มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มๆ “พี่หญิงใหญ่อยากถามว่าเหตุใดข้าถึงฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”
มู่เฟยหลวนจับจ้องมู่ชิงอีด้วยท่าทีตื่นกลัวราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาดก็มิปาน
มู่ชิงอีหยัดกายลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีสบายๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาพลางคลี่ยิ้มบาง “ครั้งก่อน…มู่หลิงได้รับการสั่งสอนไม่พอหรืออย่างไร พี่หญิงใหญ่ถึงใช้ลูกไม้เดิมๆ เช่นนี้อีก”
“มู่หลิงหรือ” มู่เฟยหลวนผงะไป เวลานี้นางถึงนึกได้ว่าเรื่องที่มู่ชิงอีเอ่ยถึงก็คือตอนที่มู่หลิงอยู่วัดเป้ากั๋วเมื่อครั้งก่อน ตอนนั้นมู่หลิงถูกทุกคนเห็นฉากที่ไม่น่ามองด้วยสติอันเลือนรางซึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกใครบางคนวางยา มู่เฟยหลวนสูดหายใจเอาไอเย็นเข้าปอด นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามู่ชิงอีชำนาญเรื่องการปรุงยา หากเป็นเช่นนั้นจริงวันนี้…นางก็วางแผนผิดพลาดอย่างมหันต์ ควรทำเช่นใดดีเล่า มู่เฟยหลวนกำลังใช้สมองขบคิดอย่างรวดเร็วว่าต่อจากนี้ควรทำเช่นใดต่อไปดี แววตาของนางพลันเจือด้วยไอสังหารอยู่จางๆ
คิดจะฆ่าตนอย่างนั้นหรือ ตอนนี้คงช้าไปแล้วกระมัง มู่ชิงอีนั่งตัวตรงขยับตัวลงจากเตียงแล้วสาวเท้าเดินออกมาช้าๆ มู่เฟยหลวนตกตะลึงแล้วร้องแหวเสียงสูง “เจ้าคิดจะไปไหนกัน” มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ต้องไปหาฝ่าบาทอยู่แล้วสิ เมื่อครู่เหมือนข้าจะได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินเข้า คิดว่าฝ่าบาทคงเต็มใจช่วยตัดสินแทนข้าได้”
“เจ้ากล้าหรือ!” มู่เฟยหลวนกรีดร้องเสียงสูง “ฝ่าบาทไม่เชื่อเจ้าหรอก!”
มู่ชิงอีเอียงศีรษะแล้วมองนางพลางอมยิ้มกล่าว “ข้ากลับรู้สึกว่าฝ่าบาทจะเชื่อข้า เพราะอย่างไรก็มีคนอื่นรู้เรื่องนี้เหมือนกัน ขอแค่ข้ากราบทูลฝ่าบาทสักประโยค ถึงแม้มู่อวิ๋นหรงต้องเป็นจวิ้นจู่ไปเกี่ยวดองแล้ว แต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหย่งจยาจวิ้นจู่คิดว่าเป่ยฮั่นคงไม่ติดใจอะไรหากจะโบยเค้นเอาความจริงจากจวิ้นจู่ที่ต้องไปเกี่ยวดองก่อนสักยก”
มู่เฟยหลวนสีหน้าซีดขาว มู่อวิ๋นหรงขี้ขลาดจะตายไป ลำพังแค่ขู่ให้กลัวโดยไม่ต้องโบยเค้นเอาความจริงก็ทำเอานางเปิดปากบอกทุกอย่างหมดแล้ว มู่เฟยหลวนแอบนึกเสียใจที่เมื่อครู่ตนได้ใจจนลืมตัวเปิดปากเล่าเรื่องนี้ให้มู่อวิ๋นหรงฟังอย่างง่ายดาย ทว่าพอเห็นสีหน้าเด็ดขาดของมู่ชิงอีตรงหน้า มู่เฟยหลวนเลยทำได้แค่ปรับสีหน้าให้อ่อนลงเอ่ย “น้องหญิงสี่ ข้าผิดไปแล้ว ขอร้องเจ้าอภัยให้ข้าสักครั้งได้หรือไม่ ข้าอับจนหมดหนทางจริงๆ ถึงต้องทำแบบนี้ ขอร้องเจ้าล่ะ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “อับจนหนทางอย่างนั้นหรือ พี่หญิงใหญ่เป็นถึงโหรวเฟย ตั้งครรภ์องค์ชายจนใกล้จะได้ขึ้นเป็นกุ้ยเฟยแล้ว มีเรื่องใดที่ทำให้พี่หญิงใหญ่ไม่สบายใจอีกหรือ คิดไม่ถึงว่ายังคิดจะทำร้ายน้องสาวของตัวเองอีก”
มู่เฟยหลวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นเห็นแววตาเย็นชาของมู่ชิงอี ในที่สุดก็กัดฟันเอ่ยออกมาว่า “เป็นเพราะอวิ๋นผิน! น้องหญิงสี่ ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำร้ายเจ้า แต่ว่า…หากไม่ทำเช่นนี้อวิ๋นผินกับกงอ๋องไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่ ใครให้เจ้า…ใครให้เจ้าไปล่วงเกินกงอ๋องก่อนเล่า น้องหญิงสี่ ขอร้องเห็นแก่ท่านพ่อให้อภัยข้าในเรื่องครั้งนี้ด้วยเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วยกยิ้มมุมปากเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นนางเองหรือ หากครั้งนี้อวิ๋นผินบีบให้ทำ เช่นนั้นครั้งที่ท่านทำร้ายท่านแม่ของข้า…คงไม่ใช่เพราะถูกอวิ๋นผินบีบบังคับหรอกกระมัง”
มู่เฟยหลวนเป็นใบ้พูดไม่ออก บทสนทนาระหว่างนางกับมู่อวิ๋นหรงเมื่อครู่ มู่ชิงอีคงได้ยินชัดเจนตั้งแต่อยู่ด้านในแล้ว ไม่ว่านางจะหาข้ออ้างเช่นใดก็คงฟังไม่ขึ้น ครั้นเห็นว่าไร้หนทางจะบ่ายเบี่ยงได้แล้วมู่เฟยหลวนเลยตัดสินใจแน่วแน่ สีหน้าที่จับจ้องมู่ชิงอีก็เย็นยะเยือกขึ้นมา “น้องหญิงสี่ ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักผ่อนปรนให้กัน เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าไร้ความปรานีเลย”
มู่ชิงอีมองนางแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “คิดจะทำอันใดหรือ”
มู่เฟยหลวนยิ้มเยาะเอ่ย “น้องหญิงสี่ เป็นคนฉลาด แล้วเหตุใดต้องแสร้งทำเป็นโง่ด้วยเล่า” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “คิดจะฆ่าข้าหรือ ในวังแห่งนี้มีคนตายสักคนคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร แต่หากองค์หญิงคนหนึ่งตายไปคงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน แล้วท่านจะปิดบังเรื่องนี้เช่นใดเล่า” มู่เฟยหลวนยิ้มเอ่ย “ปิดบังหรือ น้องหญิงสี่ …เจ้าออกจากวังไปแล้ว หากเจ้าเป็นอะไรไปนอกวังแล้วเหตุใดข้าต้องปิดบังด้วยเล่า ใช่ว่าข้าใจเหี้ยมแต่เป็นเพราะเจ้ารู้ความจริงมากเกินไป และสิ่งที่น่าชิงชังที่สุดก็คือเจ้าเกิดมาหน้าตาคล้ายคลึงนังแพศยาสะใภ้จังนั้นนัก!”
“หุบปาก! ห้ามด่าท่านแม่ของข้า!” มู่ชิงอีตวาดเสียงใส่
“หรือข้าพูดผิดไปอย่างนั้นหรือ” มู่เฟยหลวนเอ่ยยิ้มเยาะ “นังแพศยานั่นอาศัยหน้าตาของตัวเองยั่วยวนฝ่าบาท อีกทั้งยังกล้าตั้งครรภ์หน่อเนื้อเชื้อไขของพระองค์อีก! ฝ่าบาทอยากแต่จะรับนางเข้าวังแล้วแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย หากให้นางเข้าวังมาจริงๆ ข้าจะยังมีที่ยืนได้อีกเช่นไร”
“ดังนั้นเจ้าเลยฆ่าท่านแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
มู่เฟยหลวนยิ้มเยาะ “ถ้าใช่แล้วจะทำไมหรือ เวลานี้…เจ้ารีบไปอยู่เป็นเพื่อนนางอย่างว่าง่ายจะดีกว่า!”
“เจ้าจะให้นางไปอยู่เป็นเพื่อนใครอย่างนั้นหรือ” เสียงคำรามด้วยความโกรธดังขึ้นนอกประตู ประตูที่เดิมทีปิดสนิทก็เกิดเสียงดัง พลั่ก เพราะถูกใครบางคนถีบจากด้านนอกอย่างแรง ฮ่องเต้แคว้นหวาที่ทรงกริ้วอย่างมากยืนตรงประตูพร้อมถลึงตาจับจ้องมู่เฟยหลวนด้วยสีหน้าดุดันเหี้ยมโหด ด้านหลังมีเนี่ยอวิ๋นยืนรอรับใช้ฝ่าบาทด้วยท่าทีนอบน้อมทำทีราวกับเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
มู่เฟยหลวนใจหายวาบ จากนั้นขาก็อ่อนยวบล้มคุกเข่าลงบนพื้น “ฝ่า…ฝ่าบาทเพคะ” ยามแหงนหน้าขึ้นมาก็มองมู่ชิงอีที่ยืนอยู่ตรงประตูอย่างสิ้นหวัง “เจ้า…เจ้าวางแผนตลบหลังข้า” ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่สนใจคำพูดใดๆ ของมู่เฟยหลวนทั้งสิ้น ครั้นเห็นมู่ชิงอีในชุดสีขาวก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เพราะไฟโทสะและความสะเทือนใจมหาศาลทำให้เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว “หมิงเจ๋อ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” มู่ชิงอีงุดหน้าเอ่ยเสียงเบาว่า “แค่สูดยาสลบเข้าไปเล็กน้อย ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวากวาดตามองมู่เฟยหลวนด้วยแววตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่งแล้วหันไปตรัสกับเนี่ยอวิ๋น “ส่งองค์หญิงกลับเรือนรับรองหมิงฟัง แล้วเชิญหมอหลวงมาตรวจดูอาการของนาง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เชิญพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยเสียงขรึม มู่ชิงอีพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วกล่าว “ชิงอีขอตัวเพคะ” มู่ชิงอีเดินออกไปข้างนอก ทว่าฮ่องเต้แคว้นหวากลับก้าวเท้าเข้าไปข้างใน มู่ชิงอีหันกลับไปมองมู่เฟยหลวนที่เซถอยหลังด้วยความหวาดกลัวแวบหนึ่ง จากนั้นก็ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ในเมื่อเจ้าอยากเป็นคนโปรดนัก ข้าก็จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้า เพียงพอที่จะทำให้เจ้า…ลิ้มรสไปจนวันตายเลยล่ะ มือเรียวงามที่ปิดอยู่ภายใต้แขนเสื้อขยับเล็กน้อย ในมุมลับตาที่ไม่มีใครมองเห็นก็มียาสีแดงเม็ดหนึ่งตกใส่กระถางธูปทองแดงลายหงส์สีเขียวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงด้านข้าง จากนั้นมู่ชิงอีก็เดินออกประตูพระตำหนักมา ฉับพลันประตูพระตำหนักด้านหลังก็ปิดสนิทในทันที
มู่ชิงอีกับเนี่ยอวิ๋นยืนอยู่ข้างนอกท่ามกลางความเงียบ ในห้องบรรทมของพระตำหนักจะเกิดอะไรขึ้นนั้น พวกเขาที่ถูกประตูหนักๆ ทั้งสองบานกั้นไว้คงไม่มีทางได้ยินแน่นอน มู่ชิงอีหันมามองเนี่ยอวิ๋นแวบหนึ่งยิ้มกล่าว “หัวหน้าองครักษ์เนี่ย ขอบคุณท่านอย่างมาก” เนี่ยอวิ๋นกะเวลาได้เหมาะเจาะพอดี ถึงแม้จะไม่ได้มาตอนที่มู่เฟยหลวนและมู่อวิ๋นหรงคุยกัน แต่ผลลัพธ์หลังจากนี้เหมือนว่าจะยิ่งเยี่ยมยอดมากกว่า เนี่ยอวิ๋นมองมู่ชิงอีด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่งถึงเอ่ย “กระหม่อมเป็นองครักษ์ติดตามขององค์หญิงย่อมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยขององค์หญิงเป็นหลักอยู่แล้ว” ดังนั้นหลังจากที่เขารู้ว่ามู่ชิงอีถูกคนพาตัวเข้าพระตำหนักหวาหยางไป การที่เขาไปหาฮ่องเต้แคว้นหวาเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
มู่ชิงอีพยักหน้ายิ้มๆ “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยพูดถูก แล้วมู่อวิ๋นหรงเล่า”
เนี่ยอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อยู่ในพระตำหนักข้างๆ นางถูกองครักษ์ที่ติดตามฝ่าบาทเฝ้าจับตาดูอยู่”
มู่ชิงอีแอบพรูลมหายใจเงียบๆ แล้วเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้ข้ากังวลแล้ว พวกเรากลับเรือนรับรองหมิงฟังกันเถิด” พวกเขาแค่รอฟังผลลัพธ์ของเรื่องนี้ก็พอแล้ว หากเอาแต่ยืนรออยู่ตรงนี้คงดูใจร้อนเกินไปซึ่งดูไม่ดีนัก อีกอย่างนางเชื่อว่าฮ่องเต้แคว้นหวาคงไม่อยากให้นางยืนอยู่ตรงนี้นักหรอก
ตอนต่อไป