ดั่งคำคนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ใจมนุษย์โลภมากไม่มีที่สิ้นสุด’ ตอนแรกนายท่านของตระกูลหลีอาจจะยังอิ่มอกอิ่มใจเพราะสถานะที่มีหน้ามีตาและรายได้ที่สูงลิ่ว ทว่าพอนานวันเข้าคงเลี่ยงความคิดบางอย่างไม่ได้ อย่างเช่น…เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อโรงทอผ้าห้องเสื้อนี้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่สุดท้ายเงินที่ได้กลับต้องให้เจ้าของที่ไม่ต้องทำอะไรและไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนอีกต่างหาก อีกทั้งหลายปีมานี้เหมยเหนียงเองก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ทว่ากลับมีตำแหน่งผู้ดูแลใหญ่ไว้ใช้ข่มพวกเขาก็เท่านั้น
อีกตัวอย่างก็คือครั้งแรกและครั้งที่สองที่เขาลักขโมยเงินโรงทอผ้าไม่มีใครสังเกตเห็น พอวันหนึ่งขณะที่กำลังกลัดกลุ้มว่าจะเอาเบี้ยหวัดที่พร่องหายไปจากไหนมาโปะคืนดี ฉับพลันก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นได้…ถ้าหากทุกอย่างนี้กลายเป็นของเขา เขาจะยังต้องหามาคืนอีกหรือ
กิจการของตระกูลกู้ใหญ่โต เขาคนเดียวย่อมทำไม่ได้จึงติดต่อโจวเฉิงผู้ดูแลที่ดูแลกิจการไม่น้อยเหมือนเขาด้วยอีกคน พวกเขาสองคนเข้าขากันอย่างง่ายดาย เดิมทีหากให้เวลาพวกเขาอีกสักสองสามปี พวกเขาคงจัดการยึดกิจการทรัพย์สินที่ตนดูแลทั้งหมดในมือถ่ายโอนเปลี่ยนชื่อมาเป็นของตนได้อยู่แล้ว พอถึงตอนนั้นต่อให้เหมยเหนียงคิดจะตามสืบ ลำพังแค่ผู้หญิงคนเดียวจะทำอะไรได้
แต่ใครจะรู้ว่าระหว่างนั้นจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ขณะที่พวกเขาแอบลำพองใจอยู่นั้นจู่ๆ ก็ปรากฏตัวคุณชายเล็กกู้หลิวอวิ๋นของตระกูลกู้โผล่มาพอดี อีกทั้งยังเป็นแค่หนุ่มน้อยอายุสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าพอต้องต่อกรด้วยกลับหลอกได้ยากกว่าคนอายุยี่สิบสามสิบปีที่ประสบการณ์โชกโชนอยู่ในวงการการค้าขายมานานเสียอีก เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียวก็จัดการเอาโจวเฉิงเข้าคุกได้แล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าว่าเขาใจเหี้ยมก็แล้วกัน! ผู้ดูแลหลีที่สีหน้าเต็มไปด้วยความดุดันลอบเอ่ยในใจอย่างเหี้ยมโหด
“พี่ใหญ่หลี แบบนี้จะได้จริงหรือ เหตุใดคนที่ส่งไปถึงยังไม่กลับมาอีกเล่า” หญิงสาววัยกลางคนใบหน้างดงามเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าร้อนใจ
ผู้ดูแลหลีเก็บสีหน้าดุดันกลับไปแล้วระบายยิ้มเอ่ย “น้องหญิงไม่ต้องเป็นกังวลไป เขาก็เป็นแค่เด็กน้อยอ่อนหัดที่เพิ่งมาเมืองหลวงก็เท่านั้น จะมีเหตุผลใดให้ทำงานพลาดได้อีกเล่า เจ้าแค่นั่งทำใจสบายๆ ตรงนี้ก็พอ อีกสองวันน้องโจวก็ออกมาจากคุกได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
หญิงคนนี้ก็คือฮูหยินของผู้ดูแลโจวที่มู่ชิงอีเพิ่งจับเข้าคุกไปนั่นเอง โจวฮูหยินเป็นภรรยาที่ตบแต่งกันหลังจากโจวเฉิงขึ้นเป็นผู้ดูแลของตระกูลกู้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สาวชาวบ้านทั่วไปแน่นอน แต่กลับเป็นสาวงามตระกูลบัณฑิตตกอับคนหนึ่ง นับว่าพื้นเพมาจากตระกูลผู้มีความรู้ทีเดียว แต่น่าเสียดายเพราะชีวิตที่ยากจนข้นแค้นมานานเลยทำให้นางรักเงินมากกว่าโจวเฉิงเสียอีก โจวเฉิงอาลัยอาวรณ์ทำใจคืนทรัพย์สินกิจการที่เขาลักขโมยจากตระกูลกู้มาไม่ได้ ส่วนนางเองยิ่งทำใจไม่ได้เข้าไปใหญ่
โจวฮูหยินขมวดคิ้วกล่าว “ไม่รู้เพราะเหตุใดข้าถึงได้หนังตากระตุกอยู่เรื่อย”
ผู้ดูแลหลีได้ยินที่นางพูดก็พลอยใจฝ่อตามไปด้วย เอ่ยเสียงขรึม “น้องหญิงคิดมากไปแล้ว พวกเราทำใจให้สงบรอฟังข่าวดีกันดีกว่า ครั้งนี้ต้องจัดการส่งตัวเจ้าเด็กกู้หลิวอวิ๋นนั่นไปหายมบาลได้แน่นอน”
“ใช่แล้ว พวกเราส่งตัวหลีเอ๋อร์กับหรูหลานไปรับใช้เขา ถือว่าให้เกียรติเขามากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สำเหนียกสักนิด” พอพูดถึงเรื่องนี้ โจวฮูหยินก็เผยสีหน้าโกรธขึง บุตรสาวของนางงดงามขนาดนั้น เจ้าเด็กนั่นไม่เห็นค่ายังพอว่าแต่กลับขู่บุตรสาวของนางจนป่วยยกใหญ่ กระทั่งบัดนี้ยังนอนซมลุกขึ้นไม่ไหวอยู่ในบ้านอยู่เลย เดิมทีคิดว่าหากเจ้าเด็กนั่นรู้ขอบเขตบ้าง อย่างมากนางยังเอามาเป็นลูกเขยแล้วถือกิจการเหล่านั้นมาเป็นสินสอดให้หลีเอ๋อร์ไป แต่ในเมื่อกู้หลิวอวิ๋นทำอะไรไร้ขอบเขตเช่นนี้ก็อย่ามาโทษพวกเขาแล้วกัน
ครั้นเห็นโจวฮูหยินแสดงท่าทีโกรธแค้น ดวงตาของผู้ดูแลหลีตรงหน้ากลับฉายแววท่าทีดูแคลนพาดผ่าน ช่างโง่จริงๆ! แต่คนโง่ก็มีข้อดีของคนโง่เช่นกัน หากวันหน้าเรื่องทุกอย่างล้มเหลว นางก็เป็นแพะรับบาปที่ดีที่สุด
“รายงานนายท่าน ด้านนอกประตูมีคุณชายท่านหนึ่งมาเยี่ยมขอรับ” ลูกน้องนอกประตูเอ่ยด้วยท่าทีหวาดกลัว
ผู้ดูแลหลีไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของลูกน้องเลยสักนิดว่าค่อนข้างไม่ชอบมาพากล เขากลับตวาดใส่อย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าบ้าเอ๊ย! ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าวันนี้จะไม่เจอใคร”
“แต่ว่า…” ลูกน้องเอ่ยด้วยสีหน้าอยากร้องไห้ “แต่คุณชายผู้นั้นบอกว่าท่านต้องอยากพบเขาแน่นอนขอรับ”
ผู้ดูแลหลีแค่นเสียงเบาใส่ทีหนึ่งแล้วเอ่ย “คุณชายที่ไหนกัน ข้าอยากเห็นนักว่าเป็นคนใหญ่โตมาจากไหนถึงได้โอหังขนาดนี้ เขามีนามว่าอันใด…” ขณะที่พูดเขาก็ดึงประตูใหญ่ของห้องหนังสือเปิดออกอย่างแรง ทว่าทันทีที่เห็นคนด้านนอกประตู ทุกคำพูดก็จุกอยู่ในลำคอแทน
“กู้…คุณชายกู้…” ในลานโถงหน้าประตูปรากฏตัวมู่ชิงอีในชุดสีขาวดั่งหิมะกำลังเงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้าสีครามเหนือศีรษะอย่างสงบ นิ้วมือเรียวยาวดั่งหยกเล่นพัดในมือด้วยท่าทีสบายๆ ขับให้ทั่วทั้งร่างดูสง่างามและสุขุมเย็นชาอย่างไม่รู้ตัว
ชั่วขณะนั้นผู้ดูแลหลีตกใจจนหน้าขาวซีด หน้าผากที่เดิมทีย่นเข้าหากันก็ผุดเม็ดเหงื่อเล็กๆ ออกมา “คุณ…คุณชายมาได้อย่างไรขอรับ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยท่าทีสบาย “ทำไมเล่า ผู้ดูแลหลีไม่ต้อนรับข้าหรือ”
“มิกล้าๆ” ผู้ดูแลหลีเอ่ยเสียงไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็ฉีกยิ้มเชิญมู่ชิงอีและอู๋ซินเข้าไป ในใจก็คาดเดาไปว่า ในเมื่อกู้หลิวอวิ๋นมาปรากฏตัวที่นี่ได้ แสดงว่าคนที่พวกเขาส่งไปต้องทำงานพลาดแน่นอน เช่นนั้นกู้หลิวอวิ๋นรู้เรื่องมากน้อยเท่าไรกัน หากไม่รู้อะไรเลยคงไม่มีทางพาคนมาที่นี่โดยไร้ต้นสายปลายเหตุแน่นอนกระมัง พอคิดได้เช่นนี้แล้วแววตาที่จับจ้องมู่ชิงอีก็แฝงไปด้วยไอสังหารอย่างไม่รู้ตัว ทว่าหลังจากสัมผัสกับแววตาเย็นยะเยือกของอู๋ซินแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นเหงื่อเย็นอาบท่วมหัวแทน
“คุณชาย เชิญด้านในเถิด”
มู่ชิงอีมองผู้ดูแลหลีด้วยท่าทีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแวบหนึ่งแล้วพาอู๋ซินเดินเข้าไปในห้องหนังสือ หลังจากเข้าห้องหนังสือมาก็เห็นโจวฮูหยินนั่งอยู่ด้านในด้วยเช่นกัน เดิมทีห้องหนังสือก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก ต่อให้โจวฮูหยินคิดจะหลบก็ไม่มีที่หลบอยู่ดีเลยทำได้แค่ฝืนใจเดินเข้าไปต้อนรับ “ท่านผู้นี้…”
“นี่คือคุณชายกู้” ผู้ดูแลหลีแอบขยิบส่งสายตาให้แล้วชิงตัดหน้าแนะนำก่อน จากนั้นก็หันมายิ้มให้มู่ชิงอีกล่าว “คุณชาย คนนี้ก็คือ…ฮูหยินของน้องโจว เพราะเรื่องของน้องโจวนางเลยมาขอความช่วยเหลือ”
โจวฮูหยินผู้นั้นก็ใช่ว่าจะเป็นหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจความหมายของผู้ดูแลหลีทันทีจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นแล้วร้องไห้ฟูมฟายกล่าวด้วยเสียงโศกเศร้า “คุณชาย…ท่านพี่สำนึกผิดแล้ว คุณชายโปรดให้โอกาสเขาสักครั้งเถิด ท่านพี่รับใช้ภักดีต่อตระกูลกู้มาทั้งชีวิต ไม่มีความดีความชอบแต่ก็ยังทนลำบาก คุณชายโปรดปล่อยเขาไปเถิด ข้าจะตอบแทนบุญคุณคุณชายไปจนวันตายเลยเจ้าค่ะ”
“ตอบแทนบุญคุณไปจนวันตายหรือ” น้ำเสียงขรึมอ่อนโยนของมู่ชิงอีดังก้องในห้องหนังสือ จากนั้นก็ยิ้มบางเอ่ย “โจวฮูหยินรังเกียจที่ข้าไม่รู้จักสำเหนียกบ้างมิใช่หรือ หากโจวฮูหยินตอบแทนบุญคุณไปจนวันตาย เกรงว่าหลิวอวิ๋นคงรับไม่ไหว”
พวกเขาสองคนที่อยู่ภายในห้องหนังสือต่างชะงักไป คิดไม่ถึงว่ากู้หลิวอวิ๋นจะได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาหมดแล้ว ผู้ดูแลหลีลุกขึ้นพรวด ทว่ายังไม่ทันขยับตัวดาบเล่นแสงเงาแวววาวเล่มหนึ่งก็พุ่งมาจ่อที่คอของเขาแล้ว อู๋ซินจ้องเขาด้วยแววตาเย็นชากล่าว “อย่าขยับ”
เหงื่อเม็ดโตไหลรินจากหน้าผากของผู้ดูแลหลี ผู้ดูแลหลีฝืนใจเค้นรอยยิ้มแข็งทื่อออกมาแล้วเอ่ย “คุณชาย…นี่ นี่เข้าใจผิดกันแล้ว”
“เข้าใจผิดหรือ เจ้าว่ามาสิ” มู่ชิงอียิ้มถาม
“คือ…” ผู้ดูแลหลีพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว แต่ก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะทำให้ตัวเองหลุดพ้นไปจากสถานการณ์นี้ได้เช่นไร กู้หลิวอวิ๋นโผล่มาหาถึงจวนของเขาได้ย่อมรู้เรื่องอะไรไม่น้อย อีกทั้งได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับโจวฮูหยินเมื่อครู่ด้วย เขาจะหาข้อแก้ตัวอะไรได้อีก