เพี๊ยะ! ฝ่ามือปะทะบนใบหน้าของจูซื่ออย่างรุนแรง มู่ชิงอีมองฝ่ามือที่แดงเล็กน้อยของตนแล้วกวาดตามองจูซื่อแวบหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ “ดูท่าแล้ว หลายวันมานี้ท่านยังถูกสั่งสอนไม่พอกระมัง”
มุมปากมีรอยเลือดเล็กน้อยแต่จูซื่อกลับไม่สนใจเลยสักนิด นางมองมู่ชิงอีเชิงท้าทายพร้อมฉีกยิ้มสดใสราวกับกำลังบอกว่า ‘เจ้าจะทำอะไรข้าได้อีกหรือ’
มู่ชิงอียิ้มเย็นชาเอ่ย “ข้าคงทำอะไรท่านไม่ได้ ข้าจะทำอะไรคนที่ไม่กลัวแม้กระทั่งความตายคนหนึ่งได้เล่า แต่ท่านลองดูก็ได้ว่าข้าจะทำอะไรมู่หรงอวี้ได้บ้าง”
จูซื่อผงะไปทันที แววตาท้าทายในเดิมทีก็แข็งทื่อขึ้นมาชั่วขณะ “ลำพังเจ้าน่ะหรือ” ผ่านไปนาน กระทั่งในที่สุดนางก็เค้นเอ่ยคำเยาะเย้ยออกมาประโยคหนึ่ง
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ลำพังแค่ข้านี่แหละ ข้ามีฝีมือเช่นใดท่านก็รู้อยู่แก่ใจดีมิใช่หรือ ท่านลองดูก็ได้ว่าก่อนที่ท่านตายข้าจะทำให้บุตรชายของท่านจบชีวิตได้อนาถกว่าท่านได้หรือไม่”
“ไม่! เจ้าทำไม่ได้…อวี้เอ๋อร์เป็นถึงองค์ชาย เจ้ากล้าแตะต้องเขาหรือ!” จูซื่อกรีดร้องเสียงสูง มู่ชิงอีตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “มู่หรงอานก็เป็นองค์ชายนี่นา”
จูซื่อชะงักไป รอกระทั่งได้สติกลับมาถึงมองสาวน้อยที่คลี่ยิ้มหวานตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
“เจ้า…เจ้าคือ…”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ยยอมรับ “ข้าเอง” น่าเสียดายที่ท่านคงไม่มีโอกาสได้บอกใครแล้ว
ครั้นนึกถึงมู่หรงอานที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร แววตาที่จูซื่อใช้จับจ้องมู่ชิงอีจึงเหมือนอาบไปด้วยยาพิษแต่ก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว ถึงแม้นางจะไม่ได้ให้ความสำคัญและรักใคร่มู่หรงอานเท่ามู่หรงอวี้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือน ทว่าสุดท้ายกลับมีจุดจบโดยไม่รู้ที่มาที่ไป จูซื่อย่อมรู้สึกปวดใจบ้างเป็นธรรมดา พอเวลานี้รู้ว่าฆาตกรอยู่เบื้องหน้าแต่นางกลับไร้ความสามารถที่จะทำอะไรอีกฝ่ายได้ ชั่ววินาทีนั้นจูซื่อก็รู้สึกว่านางแพ้แล้ว บางทีนางอาจจะแพ้มาตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาในคุกเทียนสวรรค์แล้วด้วยซ้ำ
“บอกข้ามาว่ากงอ๋องใช้พิษอะไรกับผิงอ๋อง” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงขรึมในห้องที่ถูกปิดมิดชิดแห่งนี้ “อวิ๋นเฟยเป็นคนฉลาด อย่าบอกข้าเชียวว่าท่านไม่รู้ มิเช่นนั้น…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้ของมู่หรงอวี้นั้นจะผสมอะไรเข้าไป”
“เจ้ากล้าหรือ!”
มู่ชิงอียิ้มมุมปากโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่รอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าได้บอกจูซื่อแล้วว่านางกล้าจริงๆ
ในห้องตกอยู่ในความเงียบ ในที่สุดจูซื่อก็ก้มหน้าเอ่ยอย่างยอมแพ้ “ก็ได้…หญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณ”
“นั่นคืออะไรกัน” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่ใช่เพราะนางมีความรู้ตื้นเขิน ถึงนางจะไม่ได้ถนัดรอบรู้เรื่องตำราหมอนักแต่ก็พอรู้ผิวเผินอยู่บ้าง ทว่าหญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณนี่นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
อู๋ซินเองก็ส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าเขาเองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน ไม่ใช่เพียงมู่ชิงอีเท่านั้นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะแม้แต่คนที่ท่องแดนยุทธจักรมานานอย่างเขายังไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเช่นกัน
จูซื่อกวาดตามองทั้งสองด้วยท่าทีลำพองใจแวบหนึ่งก่อนแค่นเสียงเบา “หญ้านี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากนัก พวกเจ้าย่อมไม่รู้จักอยู่แล้ว”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว “หากพวกเราไม่เคยเจอมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร แต่ข้ากลับแปลกใจมากกว่าว่าเหตุใดแม้แต่หมอหลวงในวังเองก็ยังไม่เคยเจอมาก่อนเล่า”
จูซื่อเงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ในห้องหนังสือของผิงอ๋องน่าจะมีกระถางต้นไม้สีเขียวคล้ายดอกกล้วยไม้อยู่กระถางหนึ่งใช่หรือไม่”
มู่ชิงอีหรี่ตาเอ่ย “นั่นคือหญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณหรือ”
จูซื่อพยักหน้ากล่าว “ใช่ หมอทั่วไปมักตรวจเจอสิ่งผิดปกติจากเจ้านั่นไม่ได้ ไม่ใช่แค่ให้โทษแต่นั่นเป็นของดีที่หาได้ยากนัก หากคนที่ร่างกายอ่อนแอหรือเหนื่อยล้าบ่อยๆ วางเจ้านี่ไว้ในห้องอาจจะเป็นผลดีต่อร่างกาย แต่จะใช้นานมากไม่ได้ ขอแค่เกินหนึ่งปีขึ้นไป…ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยไม่ได้! หญ้าสลายวิญญาณนั่นถูกส่งไปวางไว้ในจวนผิงอ๋องอย่างน้อยสี่ห้าปีแล้วกระมัง” นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ตระกูลกู้จะถูกฆ่ายกครัวเสียอีก
“เหตุใดท่านถึงมีของพรรค์นี้ได้” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างสงสัย
จูซื่อมองนางด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “แล้วเหตุใดข้าจะมีของแบบนี้ไม่ได้เล่า หากว่ากันตามตำราหมอ บนโลกนี้…คนที่ฉลาดหลักแหลมกว่าข้าคงมีไม่เกินห้าคนด้วยซ้ำ”
“ดูท่าข้าคงประเมินท่านต่ำไป” มู่ชิงอีลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปเบื้องหน้าของจูซื่อ เอ่ยเสียงเรียบ “บอกข้ามาว่าจะช่วยผิงอ๋องได้เช่นไร”
“ไม่มีทางหรอก คนที่สูดกลิ่นหญ้าสลายวิญญาณเข้าร่างกายมากเกินไปไม่มียาใดช่วยรักษาได้แล้ว!” จูซื่อกัดฟันเอ่ย “ต่อให้ตอนนี้เจ้าฆ่าข้าข้าก็ช่วยไม่ได้!”
มู่ชิงอีจับจ้องจูซื่ออยู่นาน สุดท้ายก็กลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะถอนหายใจอย่างระอาใจ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเชื่อ”
จูซื่อมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีแปลกใจ ได้ยินมู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ต่อให้ท่านบอกว่ามีวิธีช่วยผิงอ๋องได้ ข้าก็คงไม่ไว้ใจให้ท่านช่วยผิงอ๋องจริงๆ หรอก หญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณใช่หรือไม่ ข้าต้องหาวิธีแก้พิษได้แน่”
จูซื่อยิ้มเย้ยหยัน นางรู้สึกว่าคำพูดของมู่ชิงอีไม่มีทางเป็นจริงไปได้
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หันไปหาอิ๋งเอ๋อร์กับอู๋ซินแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่มีอะไรพูดต่อแล้ว ไปกันเถิด”
อู๋ซินพยักหน้าเงียบๆ อิ๋งเอ๋อร์ออกจากที่นี่ไปเป็นเพื่อนมู่ชิงอี ส่วนอู๋ซินอยู่เก็บกวาดที่นี่ต่อ
ครั้นเห็นประตูห้องเปิดออก เหล่าข้าหลวงของคุกเทียนสวรรค์ที่รออยู่ด้านนอกก็รีบรุดหน้าเข้ามาหา “องค์หญิง”
“ลำบากใต้เท้าแล้ว เมื่อครู่จูซื่อไร้มารยาทข้าเลยจัดการสั่งสอนไปทีหนึ่ง โปรดใต้เท้าอภัยให้ข้าด้วย” มู่ชิงอีพูดเสียงเบา
“องค์หญิงเอ่ยเรื่องน่าขันแล้ว จูซื่อนั่นบังอาจเหิมเกริมใส่องค์หญิง ต่อให้ฆ่าทิ้งก็ไม่เกินไปเลย”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “ใต้เท้าเองก็เอ่ยเรื่องน่าขันแล้ว ในเมื่อฝ่าบาทตรัสว่าจะประหาร เช่นนั้นก็ให้นางรอถึงวันประหาร คงต้องลำบากใต้เท้าแล้ว”
อิ๋งเอ๋อร์เดินเข้าไปแอบยัดตั๋วเงินให้ใบหนึ่ง
ข้าหลวงเฝ้าคุกเทียนสวรรค์เผยสีหน้าดีอกดีใจรีบส่งมู่ชิงอีออกไปด้วยท่าทีนอบน้อม “องค์หญิงกลับดีๆ พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงวางใจได้ จนกระทั่งวันประหารจะไม่มีใครได้เจอจูซื่ออีก”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “คงไม่มีใครมาเจอนางหรอก ข้าไม่มีทางทำให้ใต้เท้าลำบากใจแน่นอน”
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยองค์หญิง เสด็จกลับดีๆ พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
หลังจากส่งขบวนมู่ชิงอีกลับไป ข้าหลวงผู้นั้นก็เข้าไปในห้องที่มู่ชิงอีเคยอยู่ก่อนหน้านี้อย่างเริงร่า เตรียมเรียกคนส่งตัวจูซื่อกลับไปขังในคุกเทียนสวรรค์เฉกเช่นเดิม
ทว่าทันทีที่เข้าไปก็เห็นจูซื่อนอนอยู่บนพื้นไม่ขยับ ชั่วขณะนั้นเขาเกือบคิดว่าบนพื้นคือคนตาย แต่พอเขาเดินเข้าไปใกล้ถึงเห็นว่าจูซื่อยังไม่ตายและยังเปิดเปลือกตาอยู่ เพียงแต่สองแขนของนางกลับบิดเบี้ยวผิดรูป ราวกับท่อนบนของแขนทั้งสองข้างถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังประดับห้อยโตงเตงแนบข้างกายไว้ก็มิปาน
เขาอดตกใจจนเหงื่อไหลอาบท่วมตัวไม่ได้ ในฐานะที่อยู่ในสถานที่เฉกเช่นคุกเทียนสวรรค์เขาย่อมเคยเห็นคนที่โหดเหี้ยมทารุณมาไม่น้อย รวมถึงเคยเห็นการลงโทษที่ป่าเถื่อนและบาดแผลหลากหลายรูปแบบ แต่แขนท่อนบนของจูซื่อตรงหน้ากลับถูกบดแหลกละเอียด ถูกบดจนเละมิใช่ถูกตัดหรือทำให้ขาดแต่อย่างใด เช่นนี้ต่อให้เป็นเทพเซียนก็รักษาให้หายไม่ได้
ครั้นเหลือบมองตั๋วเงินที่เพิ่งได้รับมาก็อดยิ้มแป้นไม่ได้ ถึงอย่างไรอีกไม่กี่วันจูซื่อก็ต้องถูกบั่นหัวอยู่แล้ว ใครจะสนใจว่าแขนของนางยังอยู่ดีหรือไม่เล่า ส่วนเรื่องที่ว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อคิดจะทำอะไรก็ใช่ว่าข้าหลวงเฝ้าคุกเทียนสวรรค์ตัวเล็กๆ อย่างเขาจะถามได้สักหน่อย