“พี่หญิงใหญ่กำลังพูดเรื่องอันใดกัน ข้าก็ต้องเป็นชิงอีอยู่แล้วสิเจ้าคะ” มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว
“ไม่ใช่…เจ้า…เจ้าไม่ใช่” มู่เฟยหลวนกัดฟันเอย มู่ชิงอีเม้มริมฝีปากคลี่ยิ้มกล่าว “ก็อาจจะไม่ใช่ หรือแค่…บางทีข้าอาจจะกลับมาจากขุมนรกเพื่อแก้แค้นพวกท่านก็ได้” มู่เฟยหลวนดวงตาหดเล็กลงเพราะความหวาดกลัว ทว่ารอยยิ้มหวานหยดย้อยบนใบหน้าของมู่ชิงอีกลับฉีกกว้างมากกว่าเดิม
“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย” มู่เฟยหลวนเอ่ยถาม
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเชิงแปลกใจเล็กน้อย “ข้าทำอันใดไปหรือ พี่หญิงใหญ่หมายถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้อย่างนั้นหรือ ข้าทำลงไปเช่นนี้ก็มิใช่ว่าเป็นเรื่องปกติหรืออย่างไร แน่นอนว่า…เพื่อแก้แค้นให้ท่านแม่ พี่หญิงใหญ่วางใจเถิด ฝ่าบาทพอพระทัยนักที่ท่านแม่มีบุตรสาวที่กตัญญูรู้คุณอย่างข้า ข้าต้องขอบคุณพี่หญิงใหญ่ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่หญิงใหญ่ให้ความร่วมมือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกราบทูลฝ่าบาทเช่นไรดี บัดนี้ก็สบโอกาสพอดีมิใช่หรือ พี่หญิงใหญ่หยิบยืมบารมีของท่านแม่มาตั้งหลายปี ตอนนี้…คงถึงเวลาลงไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่แล้วกระมัง”
“ไม่…ข้าไม่เอา…ข้าไม่…” มู่เฟยหลวนที่เดิมทีเจ็บคอจนแทบเปล่งเสียงไม่ไหวกลับตะโกนร้องเสียงดังลั่น ทว่าพอกรีดร้องไปได้ไม่นานก็เจ็บคอจนพูดไม่ออก มู่ชิงอีคลี่ยิ้มหวาน “พี่หญิงใหญ่เก็บเสียงไว้เถิด มิเช่นนั้นเกรงว่าเสียงอันนุ่มนวลคงใช้งานไม่ได้แล้ว แต่…คิดว่าวันหน้าก็คงไม่มีใครอยากชื่นชมมันหรอก คงไม่สำคัญอยู่แล้ว”
“เจ้า…”
เพราะกลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้งในห้องจึงทำให้มู่ชิงอีมุ่นคิ้วน้อยๆ จากนั้นก็มองมู่เฟยหลวนอย่างเห็นอกเห็นใจกล่าว “พี่หญิงใหญ่ดื่มด่ำกับเวลาที่เหลืออยู่ให้ดีเถิด อย่าคิดจะพูดอะไรที่ไม่ควรพูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเลย พี่หญิงใหญ่พูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้นและไม่มีเวลาให้พูดแล้วด้วย”
เจ้าคิดจะฆ่าปิดปากข้าหรือ! มู่เฟยหลวนถลึงตาจับจ้องสาวน้อยในชุดขาวดั่งหิมะตรงหน้าด้วยความเกรี้ยวโกรธ
มู่ชิงอีส่ายศีรษะเล็กน้อย “จะเป็นข้าไปได้เช่นไรกัน พี่หญิงใหญ่ลืมไปแล้วกระมังว่าในวัง…พี่หญิงใหญ่เองก็มีพันธมิตรด้วยอีกคน ในเมื่อพี่หญิงใหญ่อ้างถึงนางด้วย พี่หญิงใหญ่คิดว่ากงอ๋องจะจัดการเช่นใดเล่า”
มู่เฟยหลวนนอนในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น ในดวงตาหยาดเยิ้มเจ้าเสน่ห์ในวันวานกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและไม่พอใจ นางไม่รู้เลยว่าตนพ่ายแพ้ได้เช่นใด อีกทั้งความจริงในเวลานี้ก็คือนางมีบาดแผลตามตัวจนต้องนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนี้ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นางไม่มีลูกแล้ว ใบหน้าพังยับเยิน ร่างกายเองก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน แม้แต่เสียงหวานไพเราะก็ไม่มีอีกต่อไป นางไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง นางจบสิ้นแล้ว มู่เฟยหลวนเปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นในลำคออย่างสิ้นหวังภายในห้องนั้น
มู่ชิงอีเดินออกจากห้องมาแล้วเงยหน้ามองชายคาเรือนที่ผุผังเหนือศีรษะ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญแตกพร่าอย่างสิ้นหวังดังมาจากด้านหลัง นางแหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้าด้วยท่าทีสงบ จากนั้นหยาดน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลอาบแก้มมาเป็นทาง ทุกข์ทรมานหรือ ตอนนั้นจะมีใครรับรู้ความทุกข์ทรมานของท่านย่า ท่านแม่ พี่สะใภ้ น้าหญิงและนางบ้างเล่า นี่ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้น
“เอ๊ะ?” มีเสียงร้องตกใจดังแว่วมาจากมุมที่ไม่ไกลของชายคาเรือนนี้ มู่ชิงอีหันไปมองก็เห็นมู่อวิ๋นหรงยืนอยู่ใต้ชายคาพลางมองมาทางตนด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“พี่หญิงสามมาทำอะไรที่นี่หรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเรียบ
มู่อวิ๋นหรงเอ่ยด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย “ข้า…ข้าแวะมาเยี่ยมพี่หญิงใหญ่”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็เข้าไปเยี่ยมเถิด” มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มๆ พลางพยักหน้าให้มู่อวิ๋นหรงแล้วเดินออกไป เสียงร้องคร่ำครวญของมู่เฟยหลวนยังคงดังแว่วตามหลังมาไม่หยุด เพียงแต่จับใจความไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ ชั่ววินาทีที่เดินผ่านมู่อวิ๋นหรง มู่ชิงอีก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “พี่หญิงสามเป็นคนฉลาด…คงเข้าใจว่าอะไรที่ควรฟังอะไรที่ควรพูด พี่หญิงสามว่า…ใช่หรือไม่เล่า”
มู่อวิ๋นหรงหน้าซีดลงชั่วขณะแล้วรีบถอยกรูดไปอีกฝั่งในทันที จากนั้นก็เอ่ยเสียงสั่น “ข้า…ข้ารู้แล้ว”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้ารู้ว่าพี่หญิงสามไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร อย่าทำเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็น เช่นนั้น…พี่หญิงสามเข้าไปเยี่ยมพี่หญิงใหญ่เถิด ข้าไปล่ะ”
มู่อวิ๋นหรงมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของมู่ชิงอีแน่นิ่ง ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังคงหมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน ทว่าเพิ่งเดินมาถึงประตูก็มีกลิ่นคาวเลือดสะอิดสะเอียดลอยมาเตะจมูกทันที หลังจากเห็นมู่เฟยหลวนนอนแผ่อยู่บนเตียงพร้อมร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยคราบเลือด บาดแผลนับไม่ถ้วน อีกทั้งรอยแผลเลือดซึมน่ากลัวบนใบหน้าที่ยังไม่แห้งดี ฉับพลันก็เหมือนมู่อวิ๋นหรงตื่นขึ้นจากฝันร้าย กรีดร้องตกใจทีหนึ่งแล้วรีบหมุนตัววิ่งหนีออกไป
หลังจากกลับมายังเรือนรับรองหมิงฟัง เนี่ยอวิ๋นก็มาดักรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ามู่ชิงอีไม่ได้บอกกล่าวเขาก่อนก็ชิงกลับเข้าวังมาเลยจึงสร้างความไม่พอใจให้กับยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นหวาอย่างมาก ดังนั้นพอเห็นมู่ชิงอีเดินเข้ามาเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่จับจ้องนางอยู่เงียบๆ มู่ชิงอีเองก็เหนื่อยหน่ายใจไม่น้อย ไม่ว่าเช่นไรเนี่ยอวิ๋นก็คือคนของฮ่องเต้แคว้นหวา นางคิดว่าต่อให้จะรู้จักตามติดกันมาหลายวันแต่ก็มิอาจทำให้ยอดฝีมือผู้นี้หันมาทำร้ายพวกเดียวกันเองเพื่อช่วยนางอย่างไร้ข้อกังขาได้ ดังนั้นนางจึงสลัดเนี่ยอวิ๋นทิ้งแล้วแอบมาจัดการเรื่องที่ตนอยากทำอยู่หลายครั้งหลายครา
เนี่ยอวิ๋นกวาดตามองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าราบเรียบ สุดท้ายดวงตาก็ไปสะดุดกับแหวนหยกบนนิ้วมือของนาง ทว่ากลับไม่ได้พูดอะไร
มู่ชิงอีไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้เอาเสียเลย นางขมวดคิ้วกล่าว “หัวหน้าองครักษ์เนี่ย ข้าไปกราบทูลฝ่าบาทให้โยกย้ายตัวท่านกลับไปติดตามฝ่าบาทเหมือนเดิมดีหรือไม่” เนี่ยอวิ๋นมองนางด้วยท่าทีเคร่งขรึมแวบหนึ่งเอ่ย “ฝ่าบาทไม่เห็นด้วยแน่นอน” มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว ในระยะเวลาอันสั้นฮ่องเต้แคว้นหวาอาจจะไม่อยากเห็นหน้าเนี่ยอวิ๋นก็จริง แต่ถ้าเขามีสติปัญญาสักนิดย่อมไม่มีทางปล่อยเนี่ยอวิ๋นไปแน่นอน ในเมื่อได้ตัวยอดฝีมือสะท้านฟ้าเฉกเช่นเนี่ยอวิ๋นมาเป็นองครักษ์ติดตาม ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้สักหน่อย อย่างน้อยข้างกายฮ่องเต้แคว้นเย่ว์และฮ่องเต้แคว้นเป่ยฮั่นก็ไม่มียอดฝีมือเช่นนี้คอยตามอารักขา
เนี่ยอวิ๋นเอ่ยพลางจับจ้องนาง “องค์หญิงคิดอยากทำอะไรไม่จำเป็นต้องสนใจกระหม่อม กระหม่อมไม่ใช่คนปากสว่าง ขอแค่…องค์หญิงรับปากว่าจะไม่ทำร้ายฝ่าบาทก็พอ”
มู่ชิงอีใจกระตุกวูบพลางมองเนี่ยอวิ๋นด้วยท่าทีตกตะลึง เนี่ยอวิ๋นเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อยเอ่ย “ถึงแม้เนี่ยอวิ๋นจะมิใช่คนชาญฉลาดอะไร แต่เรื่องหลายวันที่ผ่านมาทำให้เนี่ยอวิ๋นพอจะเข้าใจแล้วว่าองค์หญิงต้องการทำสิ่งใด”
มู่ชิงอีปิดปากเงียบ แต่ท่าทีเงียบขรึมผิดปกติเช่นนี้กลับเหมือนเป็นการยอมรับแล้ว มู่ชิงอีหลับตาลง เวลานี้นางถึงเข้าใจแล้วว่าแววตาซับซ้อนยามมองมาที่นางนั่นหมายความว่าเช่นไร นั่นคือ…ความละอายใจ ความเป็นไปได้ในข้อนี้มู่ชิงอีไม่เคยนึกถึงมาก่อน ถึงแม้เนี่ยอวิ๋นจะเป็นหัวหน้าองครักษ์วังหน้าหลังจากที่ตระกูลกู้ถูกทำลายไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นองครักษ์ของฮ่องเต้แคว้นหวามานานเช่นกัน หากเขาจะรู้เรื่องใดมาบ้างก็ใช่ว่าจะน่าแปลกใจอะไร แต่ถ้า…เขามีส่วนเอี่ยวกับเรื่องของน้าหญิงด้วยล่ะก็…
ครั้นเหมือนสังเกตเห็นไอเย็นยะเยือกออกมาจากตัวมู่ชิงอี เนี่ยอวิ๋นก็หลับตาลงเอ่ย “องค์หญิง กระหม่อมขออภัยด้วย”
มู่ชิงอีข่มอารมณ์พยายามทำให้ตัวเองสงบลงแล้วเอ่ย “ขอโทษหรือ เหตุใดหัวหน้าองครักษ์เนี่ยถึงเอ่ยออกมาเช่นนั้นเล่า”
เนี่ยอวิ๋นเผยสีหน้าเศร้าใจ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ทำให้เขาอึดอัดใจมานานมากจริงๆ ตอนนั้นเนี่ยอวิ๋นเป็นเพียงองครักษ์หนุ่มน้อยที่เพิ่งเข้าวังมาใหม่ในทุกๆ สองปี ถึงแม้จะมีฝีมือเก่งกาจโดดเด่นกว่าคนอื่น แต่เขาก็เริ่มมาจากองครักษ์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น หากจะบอกว่าธรรมดาเลยก็ไม่เชิงเช่นนั้น ในเมื่อเขาแตกต่างไปจากองครักษ์คนอื่นๆ เขาเกิดมาจากตระกูลผู้ดี ถึงแม้จะถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลเนี่ยแล้วแต่เขาก็ยังมีอานซีจวิ้นอ๋องคนก่อนซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและอานซีจวิ้นอ๋องคนปัจจุบันซึ่งเป็นศิษย์น้องของเขา รวมถึงเขามีฝีมือวิทยายุทธ์แกร่งกล้าขั้นสุดยอดจึงมีช่วงหนึ่งที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างสุขสบายนานพอสมควร
ตอนต่อไป