“หนานกงอวี้ เจ้ารนหาที่ตาย!” ผิงหูจวิ้นจู่ตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธ จากนั้นก็ตวัดแส้อีกครั้ง
แส้ยาวเส้นนั้นตวัดไปมาอย่างไร้ทิศทาง เหล่าฝูงชนที่แห่มุงดูอยู่ในเดิมทีต่างแตกตื่นรีบถอยหลบไปไกลเพราะกลัวถูกลูกหลงไปด้วย แต่กลับคาดหวังในใจลึกๆ ว่าคุณชายหนานกงจะจัดการสั่งสอนจวิ้นจู่ผู้นี้แรงๆ ได้สักครา
มั่วเวิ่นฉิงที่ยืนอยู่อีกฝั่งมองฉากตรงหน้าพลางขมวดคิ้วแน่นราวกับไม่นึกซาบซึ้งกับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตนเลยสักนิด จากนั้นก็ก้มหน้าปัดแขนเสื้อก่อนหมุนตัวเดินจากไปทางถนนอีกฝั่ง
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ครั้นเห็นมั่วเวิ่นฉิงทำท่าจะจากไป ผิงหูจวิ้นจู่จึงไม่มีกะจิตกะใจมาทะเลาะกับหนานกงอวี้อีกพลันร้องเรียกเขาเสียงสูง เพียงแต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่คิดสนใจนางเลยแม้แต่น้อย เงาร่างสีขาวค่อยๆ เดินลับจากมุมถนนไป
“หนานกงอวี้ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!” พอเห็นมั่วเวิ่นฉิงเดินหายไปไม่เห็นเงาแล้ว ผิงหนานจวิ้นจู่ก็กำแส้ชี้ไปทางหนานกงอวี้พลางเอ่ยเสียงโกรธแค้น
หนานกงอวี้เลิกคิ้วถาม “ไม่มีปัญหา ข้ารอได้อยู่แล้ว แต่จวิ้นจู่…ได้ยินว่าท่านใกล้จะอภิเษกแล้ว ถึงตอนนั้นข้าต้องส่งของขวัญชิ้นโตให้ท่านแน่นอน ยินดีกับจวิ้นจู่ด้วย…ในที่สุดก็มีคนเอาสักที”
“ข้าไม่อภิเษกกับคนไร้ประโยชน์พรรค์นั้นเด็ดขาด!” ผิงหูจวิ้นจู่กัดฟันพลางจับจ้องหนานกงอวี้ตาเขม็ง จากนั้นนางก็ไม่สนใจม้าอีกต่อไปแล้วรีบวิ่งไล่ไปยังทิศทางที่มั่วเวิ่นฉิงเดินจากไปทันที
หนานกงอวี้มองม้ารูปงามที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างทางพลางขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยว่า “นับว่าเป็นม้าที่ไม่เลว ช่างไม่รู้จักรักษาของเอาเสียเลย ขายแล้วยังแลกเงินตำลึงมาชดใช้ได้” ขณะที่พูดหนานกงอวี้ก็ลูบคลำหาเงินตำลึงออกมาสองอันก่อนโยนให้ทุกคนรอบกายแล้วกล่าว “เอาไปแบ่งกันเถิด ถือว่าเป็นค่าชดใช้ให้แล้วกัน”
“หนานกง นี่ท่าน?” ยามที่มู่ชิงอีเดินออกมาก็เห็นหนานกงอวี้จูงม้าตัวนั้นของผิงหูจวิ้นจู่มารออยู่ตรงหน้าประตูก่อนแล้ว หนานกงอวี้ยิ้มเอ่ย “ม้าชั้นดีเชียว ในเมื่อผิงหูจวิ้นจู่ไม่เอาแล้ว ข้าเลยจะทำเรื่องดีๆ เอามันไปขายเสีย ประจวบกับไม่กี่วันก่อนข้าถูกใจม้าขาวตัวหนึ่งเข้าแต่ยังขาดเงินตำลึงอยู่พอดี”
มู่ชิงอีหันไปมองแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นม้าชั้นดีจริงๆ” ถึงแม้ผิงหูจวิ้นจู่จะเป็นหลานสาวของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ แต่ด้วยสถานะของหนานกงอวี้แล้วกลับไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวนางเลยสักนิด ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้รักใคร่บุตรชายบุตรสาวอะไรมากนักและยิ่งไม่ได้ให้ความสนใจหลานชายหลานสาวเข้าไปใหญ่ มิเช่นนั้นคงไม่ให้ผิงหูจวิ้นจู่อภิเษกกับมู่หรงอวี้ตามอำเภอใจเช่นนี้
ครั้นได้ยินมู่ชิงอีกล่าวเช่นนั้น หนานกงอวี้ก็อดดวงตาเป็นประกายไม่ได้ ยิ้มเอ่ย “หลิวอวิ๋นชำนาญเรื่องม้าด้วยหรือ”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะอย่างระอาใจ “คงกล่าวว่าชำนาญมิได้ ข้ารู้แค่ผิวเผินเท่านั้น”
หนานกงอวี้พูดด้วยรอยยิ้ม “รู้แค่ผิวเผินก็นับว่าไม่เลวแล้ว พอดีเลยหลิวอวิ๋นสนใจจะไปดูม้าพันลี้ชั้นยอดที่หายากในใต้หล้านี้หน่อยไหมเล่า”
ถึงแม้มู่ชิงอีจะสนใจเรื่องม้าแต่กลับไม่มากนัก ทว่าครั้นเห็นท่าทีตื่นเต้นกระตือรือร้นเช่นนี้ของหนานกงอวี้แล้วกลับทำให้นางไม่อยากปฏิเสธคำขอของเขาเลยตามไปด้วย
เรื่องที่หนานกงอวี้บอกว่าจะเอาม้าของผิงหูจวิ้นจู่ไปขายกลับไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด เพราะเขาจูงม้าไปตลาดม้าที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองแล้วขายทิ้งในราคาสองพันตำลึง จากนั้นหนานกงอวี้ก็ถือตั๋วเงินที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่พลางถอนหายใจอย่างท้อแท้
มู่ชิงอีเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ “หนานกงเป็นอันใดไปหรือ ขายได้ราคาต่ำไปหรือ” ถึงแม้มู่ชิงอีจะไม่รู้ราคาม้า แต่ราคาสองพันตำลึงก็คงไม่ถือว่าน้อยแล้วกระมัง ในเมื่อม้าตัวนี้ก็แค่ถือว่าพอใช้ได้เท่านั้น
หนานกงอวี้ถอนหายใจ “ม้าสีขาวแพงเกินไป ลำพังแค่สองพันตำลึงใช่ว่าจะรวบรวมเงินได้ครบ ช่างเถิด ถ้าซื้อไม่ได้แต่พวกเราได้ไปดูสักหน่อยก็ยังดี หากผ่านวันนี้ไปคงถูกคนอื่นซื้อไปแล้วแน่”
จากนั้นก็แบ่งตั๋วเงินในมือแผ่นหนึ่งให้มู่ชิงอี ยิ้มเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ซื้อไม่ได้อยู่แล้ว ผู้อยู่ในเหตุการณ์ย่อมมีส่วนแบ่งด้วย”
มู่ชิงอีรับตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งพันตำลึงมาหนึ่งใบอย่างหมดคำพูด นางคิดว่านางพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณชายของแม่ทัพใหญ่ที่น่าเกรงขามหรือลูกพี่ลูกน้องขององค์ชายสองอย่างหนานกงอวี้ผู้นี้จะซื้อม้าสักตัวถึงไม่มีเงินในกระเป๋าจนต้องลำบากใจเช่นนี้
หนานกงอวี้ลากมู่ชิงอีเบียดเสียดเข้ามาตรงจุดหนึ่งด้านในสุดของสนามม้า คนตรงนี้ไม่ได้พลุกพล่านอย่างด้านนอก ขณะเดียวกันท่าทางคนพวกนี้เองก็ดูสถานะไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าหนานกงอวี้เป็นลูกค้าขาประจำที่นี่ เพราะทันทีที่เข้ามาก็มีคนทักทายเขาแล้ว หนานกงอวี้รีบทักทายกลับแล้วเปิดปากถามโต้งๆ ว่า “ม้าตัวสีขาวเล่า”
คนที่ขานตอบผู้นั้นชี้นิ้วไปทางด้านในกล่าว “อยู่ด้านใน แต่มีคนไม่น้อยเลยที่ถูกใจมัน หากคุณชายสองไม่รีบหน่อยอาจจะไม่ทันการ”
หนานกงอวี้ยิ้มแห้งขึ้นมาทันที แต่หากไม่มีเงินก็เปล่าประโยชน์เช่นกัน
จากนั้นก็เห็นม้ารูปงามสีขาวดั่งหิมะท่ามกลางฝูงม้าซึ่งถูกขังอยู่ในคอกจากมุมที่ไม่ไกลนัก เพียงแต่แวบแรกที่เห็นก็ชวนให้รู้สึกว่าเป็นม้าชั้นดีไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าม้าตัวนั้นเดินวนไปวนมาอยู่ในคอกอย่างหงุดหงิดซึ่งเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดีนัก อีกทั้งยังฟึดฟัดใส่เหล่าผู้ชมที่มุงดูมันอย่างไม่สบอารมณ์ด้วย
หนานกงอวี้มองม้าสีขาวราวหิมะตัวนั้นด้วยแววตาร้อนรุ่ม ถอนหายใจเอ่ย “ช่างเป็นม้าชั้นดีที่ในหมื่นลี้จะหาได้สักตัวจริงๆ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “เหมือนม้าตัวนี้…จะพยศไม่เบา”
หนานกงอวี้เอ่ย “นิสัยพยศหน่อยสิดี เจ้าม้าขาวตัวนี้เป็นม้าในป่า ว่ากันว่าตอนแรกเพื่อจะจับมันทำเอาบาดเจ็บไปหลายสิบคนเลย ถ้าลงสนามศึกคง…”
มู่ชิอีลูบจมูกเบาๆ แต่ไม่พูดอะไร เพียงคิดในใจ ท่านไม่กลัวว่าถ้าลงสนามศึกแล้วมันจะไม่สร้างหายนะให้ท่านบ้างหรือ
“ช่างเป็นม้าชั้นดีจริงๆ ม้ามีความสามารถเช่นนี้…ราคาหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงถือว่าไม่แพงเลย” บุรุษบุคลิกงามสง่าคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเปิดปากเอ่ยชื่นชม
ส่วนอีกคนด้านข้างเลิกคิ้วเอ่ย “ไม่พอ ม้าชั้นดีเช่นนี้สามหมื่นตำลึงก็ยังถือว่าคุ้มค่า”
ครั้นได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ หนางกงอวี้ที่อยู่ด้านข้างพลันเผยสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาในทันที อย่าว่าแต่สามหมื่นตำลึงเลย เพราะแม้แต่หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเขาก็ไม่มี คนพวกนี้ซื้อม้าก็เพื่อสร้างหน้าสร้างตาโดยไร้ซึ่งความรู้เรื่องม้าอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกันเพราะพวกเขาเลยทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างไร้เหตุผล เกลียดคนพวกนี้เสียจริง!
“สหายเหอหมายความว่างานฉลองวันเกิดของท่านพ่อตรงกับเดือนหน้าพอดี หากเอาม้ารูปงามเช่นนี้มาเป็นของขวัญคงดูมีหน้ามีตาไม่น้อย”
“ข้าเองก็กำลังคิดว่าจะเอาม้าตัวนี้มอบให้พ่อตาเช่นกัน”
ครั้นเห็นสีหน้าของหนานกงอวี้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ มู่ชิงอีก็แอบหัวเราะเสียงเบาในใจ จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายหนานกงอวี้แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “หนานกง ม้าตัวนี้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”
หนานกงอวี้ถอนหายใจอย่างจนใจ “เงินหาง่าย แต่ม้าชั้นดียากที่จะไขว่คว้ามาได้ มีใครที่เกิดมาในตระกูลนักรบแล้วไม่อยากได้ม้าพันธุ์ดีหายากมาเป็นคู่หูในสนามศึกบ้างเล่า”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วขบคิด จากนั้นก็ดึงเอาตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อยัดใส่ในมือเขาเอ่ย “ให้เจ้ายืม”
“ไอ๊หยา!” หนานกงอวี้ชะงักไป จากนั้นก็ก้มหน้ามองปึกตั๋วเงินในมือแวบหนึ่ง ทุกใบล้วนเป็นตั๋วเงินมูลค่าห้าพันตำลึงซึ่งมีทั้งหมดห้าใบ นอกจากนี้ยังมีตั๋วเงินที่ตนเพิ่งแบ่งให้เขาเมื่อครู่ด้วย ทั้งหมดเป็นเงินสองหมื่นหกพันตำลึง
“นี่…หลิวอวิ๋น” แม้แต่คนใจกว้างเริงร่าอย่างหนานกงอวี้ยังอดผงะไปไม่ได้ สองหมื่นกว่าตำลึงไม่ใช้เงินจำนวนน้อยๆ เลย วันแรกที่พวกเขารู้จักกันหลิวอวิ๋นก็ให้เขายืมเงินมากขนาดนี้แล้วหรือ
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “หนานกงบอกว่าเรามีวาสนาต่อกันมิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็เพิ่งแบ่งตั๋วเงินให้ข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้เพื่อนกันย่อมต้องช่วยเหลือหยิบยืมกันในยามทุกข์ยากมิใช่หรือ อีกอย่างใช่ว่าเจ้าจะไม่คืนข้าสักหน่อย ข้ายังต้องกลัวว่าจวนแม่ทัพใหญ่ผู้น่าเกรงขามจะหนีไปไหนได้อีกหรือ”