหายใจโรยรินอยู่ที่พื้น อู๋ซินก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยแล้วช่วยมู่ชิงอีประคองเขาขึ้นมาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็กดข้อมือดูเส้นชีพจร ในเวลานี้หรงจิ่นบาดเจ็บหนักจนสลบไปแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นชั่ววินาทีที่อู๋ซินแตะต้องตัวเขาคงถูกเขาสะบัดกระเด็นลอยไปไกลแล้ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นอู๋ซินเพิ่งคว้าข้อมือของเขามา ดวงตาที่ปิดอยู่ในตอนแรกก็เบิกโพลงในทันที แววตาดุดันและโหดเหี้ยมทำเอาอู๋ซินอดสะท้านเฮือกในใจไม่ได้
“ไปให้พ้น!” มือข้างซ้ายยกขึ้น จากนั้นแสงสีเงินก็ลอยไปทางอู๋ซินอย่างรวดเร็ว อู๋ซินตกใจสะดุ้งโหยงแล้วรีบกระโดดหลบ แต่ชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกว่าแผ่นหลังของตนกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว
มู่ชิงอีสีหน้าขรึมลงเล็กน้อยแล้วใช้มือกดร่างหรงจิ่นที่หมายจะลุกขึ้นนั่งลงกลับไปดังเดิม “อาการปางตายขนาดนี้แล้วยังจะทรมานอะไรตัวเองอีก”
อู๋ซินตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เขาอยากกล่าวเอ่ยเตือนมู่ชิงอีแต่กลับไม่ทันแล้ว หรงจิ่นเป็นคนอารมณ์ร้อน หากได้รับบาดเจ็บหรือป่วยอยู่ก็ยิ่งอารมณ์แย่ลงไปอีก ปกติเขาระมัดระวังไม่ให้คนอื่นโดนตัวเขาเสมอ ถึงแม้หรงจิ่นมักจะเล่นกับมู่ชิงอีอย่างไม่ถือตัว แต่อู๋ซินไม่มั่นใจว่ายามที่บาดเจ็บหนักขนาดนี้จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ น่าเสียดายที่เตือนมู่ชิงอีไม่ทันแล้ว ขณะที่เขาคิดว่าจะเข้าไปดึงตัวมู่ชิงอีออกมาหากหรงจิ่นลงไม้ลงมือจริงๆ ทว่ากลับเห็นหรงจิ่นมุ่นคิ้วมองนางแวบหนึ่งแล้วล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง ผ่านไปสักพักเขาก็ปิดตาลงอย่างช้าๆ
ตอนต่อไป