“ดูท่าทางคงไม่มีกระมัง” มู่หรงซีเอ่ยด้วยเสียงสบายๆ จากนั้นก็เลื่อนสายตาเย็นชาไปจับจ้องใบหน้าของมู่หรงอวี้ เอ่ยถาม “ข้า…ทำอะไรไม่ดีต่อน้องหกหรือ”
แววตาที่เย็นชาและห่างเหินของมู่หรงซีทำเอามู่หรงอวี้อดผงะไปไม่ได้ ตนเริ่มมีใจทะเยอทะยานเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ถึงแม้การเข้าไปตีสนิทพี่สององค์รัชทายาทจะเป็นความปรารถนาของเสด็จแม่แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความจริงใจของตนเลย ในเมื่อสำหรับองค์ชายที่ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานคนหนึ่งแล้ว องค์รัชทายาทผู้มีเมตตากิริยางามสง่าก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่เขาเลื่อมใสและอยากสนิทสนมด้วยไม่น้อย
หากเขาเป็นองค์ชายที่ไม่ได้รับการโปรดปรานคอยดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมานอยู่ในวัง บางทีคงอาจรักษาความสัมพันธ์พี่น้องต่อไปได้กระมัง น่าเสียดายที่คนเราต้องเติบใหญ่ ยิ่งตนได้มามากเท่าไรก็ยิ่งกระหายอยากได้มากยิ่งกว่านั้น องค์ชายทั่วไปก็เช่นกัน เพียงเพราะเขาเป็นบุตรของฮองเฮาแต่กำเนิดเลยได้เป็นองค์รัชทายาท เป็นองค์ชายผู้สืบทอดอันดับหนึ่งอย่างนั้นหรือ แล้วตนก็เป็นได้เพียงองค์ชายที่ไม่เข้าตาใครคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
ตนค่อยๆ กลายเป็นน้องชายที่สำคัญที่สุดขององค์รัชทายาท ตนหมั้นหมายไว้กับคุณหนูใหญ่ของตระกูลกู้ ค่อยๆ มีอำนาจและเส้นสายเป็นของตัวเอง เช่นนั้นเหตุใด…ตนจะช่วงชิงคว้าที่ตรงนั้นมาเป็นของตัวเองไม่ได้เล่า
“ใจคนไม่รู้จักพอ…ดั่งงูที่กลืนกินช้างกระมัง ข้าก็เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ไว้เองจะโทษใครได้เล่า” มู่หรงซียิ้มขมขื่นและไม่ได้สนใจจูซื่อกับมู่หรงอวี้อีก จากนั้นก็หมุนตัวหันไปหาเสด็จพ่อประสานมือเอ่ยว่า “กระหม่อมเชื่อว่าฝ่าบาทจะให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมและเสด็จแม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้…กระหม่อมขอไม่ยุ่งด้วยอีก…กระหม่อม…ทูลลา…”
พอพูดจบมู่หรงซีก็ไม่สนใจสายตาคนมากมายในนั้นอีกแล้วหมุนตัวเดินออกจากพระตำหนักไป ตอนเดินผ่านมู่หรงอวี้และจูซื่อก็ไม่แม้แต่จะหยุดชะงักด้วยซ้ำ
“ผิงอ๋อง!!!” ทว่าเพิ่งเดินออกมานอกพระตำหนัก ขันทีตรงประตูก็กรีดร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัว มู่หรงเค่อรีบสาวเท้าพุ่งตรงไปตรงประตู จากนั้นก็ร้องเสียงตกใจเช่นกัน “น้องสอง! เร็วเข้า…รีบเข้าไปประคองน้องสองไว้…”
ในพระตำหนัก ฮ่องเต้แคว้นหวาผุดสีหน้าซับซ้อนบางอย่างขึ้นแวบหนึ่งแล้วตรัสเสียงขรึม “จ้าวเฉิง ไปดูผิงอ๋องทีเถิด”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงจ้าวรีบรับพระบัญชาแล้วพุ่งตัวออกไปนอกพระตำหนัก ในฐานะที่เป็นหมอหลวง เขาเองก็ไม่อยากเข้ามาพัวพันเรื่องวุ่นวายของเหล่าเชื้อพระวงศ์เช่นกันจึงอยากหนีออกไปจากตรงนั้นใจจะขาดอยู่แล้ว
พระตำหนักตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ คนส่วนใหญ่ใช้สายตาราวกับมองคนตายจับจ้องไปทางจูซื่อที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางพระตำหนัก
จูซื่อเองก็เข้าใจดีว่าตนคงหลุดพ้นจากความผิดนี้ไปไม่ได้จึงนั่งคุกเข่าอย่างเศร้าหมองอยู่บนพื้นพร้อมสติที่ล่องลอยไปไกล
“เวลานี้พวกเจ้ามีความคิดเห็นเช่นใดบ้าง” ผ่านไปนานก่อนที่ฮ่องเต้แคว้นหวาจะตรัสถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ทูลฝ่าบาท จูซื่อลอบฆ่าอดีตฮองเฮาและลอบทำร้ายองค์ชาย ความผิดนี้จำต้องประหารแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หนึ่งในสายเลือดเชื้อพระวงศ์เอ่ยขึ้น ทันใดนั้นก็มีคนมากมายเห็นพ้องด้วยไปตามๆ กัน
มู่หรงอวี้มองจูซื่อด้วยแววตานุ่มลึกและซับซ้อน “เสด็จพ่อ ความผิดที่เสด็จแม่ทำก็เพราะต้นเหตุมาจากลูก โปรดเสด็จพ่อไว้ชีวิตนางด้วยเถิด ลูก…ยินดีรับผิดแทนเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวามองมู่หรงอวี้ด้วยแววตาเย็นชาครู่ใหญ่ จากนั้นก็หันไปหาฮองเฮาที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ฮองเฮา จูซื่อเป็นสตรีของตำหนักวังหลัง เจ้าคิดเห็นเช่นใดหรือ”
ฮองเฮาลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮ่องเต้แคว้นหวา “เป็นเพราะหม่อมฉันดูแลไม่ดีถึงปล่อยให้จูซื่อไปทำร้ายผิงอ๋องได้ โปรดฝ่าบาทลงโทษด้วยเพคะ! จูซื่อลอบทำร้ายอดีตฮองเฮาและองค์ชาย ความผิดนี้ต้องมีโทษถึงประหาร โปรดฝ่าบาทลงโทษอย่างหนักเพคะ!”
“จูซื่อต้องมีโทษถึงประหาร! โปรดฝ่าบาททรงตัดสินลงทัณฑ์ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนในพระตำหนักต่างยืนขึ้นกราบทูล
หรงเฟยเองก็พาเหล่าสนมลำดับสูงและองค์หญิงเดินออกมาจากฉากกั้นลมคุกเข่าลงด้านหลังฮองเฮา “โปรดฝ่าบาททรงตัดสินลงทัณฑ์ด้วยเถิดเพคะ!”
จูซื่อตัวอ่อนยวบล้มลงพื้นอย่างสิ้นหวัง เหล่าเชื้อพระวงศ์และเหล่าสนมองค์หญิงทุกคนต่างอยากให้นางตาย แม้แต่ตัวนางเองยังหมดหวังจะมีชีวิตต่อไปได้
ฮ่องเต้แคว้นหวากวาดตามองมู่หรงอวี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็เห็นมู่หรงอวี้ค่อยๆ ก้มศีรษะลง เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้เองก็เข้าใจว่าลำพังแค่เขาคนเดียวคงสู้แรงคัดค้านของเหล่าอ๋องและสนมคนอื่นๆ มากมายขนาดนี้ไม่ได้
หรงเฟยขึงตาเกรี้ยวโกรธมองไปทางจูซื่อ เสียแรงที่นางหลงคิดว่าทั่วทั้งวังหลังจูซื่อเป็นผู้หญิงที่ไม่เลวคนหนึ่ง ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ คนที่ใจโหดเหี้ยมมากที่สุดคงเป็นผู้หญิงคนนี้แล้ว ครั้นนึกถึงว่าตนเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้หญิงคนนี้ก็อดตัวสะท้านเฮือกไม่ได้ โชคดีที่เจอได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นไม่แน่ว่าตนกับจ้าวเอ๋อร์คงกลายเป็นเหมือนกู้ฮองเฮาและผิงอ๋องแน่นอน
ฮ่องเต้แคว้นหวาพยักหน้าตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อวิ๋นกุ้ยเหรินจูซื่อลอบฆ่าอดีตฮองเฮา ลอบทำร้ายองค์ชาย เราขอถอดถอนตำแหน่งทั้งหมดและต้องโทษประหาร ประหารทั้งตระกูล เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็เหมือนเรี่ยวแรงทั้งร่างกายของจูซื่อถูกสูบออกไปจนเหือดแห้งก็มิปาน ร่างอ่อนยวบล้มลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เวลานี้นางไม่ได้แค่ทำร้ายตัวเอง แต่ยังทำลายชีวิตของคนทั้งตระกูลอีกด้วย
ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่แม้แต่จะเหลือบมองจูซื่อ ตรัสขึ้นว่า “ถอดถอนตำแหน่งชินอ๋องของกงอ๋องมู่หรงอวี้และหนิงอ๋องมู่หรงอานออก! รวมถึงเก็บตัวสำนึกผิดอยู่ในจวน”
มู่หรงจ้าวอ้าปากคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ฮ่องเต้แคว้นหวายังไม่ได้ลงโทษเรื่องตระกูลกู้เลย แค่ถอดตำแหน่งออก พระองค์ลงโทษเบาไปแล้วกระมัง
มู่หรงเสียแอบดึงเขาไว้โดยไม่ให้ใครเห็นเพื่อสื่อว่าอย่าหุนหันพลันแล่น ถึงอย่างไรเสด็จพ่อก็ยอมตรวจสอบคดีของตระกูลกู้ใหม่ เช่นนั้นก็ไม่มีทางหยุดแต่เพียงเท่านี้หรอก ขอแค่จัดการตรวจสอบคดีของตระกูลกู้ให้กระจ่าง ชั่วชีวิตนี้มู่หรงอวี้ก็อย่าหวังจะกลับมาผงาดใหม่ได้อีกเลย เวลานี้พูดอะไรไปกลับเหมือนว่าพวกเขาจะดูใจร้อนเกินไปมากกว่า
มู่หรงอวี้ปิดตาลงและไม่ได้มองจูซื่ออีก คุกเข่าอยู่บนพื้นเช่นนั้นโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังขบคิดอะไรอยู่
ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเสียงเรียบ “เรื่องนี้สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ ออกไปกันเถิด”
ฮองเฮาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยถาม “ฝ่าบาท จูซื่อ…” จูซื่อเป็นสนม ถึงแม้จะต้องโทษประหารแต่ก็มิอาจลากตัวไปลงโทษประหารอย่างคนทั่วไปได้ โดยปกติแล้วมักเป็นเรื่องของผ้าแพรขาวหนึ่งผืนและเหล้าพิษแก้วหนึ่งเท่านั้น แต่เรื่องในตอนนี้ฮองเฮาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าตนต้องเป็นคนทำเองหรือเปล่า
ฮ่องเต้แคว้นหวาโบกมือเอ่ยเสียงเรียบ “เอาไปขังคุก รอฤกษ์วันประหารแล้วกัน!”
มู่หรงอวี้ที่เดิมทีสติหลุดล่องลอยไปแล้วพลันเงยหน้าขึ้นมา เสด็จพ่อไม่เห็นเสด็จแม่เป็นสนมแห่งราชวงศ์อีกต่อไป แต่ว่า…หากเสด็จแม่ไม่ใช่สนมของวังหลังแล้ว เช่นนั้นเขา…ถือเป็นตัวอะไรกันเล่า เวลานี้มู่หรงอวี้รู้อยู่ลึกๆ ว่าตัวเองนั้น…จบสิ้นแล้ว
“ไม่นะ…ฝ่าบาท” ครั้นจูซื่อได้สติก็กรีดร้องอย่างหวาดผวา “ฝ่าบาทโปรดเมตตา…หม่อมฉัน…หม่อมฉัน…”
ฮ่องเต้แคว้นหวาเผยสีหน้าเย็นชาดุดัน “หุบปาก! เจ้ามิใช่สนมของวังหลังแล้ว จะพูดเช่นนี้ได้อย่างไรอีก เอาตัวไปขัง”
สององครักษ์เข้ามาแล้วหิ้วแขนทั้งสองข้างซ้ายขวาของจูซื่อ ลากตัวออกไปอย่างไร้การทะนุถนอมใดๆ
ครั้นทุกอย่างจบลง หว่างคิ้วของฮ่องเต้แคว้นหวาก็ผุดความอ่อนล้าให้เห็นเล็กน้อย ฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยว่า “ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาทกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวามองฮองเฮาแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
“หมิงเจ๋อ” มู่ชิงอีที่ยืนดูเรื่องสนุกๆ อยู่กับเหล่าองค์หญิงก็อารมณ์ดีไม่หยอก ครั้นได้ยินฮ่องเต้แคว้นหวาเรียกชื่อตนก็รีบรุดหน้าเข้าไปหา “เพคะฝ่าบาท”
ฮ่องเต้แคว้นหวามองมู่ชิงอีด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจตรัสขึ้นว่า “ประเดี๋ยวเจ้าแวะไปเยี่ยมผิงอ๋องหน่อยเถิด” ถึงแม้หมิงเจ๋อและผิงอ๋องจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่หากฝืนนับดูแล้วก็ถือว่าเป็นญาติห่างๆ กัน อย่างน้อยพวกเขาก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ญาติทางฝั่งแม่ของมู่หรงซีก็ไม่เหลือใครแล้ว ฮ่องเต้แคว้นหวาย่อมไม่ติดใจอะไรหากองค์หญิงหมิงเจ๋อคนโปรดของตนจะเข้าใกล้สนิทสนมกับมู่หรงซี ไม่ว่าอย่างไรมู่หรงซีก็คือบุตรชายของเขา…และถือว่าเป็นบุตรชายคนหนึ่งที่เหลือเวลามีชีวิตอยู่ต่ออีกไม่กี่ปีเท่านั้น