“ไปเถิด” หรงจิ่นเอ่ยอย่างรำคาญใจเล็กน้อย พอไม่มีเรื่องสนุกให้ดู อาการทั้งหมดก็กลับมาทันที เขาไม่อยากอยู่ในคุกที่เหม็นเน่าคละคลุ้งแบบนี้แม้แต่พริบตาเดียว
ขั้นตอนเอาตัวมู่ฉังหมิงออกมาจากคุกกรมอาญาเป็นไปอย่างราบรื่นดี หรงจิ่นย่างกรายช้าๆ ราวกับเต็มไปด้วยความมั่นใจ มู่ฉังหมิงที่เดินตามหลังเขาเห็นเช่นนั้นกลับอดร้อนรนใจไม่ได้ แต่กระทั่งออกจากประตูคุกมา พวกเขากลับไม่เจอทหารเฝ้ายามที่ตื่นได้สติเลยสักคน พอพ้นจากประตูใหญ่มามู่ฉังหมิงก็นิ่งตะลึงไป เพราะเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าตนจะออกจากคุกได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
ครั้นเห็นมู่ฉังหมิงเหม่อลอย หรงจิ่นก็พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ยกมือขึ้นสกัดจุดลมปราณของมู่ฉังหมิงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “อู๋ฉิง หิ้วปีก เอาตัวไป!” หรงจิ่นย่อมไม่มีทางประคองตัวมู่ฉังหมิงที่อยู่ในคุกมานานเองกับมืออยู่แล้ว ดังนั้นในฐานะองครักษ์อย่างอู๋ฉิงที่อยู่ด้วยในตอนนี้เลยจำต้องรับหน้าที่นี้ไป เขามององค์ชายที่เดินจากไปอย่างไม่ใยดีด้วยสีหน้าราบเรียบแวบหนึ่งแล้วถึงมองมู่ฉังหมิงที่ถูกสะกดจุดแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น จากนั้นอู๋ฉิงก็คว้าตัวมู่ฉังหมิงมาแล้วเดินตามไป
ณ จวนตระกูลจัง
ภายใต้แสงจันทร์เงียบสงบ มู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันพลางจิบชาใต้ดวงจันทร์ แน่นอนว่ามู่ชิงอีดื่มชา แต่ถ้วยในมือของกู้ซิ่วถิงนั้นเป็นสุรา
เงาดำทะมึนพลันปรากฏอยู่บนหลังคาใต้แสงจันทร์ หรงจิ่นจับจ้องพวกเขาสองคนที่กำลังนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ด้วยท่าทีสบายๆ อย่างไม่พอใจนัก
กู้ซิ่วถิงมองหรงจิ่นด้วยท่าทีไม่ยี่หระอะไร เลิกคิ้วเอ่ยยิ้มๆ “กลับมาแล้วหรือ คนล่ะ”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาทีหนึ่ง เพียงโบกมือครั้งเดียวมู่ฉังหมิงก็ถูกคนโยนลงมาจากด้านบนเสียงกระแทกพื้นดัง พลั่ก! จนเขามึนศีรษะตาลายไปหมด กระทั่งอดสบถออกมาทีหนึ่งไม่ได้
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจยิ้มเอ่ย “ฝีมือขององค์ชายช่างคล่องแคล่วตามคาดจริงๆ คงไม่ได้ทำให้ใครแตกตื่นหรอกกระมัง” ในเมื่อเตรียมการไว้แล้ว หากยังเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นอีก เช่นนั้นปัญหาคงอยู่ที่ความสามารถของหรงจิ่นแล้ว
หรงจิ่นกลอกตาใส่เขา ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างกายมู่ชิงอีแล้วนั่งลงคว้าถ้วยชาของมู่ชิงอีขึ้นมากรอกใส่ปากพลางส่งสายตายุแหย่ไปทางกู้ซิ่วถิงทีหนึ่ง กู้ซิ่วถิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ยกพัดในมือขึ้นแล้วเขวี้ยงไปทางถ้วยชาในมือของหรงจิ่น แต่ด้วยวิทยายุทธของหรงจิ่นแล้วจะปล่อยให้เขวี้ยงโดนได้เช่นไร เขาเลิกคิ้วแล้วเปลี่ยนถ้วยชาไปไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นก็ยักคิ้วใส่กู้ซิ่วถิงด้วยท่าทีหยิ่งผยองก่อนแหงนหน้ายกถ้วยชาซดจนเกลี้ยง
“จำคำที่ข้าสอนเจ้าไว้ สำหรับผู้ชายแล้วอะไรก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือพฤติกรรม หากกระทั่งผู้ใหญ่ยังไม่รู้จักเคารพ คนประเภทนี้…” คุณชายซิ่วถิงมองน้องสาวที่อยู่ตรงหน้าพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส
มู่ชิงอีระอาใจเหลือเกิน “พี่ใหญ่สอนถูกแล้วเจ้าค่ะ”
เขาเกลียดผู้ใหญ่ที่ไม่สมควรให้ความเคารพแบบนี้ที่สุด รอสบโอกาสเถอะเอาเจ้าถึงตายแน่! หรงจิ่นเผยสีหน้าบึ้งตึงครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเคย เขายกกาสุรารินใส่ถ้วยให้กู้ซิ่วถิงด้วยตัวเอง “พี่ใหญ่ ข้าผิดเอง มาเถิด ข้าขอดื่มเคารพพี่ใหญ่สักถ้วย”
“เจ้าคือองค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์หรือ” ไม่ง่ายเลยว่ามู่ฉังหมิงจะตะกายลุกขึ้นมาจากพื้นได้ ทันเห็นใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอมยิ้มจอมปลอมของหรงจิ่น
หรงจิ่นเลิกคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก เชิดคางเอ่ยด้วยท่าทีเย่อหยิ่งว่า “ทำไมหรือ เจ้ามีปัญหาใดหรือ” มู่ฉังหมิงที่อยู่ใต้ชายคาเรือนย่อมไม่ติดใจมีปัญหาใดด้วยอยู่แล้ว เขาแค่จับจ้องกู้ซิ่วถิงที่สวมหน้ากากและมู่ชิงอีที่กำลังนั่งจิบชาอยู่อีกฝั่งอย่างคลางแคลงใจ เขารู้สึกว่าบุรุษชุดขาวสองคนนี้ช่างคุ้นหน้าเหลือเกิน ทว่ากลับคิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ใดมาก่อน
“ท่านทั้งสองก็คือ…คนที่องค์ชายเก้าบอกว่าอยากพบข้าอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีวางกาชาลง บิดกายหันมามองมู่ฉังหมิงพร้อมคลี่ยิ้มเอ่ย “ท่านพ่อ ไม่เจอกันหลายวันสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
มู่ฉังหมิงชะงักไป จากนั้นก็จับจ้องหนุ่มน้อยชุดขาวภายใต้แสงจันทร์อ่อนๆ แน่นิ่ง ดวงตานั้น ท่าทีเช่นนั้น หากไม่ใช่มู่ชิงอีที่หายตัวไปเมื่อหลายวันก่อนแล้วจะเป็นใครไปได้ เพราะเป็นยามค่ำคืน มู่ชิงอีจึงไม่ได้บรรจงแต่งตัวมากนัก แต่พอมองดูแล้วกลับงดงามเจือด้วยจริตของสตรีมากกว่าตอนกลางวันแสกๆ อยู่มาก
“เจ้า…เจ้ายังไม่ตายหรือ” มู่ฉังหมิงเอ่ยด้วยท่าทีตกใจ
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของท่านพ่อ ชิงอียังอยู่รอดปลอดภัยดีเจ้าค่ะ”
อยู่รอดปลอดภัยดี...ยามที่มู่ฉังหมิงได้ยินคำพูดนี้กลับเป็นคำถากถางกว่าสิ่งอื่นใด นางอยู่รอดปลอดภัยดี ทว่าจวนซู่เฉิงโหวกลับตายสิ้นทั้งตระกูล ถึงแม้จะรู้ว่านี่คือข้ออ้างหนึ่งของฮ่องเต้แคว้นหวาเท่านั้น แต่ก็เพราะเรื่องนี้จวนซู่เฉิงโหวถึงถูกฆ่ายกครัวมิใช่หรือ
เมื่อเห็นท่าทีสุขุมเรียบนิ่งของมู่ชิงอี มู่ฉังหมิงพลันตัวสั่นสะท้าน “เจ้า…ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไร เหตุใดถึงไม่กลับมาเล่า”
“กลับไปน่ะหรือ” มู่ชิงอีผุดรอยยิ้มออกมา “ยามที่ท่านพ่อปล่อยให้มู่หรงอวี้เอาตัวข้าไป เหตุใดถึงไม่ถามข้าบ้างว่าข้าอยากไปหรือไม่ หรือไปแล้วจะได้กลับมาหรือไม่บ้างเล่า กลับไปทำไมกัน…กลับไปเพื่อช่วยวิงวอนฝ่าบาทแทนท่านพ่อกับจวนซู่เฉิงโหวหรือ ขอโทษท่านพ่อด้วยแต่ชิงอีทำไม่ลง”
“ทำไมกัน” มู่ฉังหมิงขึงตามองมู่ชิงอีแล้วคำรามอย่างไม่พอใจว่า “ข้าเป็นพ่อของเจ้า! ต่อให้เจ้าจะเกลียดชังข้าแต่ข้าก็คือพ่อแท้ๆ ของเจ้า! ความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่มีทางตัดกันขาดไปชั่วชีวิตหรอก!”
มู่ชิงอีเอียงศีรษะเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ก็เพราะท่านเป็นพ่อแท้ๆ ของมู่ชิงอีอย่างไรเล่า ดังนั้นตอนนี้ท่านถึงยังไม่ตาย”
“น้าเขยไม่เจอกันหลายปีท่านยังสบายดีหรือไม่เล่า” ฉับพลันกู้ซิ่วถิงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เปิดปากถามขึ้น
มู่ฉังหมิงผงะไป “เจ้าเป็นใครอีกล่ะ” บนโลกนี้คนที่เรียกเขาว่าน้าเขยมีอยู่ไม่กี่คน แต่หากเป็นผู้ชาย…กลับมีแค่คนเดียว ในใจคาดเดาได้อยู่ลางๆ จากนั้นมู่ฉังหมิงก็จับจ้องกู้ซิ่วถิงตาเขม็ง
กู้ซิ่วถิงยกมือขึ้นถอดหน้ากากบนหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอันคุ้นเคย มู่ฉังหมิงมองบุรุษชุดขาวภายใต้แสงจันทร์ด้วยท่าทีตกตะลึง “เจ้า…เจ้าคือกู้ซิ่วถิงหรือ”
มู่ฉังหมิงอุทานอย่างตกใจ มู่ฉังหมิงรู้มาตลอดว่ากู้ซิ่วถิงยังมีชีวิตอยู่ แต่เขากลับไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้นัก ลูกหลานของตระกูลกู้ที่ถูกทำลายไปแล้วคนหนึ่ง บุรุษที่ถูกหนิงอ๋องกักขังดั่งของล้ำค่าส่วนตัวไว้เสพสุขก็มิปาน คนแบบนี้จะมีประโยชน์อะไรอีก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามู่ชิงอีจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกู้ซิ่วถิงด้วย มู่ชิงอี กู้ซิ่วถิง มู่หรงซี เส้นปะที่เดิมทีเลือนรางไม่ชัดเจนกลับเหมือนจะโยงเชื่อมหากันได้ในทันที
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
กู้ซิ่วถิงเอ่ยยิ้มๆ “น้าเขยหมายความว่าเช่นไรกัน จะว่าไป…ซิ่วถิงรอดพ้นอันตรายมาได้ต้องขอบคุณแผนการลับๆ ของมู่ชิงอีด้วยซ้ำ”
“รอดพ้นอันตราย…หนิงอ๋อง…วันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท” เรื่องมากมาย ขอแค่จุดประกายประเด็นสำคัญในนั้นขึ้นมา เรื่องอื่นๆ ก็จะต่อติดลื่นไหลอย่างง่ายดายมาก ชั่วพริบตานั้นมู่ฉังหมิงแทบเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่คิดให้ตายอย่างไรก็คิดไม่ออกในทันที มู่ชิงอี...วางแผนจัดการทุกคนมาตั้งแต่แรกแล้ว มู่หลิง มู่เฟยหลวน มู่หรงอวี้ อวิ๋นเฟยเป็นต้น ทุกเรื่องล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับของนางทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่พวกเขาทุกคนกลับเมินเฉยต่อเรื่องนี้ นอกจากนางจะเป็นฝ่ายยอมรับเอง มิเช่นนั้นเรื่องทั้งหมดคงมีน้อยคนนักที่จะนึกสงสัยอะไรในตัวนาง
บุตรสาวผู้นี้…น่ากลัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ มู่ฉังหมิงข่มอารมณ์หวาดกลัวไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“พี่ใหญ่ ข้าอยากคุยกับท่านพ่อตามลำพังเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
กู้ซิ่วถิงมองหรงจิ่น ในเมื่อมู่ฉังหมิงเป็นคนที่เคยร่ำเรียนวิทยายุทธมาก่อน เขาจึงไม่วางใจปล่อยให้ชิงอีคุยกับเขาตามลำพัง ตอนนี้มู่ฉังหมิงถูกบีบจนหมดหนทางแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาจะก่อเรื่องแบบไหนขึ้นมาอีก