มู่ชิงอีเอ่ย “พวกเรายิ่งไม่ใช่พวกเดียวกันกับเจ้าสำนักมั่ว พวกเราพาตัวเจ้าสำนักมั่วออกไปจากที่นี่ ขอแค่พวกท่านไม่ทำอะไรพวกเรา รอจนถึงจุดที่หนีเอาตัวรอดได้แล้วเราก็จะปล่อยเขาไป พอถึงตอนนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกท่านแล้ว”
คนชุดดำกล่าว “แล้วข้าจะเชื่อใจพวกเจ้าได้เช่นไร”
“เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าอยากตายไปพร้อมกับพวกเราอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
คนชุดดำเงียบไปนาน ในที่สุดก็พยักหน้ากล่าว “ได้ แต่พวกเจ้าไปได้แค่นอกตำบลนี้เท่านั้น หลังจากถึงนอกเขตตำบลแล้วต้องรีบส่งตัวเจ้าสำนักมั่วมาทันที”
“ไม่มีปัญหา” มู่ชิงอีเอ่ยพลางอมยิ้ม
เพราะเหตุนี้ มู่ชิงอีและอู๋ซินจึงขนาบข้างซ้ายขวาลากตัวมั่วเวิ่นฉิงเดินออกไปข้างนอกภายใต้สายตาดุดันของพวกคนชุดดำ ระหว่างที่เดินถอยหลังออกไปด้านนอก มู่ชิงอีก็ระบายยิ้มงดงามราวดอกไม้ “ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่า ท่านอย่าคิดเล่นตุกติกด้านหลังข้าเชียว หากข้ามือสั่นขึ้นมา ของเล่นเมื่อครู่ ข้ายังเหลืออีกตั้งเจ็ดแปดอันเชียว”
คนชุดดำยิ้มเยาะอย่างไม่สบอารมณ์แล้วใช้สายตาเกรี้ยวโกรธจับจ้องมู่ชิงอีโดยไม่พูดอะไร
ไม่นานพวกเขาทั้งสามคนก็ออกมาจากโรงเตี๊ยม ทั้งๆ ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เสียงดังอึกทึกขนาดนี้ ทว่าคนทั่วทั่งตำบลกลับไม่มีใครโผล่ออกมาดูสักคนราวกับหูหนวกไปแล้วก็มิปาน ถนนที่แสนคับแคบท่ามกลางความมืดมิดยังคงเงียบสงัดดังเดิม
ขณะที่คนชุดดำผู้นั้นกำลังพาคนอื่นๆ ย่างกรายออกมาจากโรงเตี๊ยม ฉับพลันมั่วเวิ่นฉิงที่เดิมทีถูกจับกุมตัวก็ยกมือขึ้นแล้วปล่อยคลื่นลมฝ่ามือกวาดพวกคนชุดดำออกไป จากนั้นคนที่ถูกขนาบข้างซ้ายขวาก็กลายเป็นมู่ชิงอีแทน มั่วเวิ่นฉิงและอู๋ซินคว้าตัวมู่ชิงอีไว้คนละข้างแล้วเตรียมใช้วิชาตัวเบาลอยตัวออกนอกเขตตำบลไป
“เจ้าคนปลิ้นปล้อน!” คนชุดดำพวกนั้นคำรามอย่างเดือดดาล จากนั้นก็ง้างฝ่ามือไปทางมั่วเวิ่นฉิง ทว่ามั่วเวิ่นฉิงกลับไม่ได้เข้าไปรับคลื่นลมฝ่ามือของเขา ทันทีที่หันหน้าไปก็ปล่อยควันสีจางๆ ออกมาจากแขนเสื้อ คนชุดดำต่างพากันแตกกลุ่มอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นพวกมู่ชิงอีก็ลอยตัวหนีไปแล้ว
ระหว่างหลบหนีด้วยความเร็ว มู่ชิงอีที่ถูกจับตัวอยู่ก็หันกลับไปมอง นางเห็นเพียงควันสีชมพูอ่อนๆ อยู่ตรงนั้นซึ่งไม่รู้ว่าเริ่มปลิวฟุ้งกระจัดกระจายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ส่วนโรงเตี๊ยมแห่งนั้นยิ่งถูกปกคลุมไปด้วยควันสีชมพูอ่อนจนหายไปจากสายตา
กระทั่งพวกเขาออกจากตำบลเล็กๆ นั้นมาได้แล้วก็ยังไม่มีใครตามมา ยามเท้าจรดพื้น ต่อให้เป็นอู๋ซินและมั่วเวิ่นฉิงก็ต่างพากันหายใจหอบถี่ พอหันกลับไปมอง ทั่วทั้งตำบลเหมือนถูกปกคลุมด้วยควันสีชมพูชั้นหนึ่งบางๆ ท่ามกลางความมืด
อู๋ซินอดอุทานขึ้นอย่างตกใจไม่ได้ “เป็นพิษที่เยี่ยมยอดมาก ในเมื่อเจ้าสำนักมั่วมีพิษนี้อยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่ใช้ตั้งแต่แรกเล่า”
เดิมทีนึกว่ามั่วเวิ่นฉิงจะไม่ตอบคำถามเขาเสียอีก ทว่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะหันมามองพวกเขาสองคนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ตาเฒ่าที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นมีวรยุทธ์ขั้นสุดยอด ไม่มีพิษใดที่สามารถทำร้ายเขาได้เต็มร้อย อีกอย่างถ้าอยู่นาน ข้าเองก็ต้องโดนพิษไปด้วยเช่นกัน”
“เจ้าสำนักเย่าหวังกู่น่าจะแคล้วคลาดได้จากทุกพิษมิใช่หรือ”
“บนโลกนี้ไม่มีใครแคล้วคลาดได้จากทุกพิษหรอก” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
*****
เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ณ จวนตระกูลเว่ย เมืองหลวง
คุณชายเว่ยผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออิทธิพลคับฟ้ากำลังนั่งชมดอกไม้ใต้แสงจันทร์เป็นเพื่อนเชียนหลิง เบื้องหน้าของเชียนหลิงตั้งพิณไว้ตัวหนึ่ง สิบนิ้วขยับรื่นไหลถ่ายทอดเสียงพิณออกมาเบาๆ
เว่ยอู๋จี้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งเหม่อมองดอกไม้นานาพันธุ์เต็มสวนตรงหน้าอย่างเงียบๆ เชียนหลิงหยุดเล่นพิณแล้วมองเว่ยอู๋จี้ด้วยสายตาลึกล้ำกล่าว “อู๋จี้ เจ้ามีเรื่องในใจหรือ”
เว่ยอู๋จี้หันกลับมาแล้วเอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจะมีเรื่องในใจได้อย่างไร ข้าแค่กำลังคิดเรื่องค้าขายก็เท่านั้น” เชียนหลิงก้มหน้าลง ความโกรธยิ่งฉายชัดผ่านแววตามากกว่าเดิม ความจริงเวลาที่พวกเขาคบกันไม่ได้นานอย่างที่คนนอกคิดกัน ต่อให้เป็นเช่นนี้แต่ยามที่ฟังนางดีดพิณ เขายังคิดเรื่องค้าขายอีกหรือ
ครั้นเห็นสีหน้าย่ำแย่ของนาง เว่ยอู๋จี้ก็ลุกขึ้นมาอยู่ข้างนางแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ขอโทษนะ ข้าไม่ควรเหม่อลอยเลย”
เชียนหลิงส่ายหน้าพร้อมเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ข้ารู้ว่าเจ้าวุ่นวายเรื่องการค้า ข้า…ข้าเองก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “แค่เจ้าสุขสบายดีก็ช่วยข้าได้มากแล้ว”
“อืม” เชียนหลิงพยักหน้าอย่างเปรมปรีดิ์ จากนั้นก็เอนกายแอบอิงอ้อมอกของเว่ยอู๋จี้แล้วเอ่ยถามแกมขัดเขินว่า “อู๋จี้ พวกเรา…จะจัดงานแต่งงานกันปีนี้จริงๆ หรือ”
เว่ยอู๋จี้ชะงักไปแล้วพยักหน้าเอ่ย “อืม กลับแคว้นเย่ว์ไปข้าจะให้คนไปจัดเตรียมงาน”
“พวกเราไม่อยู่ที่แคว้นหวาแล้วหรือ” เชียนหลิงเอ่ยถาม
เว่ยอู๋จี้เอ่ยยิ้มๆ “เชียนหลิงชอบแคว้นหวาหรือ” เชียนหลิงส่ายหน้า “ข้าชอบแคว้นเย่ว์มากกว่า” นางเป็นคนแคว้นเย่ว์ย่อมชอบแคว้นเย่ว์มากกว่าอยู่แล้ว เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “ถึงแม้แคว้นหวางดงามอยู่สุขสบาย แต่ถึงอย่างไรก็ไกลเกินไป อยู่ที่แคว้นเย่ว์จะสะดวกกว่าหน่อย” ทางตะวันตกทะลุผ่านแคว้นเย่ว์ ทางตะวันออกติดแคว้นหวา ทิศเหนือก็อยู่ติดกับเป่ยฮั่น ส่วนทางทิศใต้ก็เชื่อมติดกับชายแดนแคว้นต่างๆ ทางตอนใต้ ฉะนั้นย่อมดีกว่าแคว้นหวาที่อยู่ริมสุดไปไหนก็ไม่ค่อยสะดวกอยู่แล้ว
“เช่นนั้นพวกเราจะกลับเมื่อใดหรือ”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “อีกไม่นานแล้ว…ใครกัน” เว่ยอู๋จี้หุบยิ้มแล้วเงยหน้ามองไปยังเหนือกำแพงอีกฝั่งพลางเอ่ยเสียงขึงขัง
ไม่รู้ว่ามีบุรุษสวมชุดดำพร้อมหน้ากากสีเงินคนหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงใต้แสงจันทร์นี้ตั้งแต่เมื่อไร
“คุณชายอวิ๋นอิ่น” เชียนหลิงกรีดร้องอย่างตกใจ เหมือนสัญชาตญาณความกลัวจะทำให้นางรีบไปหลบอยู่หลังของเว่ยอู๋จี้ทันที เพียงแค่ได้เห็นเขา ความจริงนางไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของบุรุษผู้นี้ แต่ก็ทำเอาเชียนหลิงรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง หัวใจแอบเจ็บรางๆ เพราะไม่กี่ปีก่อนฝีดาบนั้นของคุณชายอวิ๋นอิ่นเกือบปลิดชีวิตนางลงแล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะ” เว่ยอู๋จี้คุ้มกันเชียนหลิงไว้ด้านหลังแล้วเอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“คุณชายอวิ๋นอิ่นมาหาตอนดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือ” หลังจากปลอบประโลมเชียนหลิงแล้ว เว่ยอู๋จี้ถึงเปิดปากเอ่ยถามด้วยเสียงขรึม
หรงจิ่นลอยตัวกระโดดลงมาอยู่กลางสวนดอกไม้แล้วเดินมาหยุดหน้าริมศาลาตรงจุดที่พวกเว่ยอู๋จี้อยู่พร้อมขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้เข้าไป แค่ถามเสียงเย็นยะเยือกว่า “เจ้าเป็นคนบอกที่อยู่ของกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีให้ฮ่องเต้แคว้นหวารู้หรือ”
เว่ยอู๋จี้ชะงักไป แล้วยิ้มกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “โปรดอย่าโกรธเลย หากข้าไม่เข้าใจคำพูดของคุณชายอวิ๋นอิ่น”
หรงจิ่นยิ้มเย็นชากล่าว “ในเมื่อช่วยพามู่หรงอวี้เข้าวังเพื่อลอบสังหารคุณชายเว่ยยังกล้า แล้วจะมีเรื่องใดที่เจ้าไม่เข้าใจอีกหรือ”
เว่ยอู๋จี้แววตาวูบไหวแล้วเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ เรื่องกู้ซิ่วถิงกับมู่หรงซีไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า ตอนนี้ตัวข้าเองก็มีเรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด” เพราะเพิ่งเข้าวังไปท้าทายอำนาจของฮ่องเต้แคว้นหวา ตอนนี้หันเสวี่ยโหลวเองก็กำลังถูกราชสำนักของแคว้นหวาตามตัวอยู่เหมือนกัน
“ไม่ใช่เจ้าจริงๆ หรือ”
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจ “ข้ากับมู่หรงซีไม่ได้มีความแค้นใดต่อกัน”
“แต่ใช่ว่านายจ้างของเจ้าจะไม่มีความแค้นกับเขาสักหน่อย” หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เว่ยอู๋จี้ยักไหล่เชิงว่าไม่รู้เรื่องด้วยแล้วเอ่ย “แค่รับเงินมาแล้วจัดการแทนก็เท่านั้น ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงสนใจเรื่องนี้นัก แต่ข้าบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้าให้ก็ได้…มั่วเวิ่นฉิงแห่งเย่าหวังกู่มาถึงแคว้นหวาและช่วยรักษาอาการมู่หรงอวี้จนหายดีแล้ว ได้ยินมาว่าเย่าหวังกู่มีสิ่งของอย่างหนึ่งที่เรียกว่าผีเสื้อหลงทางซึ่งสามารถใช้สะกดรอยตามคนได้ แต่หน้าตาเป็นเช่นไรกลับไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน” หันเสวี่ยโหลวเป็นกลุ่มทรงอิทธิพลลำดับต้นๆ ในแคว้นเย่ว์ย่อมเคยผูกมิตรกับสำนักเลื่องชื่อมานานอย่างเย่าหวังกู่อยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสมญานามเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้าของเว่ยอู๋จี้ ขอแค่มีเงิน ไม่ว่าไปที่ใดย่อมได้ทั้งนั้น ซึ่งรวมถึงสำนักเย่าหวังกู่ด้วย