มู่ชิงอีมุ่นคิ้วงามขบคิดความเป็นไปได้ตามที่หรงจิ่นพูด พูดตามความจริงหลายปีมานี้มู่หรงอวี้เสแสร้งเก่งเหลือเกิน ถึงแม้นางจะไม่มั่นใจว่าภาพลักษณ์อ่อนโยนสง่างามเช่นนั้นเป็นนิสัยที่แท้จริงของมู่หรงอวี้หรือเขาเสแสร้งแกล้งทำกันแน่ ทว่าดูจากที่เขาทำเรื่องเสียสติบ้าๆ เหล่านี้แล้ว คงกล่าวได้ยากว่านิสัยที่แท้จริงของเขาเป็นคนอ่อนโยนกระมัง
“ลำพังองค์ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นคนโปรดของฝ่าบาทในตอนนั้น แต่สามารถวางแผนทำร้ายอัครเสนาบดีและองค์รัชทายาทได้ ต้องรู้ก่อนว่าถ้าทำไม่สำเร็จก็ต้องยอมสละชีวิต ถ้าเกิดวางแผนทำร้ายไม่สำเร็จ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น เพราะแม้แต่จูซื่อและมู่หรงอาน รวมถึงทั้งตระกูลจูก็จะไม่มีทางกลับมายืนได้ใหม่ตราบชั่วชีวิต แต่เหมือนมู่หรงอวี้จะไม่ได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้เลย” คนที่คิดไตร่ตรองผลลัพธ์ใดๆ ก็ตาม เกรงว่าหากคิดจะทำเรื่องเช่นนี้ย่อมต้องตรึกตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกอย่างหากเขาทำเรื่องแบบนี้สำเร็จคงต้องยอมรับว่าเขาดวงดีไม่เบา แต่อีกแง่หนึ่งคงเลี่ยงดูท่าทีของฮ่องเต้แคว้นหวาด้วยไม่ได้ หากเหลือเวลาให้ตระกูลกู้และองค์รัชทายาทอีกสักหน่อย ใช่ว่าตระกูลกู้จะลบล้างมลทินนั่นไม่ได้ ถึงเวลานั้นคนที่ซวยก็คือตัวมู่หรงอวี้เอง
มู่ชิงอีเองก็ถอนหายใจ ถึงแม้นางคิดว่าตนจะสติปัญญาหลักแหลม ทว่าแต่ไหนแต่ไรมากลับมองคนอย่างมู่หรงอวี้ไม่เคยออก หรือจะกล่าวได้ว่านางก็เหมือนกับพี่ใหญ่และพี่ชาย พวกเขาล้วนเป็นคนฉลาดที่หาได้น้อยนัก ทว่าพวกเขากลับมองคนนิสัยชั่วช้าไม่เคยออกเลย
“ท่านคิดว่าเขาจะทำเช่นไรต่อไป” มู่ชิงอีเอ่ยถามขึ้น หากพูดถึงคนนิสัยเลวทราม บนโลกนี้คงไม่มีใครใจดำโหดเหี้ยมได้เท่าองค์ชายเก้าแล้ว ดังนั้นหากถามเขาคงไม่ใช่ปัญหาอะไร
หรงจิ่นลูบไล้เส้นผมของมู่ชิงอีด้วยสีหน้าพึงพอใจ ยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้หรือ หากเป็นข้าล่ะก็…คงจัดการฆ่ามู่หรงเสียกับมู่หรงจ้าวก่อน รวมถึงมู่หรงซีด้วย เหอะๆ…จากนั้นค่อยจัดการฆ่าฮ่องเต้ ไม่แน่อาจมีโอกาสโค่นล้มบัลลังก์ด้วยก็ได้ หากทำไม่สำเร็จ…ก็ค่อยคิดหาวิธีหลบหนี จากนั้น…หึๆ”
มู่ชิงอีเอ่ยตัดอย่างเยือกเย็นใส่ใครบางคนที่นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววย่ามใจและอารมณ์ฮึกเหิม “มู่หรงเสียกับมู่หรงจ้าวไม่ได้ฆ่าง่ายขนาดนั้น ฮ่องเต้แคว้นหวายิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่” หากฮ่องเต้และองค์ชายในวังฆ่าตายง่ายดายขนาดนั้น สถานะห้ายอดฝีมือในใต้หล้าของหรงจิ่นยังจำเป็นต้องแสร้งทำตัวอ่อนแอให้ยุ่งยากเช่นนี้อีกหรือ
เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นหวังอยากให้เป็นเช่นนั้น หลังจากถูกมู่ชิงอีกระทุ้งศอกใส่จึงทำได้แค่ปิดปากทันที ก่อนจะเอ่ยอย่างหัวเสียว่า “ฆ่าฮ่องเต้แคว้นหวาย่อมไม่ง่ายอยู่แล้ว แต่หากจะฆ่าใครคนใดคนหนึ่งระหว่างมู่หรงเสียหรือมู่หรงจ้าวกลับไม่ใช่เรื่องยากแน่นอน”
มู่ชิงอีลองขบคิดดู “ไม่ว่าเขาอยากจะฆ่ามู่หรงเสียหรือมู่หรงจ้าวใครก็ช่าง แต่…หากเป็นหม่อมฉันล่ะก็…คงเลือก”
หรงจิ่นยิ้มตาหยีแล้วพูดต่อประโยคของนางว่า “มู่หรงซีกับองค์ชายเก้า”
มู่หรงซีคงไม่ต้องพูดถึง ส่วนองค์ชายเก้าใกล้อภิเษกกับองค์หญิงไหวหยางของแคว้นเย่ว์แล้ว หากเขาตายย่อมส่งผลกระทบต่อหน้าตาของแคว้นหวาครั้งใหญ่ กระทั่งการเกี่ยวดองระหว่างสองแคว้นคงต้องหารือกันใหม่อีกครั้ง อีกอย่างหากคิดจะจัดการกับสองคนนี้ย่อมง่ายกว่าจัดการกับมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวไม่น้อย พอถึงตอนนั้นมู่หรงอวี้อาจอาศัยจังหวะช่วงชุลมุนหนีออกจากแคว้นหวาไป แล้วรอวันที่จะกลับขึ้นมาผงาดใหม่อีกครั้ง
องค์ชายเก้าจะเป็นเช่นไรมู่ชิงอีไม่สน แต่ความปลอดภัยของมู่หรงซีคงมิอาจเมินเฉยได้ นางจึงเรียกอู๋ซินไปส่งข่าวให้มู่หรงซีที่จวนผิงอ๋อง หรงจิ่นจับจ้องมู่ชิงอีด้วยท่าทีหึงหวงเอ่ย “ชิงชิงช่างดีกับมู่หรงซีนัก”
มู่ชิงอีกลอกตาอย่างหมดคำพูด “เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของหม่อมฉันนี่เพคะ”
เกลียดความสัมพันธ์ลูกพี่ลูกน้องอะไรนี่ที่สุดแล้ว
“หลายวันนี้ชิงชิงเองก็ต้องระวังตัวด้วย” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงแม้พวกเราจะเดาได้ว่ามู่หรงอวี้คิดจะจัดการมู่หรงซี แต่ใครจะรู้ว่าเขาคิดจะลงมือจัดการชิงชิงด้วยหรือไม่ ในเมื่อ…เรื่องของจูซื่อ ชิงชิงเองก็ออกแรงไปไม่น้อย” หรงจิ่นหยุดขบคิดสักพักแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ไม่อย่างนั้นข้าทิ้งอู๋ฉิงไว้ให้เจ้าอีกคนดีกว่า”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะกล่าว “ไม่ต้องหรอกเพคะ มีอู๋ซินก็พอแล้ว อีกอย่างเวลาส่วนมากก็มีเนี่ยอวิ๋นคอยติดตามอยู่ด้วย แล้วจะมีอันตรายใดไปได้เล่า หากเนี่ยอวิ๋นล่วงรู้สถานะของอู๋ซินกับอู๋ฉิงคงจะแย่เอาได้”
หรงจิ่นเท้าคางไตร่ตรองดู จากนั้นก็พับความคิดนั้นเก็บไป วิทยายุทธ์ของเนี่ยอวิ๋นเชื่อถือได้ ถึงแม้เขาจะไม่ชอบให้คนแบบนี้คอยติดตามอยู่ข้างกายชิงชิง แต่เวลานี้หากมีเนี่ยอวิ๋นอยู่ถึงจะวางใจได้มากกว่า ในเมื่อเขาเองก็มิอาจคอยตามชิงชิงได้ทุกเวลา
“รอชิงชิงไปแคว้นเย่ว์ ข้าก็คอยดูแลปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลาแล้ว” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเบา
มู่ชิงอีมองค้อนใส่เขา เกรงว่าไปแคว้นเย่ว์จะยิ่งเจออันตรายมากกว่าเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น…นางยังไม่ได้รับปากเสียหน่อย ใครบางคนอย่าเพิ่งคิดเอาเองอย่างมีความสุขเช่นนั้นส
“ไม่เป็นอะไรเพคะ องค์ชายเก้าควรกลับไปได้แล้วกระมัง” มู่ชิงอียกมือขึ้นผลักใครบางคนที่ไม่รู้ว่าขยับเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไรพลางขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดหรงจิ่นถึงชอบมาเกาะแกะนางนัก หากพูดถึงรูปโฉม ถึงแม้หน้าตานางจะเรียกได้ว่างดงามแต่ก็ใช่ว่าจะงามล่มเมืองขนาดนั้น หากเพราะสติปัญญาของนาง ตัวหรงจิ่นเองก็เป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง ความจริงคนฉลาดคนหนึ่งมักจะมีความรู้สึกดีๆ กับคนที่ฉลาดเหมือนกันได้ยากมาก อีกอย่างดูจากท่าทางของหรงจิ่นแล้วไม่เหมือนคนที่จะหาที่ปรึกษาวางแผนใดๆ เลยสักนิด
“ชิงชิงช่างไร้หัวใจยิ่งนัก” หรงจิ่นทำหน้าตาน่าสงสาร ท่าทางน้อยอกน้อยใจ
“หม่อมฉันเป็นคนไร้หัวใจมาตลอด” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว เอ่ยถามเสียงเรียบ “หากสุดท้ายหม่อมฉันไม่ได้ไปกับองค์ชาย องค์ชายเก้าคิดจะทำเช่นไรต่อไปเพคะ”
ไม่รู้ว่าหรงจิ่นไปคว้าพัดสีดำลายสีทองมาจากไหน เขาหัวเราะ หึๆ อยู่หลังพัดแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้หรือ…ชิงชิงคิดจะติดค้างบุญคุณโดยไม่ตอบแทนจริงๆ หรือ ไม่ต้องกังวลไป ข้า…เตรียมวิธีการตอบแทนไว้แล้ว”
ครั้นเห็นมู่ชิงอีตรงหน้าแสดงท่าทีเกรี้ยวโกรธยิ่งกว่าเดิม หรงจิ่นก็ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ ลุกขึ้นพลางยิ้มตาหยี “ข้าต้องกลับไปเตรียมตัว ในเมื่อหลังงานอภิเษกกับไหวหยางเราต้องออกเดินทางกันแล้ว อืม…ชิงชิงต้องเป็นเด็กดีนะ” ไม่ไปกับเขาหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ต่อให้ต้องลักพาตัวเขาก็จะลักพาตัวชิงชิงไปแคว้นเย่ว์ให้ได้ ไม่เช่นนั้นวันเวลาหลังจากนี้เขาจะอยู่ต่อไปอย่างไร วันเวลาที่ไม่มีชิงชิงนั้นช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
พอเห็นองค์ชายเก้าวางมาดเดินออกไป มู่ชิงอีก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เหม่อมองหนังสือที่หรงจิ่นวางไว้บนโต๊ะท่ามกลางความเงียบ อีกไม่นานเรื่องในเมืองหลวงก็จะจบลงแล้ว นางควรตรึกตรองให้ดีแล้วว่าในวันข้างหน้าจะเดินเส้นทางไหน
จุดจบของมู่หรงอวี้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว อีกอย่างคนมากมายก็เริ่มคิดเรื่องหลังจากมู่หรงอวี้พ่ายแพ้กันแล้ว
ณ เรือนเงียบสงบแถบชนบทของเมืองหลวง กู้ซิ่วถิงกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวริมสระพร้อมกู่เจิ้งโบราณเก่าแก่ตัวหนึ่งบนหน้าตัก เพียงใช้สิบนิ้วดีดเบาๆ ก็เกิดเสียงท่วงทำนองดังขึ้นแล้ว ฤดูร้อนใกล้มาเยือนเต็มที ดอกบัวในสระตรงหน้าต่างผลิดอกเบ่งบาน ดอกบัวสีชมพูที่อยู่ท่ามกลางใบบัวสีเขียวอ่อนขับให้ดูงดงามเตะตามากเป็นพิเศษ
“คุณชาย” มู่หรงจ้าวเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของกู้ซิ่วถิงในจุดที่ไม่ไกลนัก มองบุรุษชุดขาวที่สวมหน้ากากตรงหน้าอย่างนอบน้อม ถึงแม้ใบหน้าจะถูกหน้ากากปกปิดไปครึ่งค่อนหน้า ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงบุคลิกอันงามสง่าที่แผ่กระจายออกมา