“เป็นเช่นไรบ้าง ชิงชิงชอบหรือไม่” หรงจิ่นยิ้มพรายพลางมองไปทางมู่ชิงอี
มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่งแล้วจับจ้องใบหน้าที่เต็มไปด้วยการรอคอยของหรงจิ่น สุดท้ายก็ไม่อยากขัดใจเขานักเลยพยักหน้าน้อยๆ หรงจิ่นเพิ่งย้ายเข้ามาในจวนอวี้อ๋องได้ไม่ถึงครึ่งเดือน แต่สามารถจัดตกแต่งออกมาขนาดนี้ได้คิดว่าพอเขามาถึงเมืองหลวงก็คงรีบรับสั่งให้คนในจวนจัดการทันที ไม่ว่าหรงจิ่นจะทำไปด้วยเพราะเหตุใด แต่หลายปีมานี้นอกจากญาติทางสายเลือดของนางแล้วก็ไม่มีใครทุ่มเททำอะไรเพื่อนางขนาดนี้มาก่อน
ครั้นเห็นนางพยักหน้า หรงจิ่นก็ดีใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็ลากมู่ชิงอีเดินเข้าห้องหนังสือไป “พวกเราไปดูห้องหนังสือกัน”
ห้องหนังสือย่อมไม่ทำให้มู่ชิงอีผิดหวังอยู่แล้ว ผนังทั้งสองฝั่งจัดวางหนังสือตำราอย่างเป็นระเบียบ โต๊ะหนังสือไม้แดงแผ่กลิ่นหอมของไม้และหมึกดำออกมาจางๆ อีกทั้งบนโต๊ะยังวางชุดพู่กัน หมึก กระดาษที่มู่ชิงอีชอบใช้เอาไว้ด้วย
“ท่านคงเหนื่อยแย่” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง หรงจิ่นก็รู้ทันทีว่านางพอใจมาก รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งฉายแววได้รับชัยชนะมากกว่าเดิม “ชิงชิงชอบก็ดีแล้ว”
“พอมาถึงองค์ชายก็ให้หม่อมฉันขึ้นเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนเลย แบบนี้จะดีหรือเพคะ” มู่ชิงอีนั่งลงในห้องหนังสือแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
หรงจิ่นนั่งลงข้างกายนางแล้วเลิกคิ้วเอ่ย “มีอันใดไม่ดีกัน ใช่ว่าข้าทำอะไรไร้เหตุผลแค่วันสองวันนี้เสียหน่อย เอาคนที่เพิ่งรู้จักคนหนึ่งมาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลจวนก็มิอาจปล่อยว่างไว้ได้ตลอด หากชิงชิงไม่รับหน้าที่นี้ ข้าคงต้องหาใครสักคนที่พอจะไว้ใจได้มารับหน้าที่นี้อยู่ดี แต่ตอนนี้…คนๆ นี้ไม่ได้ตามหากันง่ายๆ อีกอย่างข้าเองก็ไม่อยากให้ชิงชิงหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอด ทำให้คนอื่นรู้ไปเลยว่าชิงชิงเป็นคนของข้า จะเป็นไรไปเล่า”
ครั้นเห็นแววตาเอาแต่ใจของเขาแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน มู่ชิงอีก็คลี่ยิ้มบางพยักหน้ากล่าว “ท่านก็พูดถูก ฟังคำองค์ชายก็พอแล้ว เพียงแต่เกรงว่าตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลจวนจะไม่ได้เป็นง่ายเท่าไรนัก”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “นี่คงต้องดูความสามารถของชิงชิงแล้ว คนพวกนั้น…หากชิงชิงไม่ชอบแค่รีบจัดการไล่ออกก็พอ” พอพูดถึงตรงนี้ แววตางดงามของหรงจิ่นก็ส่องประกายความโหดเหี้ยมพาดผ่าน
มู่ชิงอีเข้าใจในทันที เกรงว่าส่วนมากคนพวกนี้ล้วนเป็นสายลับของคนอื่นทั้งสิ้น ถึงแม้หรงจิ่นจะดูไร้ความสามารถ แต่เขาก็เป็นองค์ชายคนโปรดของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ องค์ชายท่านอ๋องคนอื่นๆ จะไม่สนใจเขาได้อย่างไร เกรงว่าแม้แต่ตัวของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เองก็คงให้ความสนใจไม่ต่างกัน
หลังจากมาถึงแคว้นเย่ว์มู่ชิงอีก็รู้แก่ใจดีว่าเรื่องที่นางรับปากกับหรงจิ่นในตอนนั้นเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากมากอีกเรื่อง องค์ชายที่ไม่มีชื่อเสียงไม่มีอิทธิพล กระทั่งแรงสนับสนุนก็แทบไม่มีคนหนึ่ง หากจะประคองไปให้ถึงตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือฮ่องเต้แคว้นเย่ว์คงไม่ง่าย แต่แล้วจะทำไมเล่า หลังจากฟื้นกลับคืนมามีชีวิตใหม่นางก็ไม่ใช่กู้อวิ๋นเกอที่เอาแต่เก็บตัวเฝ้าอยู่ในเรือนทุกวี่วันผู้นั้นอีกต่อไป ความโกรธแค้นจะอันตรธานหายไปในสักวัน คู่แค้นเองก็ต้องล้มตายจากไปในสักวัน นางจึงควรหาเรื่องที่น่าสนใจสักเรื่องมาทำดู และนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องอย่างเห็นได้ชัดเจน
“ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของขันทีผู้ดูแลดังแว่วมาจากนอกประตู
“เข้ามาได้”
จากนั้นมู่ชิงอีก็เห็นบุรุษใบหน้าเกลี้ยงเกลาอายุราวห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งเดินเข้ามา เพียงแวบเดียวก็มองสถานะของเขาออกแล้ว เขาคือขันที่ผู้ดูแลเหล่าเชื้อพระวงศ์ในวังนั่นเอง
พอเห็นมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของหรงจิ่น ผู้ดูแลก็รู้สึกแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาเองก็ได้ยินบ่าวรับใช้ในจวนเล่ากันว่าจู่ๆ ท่านอ๋องก็รับสั่งให้บุรุษที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งมาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวน เพราะรู้สึกไม่ไว้วางใจเลยรีบมาดู คิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นหัวหน้าผู้ดูแลตามรับสั่งของท่านอ๋องเท่านั้น อีกทั้งยังนั่งในระดับทัดเทียมกับท่านอ๋องด้วย
เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาประหลาดใจของผู้ดูแล มู่ชิงอีก็คิดจะลุกขึ้นยืนอย่างรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรสถานะก็ต่างกัน หากไม่รักษากฎก็คงยากจะตีกรอบมาตรฐานไว้ได้ ในเมื่อนางเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนก็ต้องจัดการตัวเองมิควรเสียมารยาทกับหรงจิ่น เพียงแต่เพราะรู้จักหรงจิ่นมานานเลยมองข้ามไปบ้าง แต่ต่อหน้าคนในจวนก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดีถึงจะถูก
ครั้งนี้หรงจิ่นกลับรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาแล้ว เขาคิดว่าชิงชิงฉลาดเหนือใครเลยคิดหาวิธีหลอกล่อนางมาแคว้นเย่ว์ แต่พอนึกถึงว่าชิงชิงจะกลายเป็นที่ปรึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องปฏิบัติกับตนตามกฎตามธรรมเนียม เขาก็ชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
หรงจิ่นยกมือขึ้นกดร่างมู่ชิงอีที่คิดจะลุกขึ้นยืนลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือเซวียเริ่นขันทีผู้ดูแลภายในจวนข้า ติดตามรับใช้ข้ามาตั้งแต่เด็กแล้ว หากมีเรื่องใดไม่รู้ จื่อชิงก็ถามเขาได้เลย”
จากนั้นก็หันไปพูดกับเซวียเริ่นว่า “นี่คือกู้หลิวอวิ๋น หัวหน้าผู้ดูแลกู้ เขาคือสหายรักของข้า วันหลังเรื่องเล็กใหญ่ในจวน เขาล้วนตัดสินใจได้ทั้งสิ้น”
เซวียเริ่นมองสีหน้าจริงจังของหรงจิ่นด้วยความคลางแคลงใจ เขาดูแลหรงจิ่นมาตั้งแต่เล็กจนโตย่อมรู้อยู่แล้วว่ายามที่หรงจิ่นเผยท่าทีแบบไหนถึงจะสื่อว่าเขาจริงจังจริงๆ อีกทั้งเข้าใจดีว่านิสัยของเจ้านายน้อยของตนเป็นเช่นไร เซวียเริ่นไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรกับหรงจิ่นต่อหน้ามู่ชิงอีเลยทำได้แค่พยักหน้ากล่าว “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับคำบัญชา ข้าขอคาระหัวหน้าผู้ดูแลกู้ด้วย”
หลังจากมู่ชิงอีรู้ว่าเซวียเริ่นเป็นคนที่หรงจิ่นเชื่อใจเลยส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้าเอ่ย “ผู้ดูแลเซวียไม่ต้องพิธีรีตองมากไป วันข้างหน้าขอท่านช่วยให้คำชี้แนะข้าด้วย”
เซวียเริ่นรีบทำความเคารพกลับแล้วเอ่ยว่า “มิบังอาจ”
หรงจิ่นเอียงศีรษะมองพวกเขาสองคนแล้วพยักหน้าด้วยความพออกพอใจ
ด้วยเหตุนี้มู่ชิงอีเลยเข้าจวนอวี้อ๋องไปตามระเบียบ นอกจากดูแลเรือนใหญ่ในจวนอวี้อ๋องแล้วยังกุมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดเป็นรองจากหรงจิ่นอีกต่างหาก หากไม่ใช่เพราะกู้หลิวอวิ๋นเป็นผู้ชาย เกรงว่าบ่าวรับใช้ทุกคนที่นี่คงหลงคิดว่านี่คือพระชายาอวี้ในอนาคตมากกว่า
เมื่อรับตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลจวนแล้วย่อมมีเรื่องมากมายมารุมเร้าเป็นธรรมดา หากพูดกันตามสัตย์จริงทุกวันจะมีสมุดบัญชีนับไม่ถ้วนส่งมาให้มู่ชิงอีอ่านตรวจตราไม่ขาดสาย เรื่องเล็กใหญ่ในจวนนางก็ต้องเป็นคนจัดการ รอกระทั่งนางรู้สึกตัวอีกทีก็เข้ามาอยู่ในจวนอวี้อ๋องได้สามวันแล้ว ในระยะสามวันนี้นางวุ่นๆ จนไม่ได้เจอแม้แต่หน้าของหรงจิ่นด้วยซ้ำ
หากว่ากันตามหลักแล้วความจริงเรื่องในจวนอวี้อ๋องไม่น่าจะมากไปกว่าตระกูลกู้ได้เลย หรงจิ่นไม่ต้องเข้าราชสำนักจึงไม่มีงานราชการใดให้วุ่นวาย อย่างมากจะเป็นเรื่องกิจการภายใต้ในนามของจวนอ๋องมากกว่า แต่ถึงแม้หรงจิ่นจะมีศักดิ์เป็นองค์ชาย กิจการที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มอบให้เขาย่อมไม่มีทางมากไปกว่ากิจการตระกูลกู้ได้ เพียงแต่เพราะจวนอวี้อ๋องเพิ่งก่อตั้งขึ้น เรื่องทุกอย่างจึงอลหม่านเละเทะไปหมดจนนางต้องจัดการปัญหาทีละเรื่องไป หากผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งก็คงเข้าที่เข้าทางแล้ว
“จื่อชิง” ใครบางคนมองหญิงสาวในคราบหนุ่มน้อยที่กำลังตวัดพู่กันเขียนหนังสืออยู่หลังโต๊ะหนังสือจากมุมที่ไม่ไกลนักในห้องหนังสืออย่างเบื่อหน่าย “จื่อชิง…เจ้าไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ เจ้าไม่ออกมาจากห้องหนังสือสามวันแล้วนะ”
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นจากกองสมุดบัญชีหนาปึกอย่างเงียบๆ นางไม่ได้ออกจากห้องหนังสือมาสามวันเพราะใครกันเล่า
“องค์ชาย…” ครั้นเห็นสายตาหงุดหงิดของหัวหน้าผู้ดูแลกู้แล้ว เซวียเริ่นจึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง ถึงแม้จะเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แต่เซวียเริ่นที่อยู่ข้างกายหรงจิ่นตลอดเลยเข้าใจเป็นอย่างดี ถึงแม้หัวหน้าผู้ดูแลกู้จะอายุยังน้อย แต่กลับไม่ใช่คุณชายมาจากตระกูลร่ำรวยที่ไร้เดียงสาอย่างภาพลักษณ์ภายนอกเลยสักนิด หากยั่วโมโหเขาขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เป็นท่านอ๋องก็คงไม่เกรงใจเช่นกัน
“องค์ชายเก้า” น่าเสียดายที่เซวียเริ่นเตือนช้าไป มู่ชิงอีวางสมุดบัญชีในมือลงด้วยแรงไม่หนักไม่เบาแล้วมองหรงจิ่นด้วยสีหน้าราบเรียบ