ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ เพียงแต่การอวดศักดาเมื่อครู่ทำเอาพวกเขาตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะเลยไม่กล้าพูดอะไรมากนัก พวกเขาจึงค่อยๆ ทยอยขอตัวกลับไป
“วันนี้ชิงชิงแผลงศักดาไปทั่วทิศจนทำเอาข้ามองเห็นโลกกว้างขึ้นเยอะเลย”
มู่ชิงอีกำลังนั่งมุ่นคิ้วขบคิดบางอย่างเงียบๆ ในโถงรับแขก ไม่รู้ว่าหรงจิ่นวางสมุดบัญชีในมือลงแล้วเดินออกมาจากห้องหนังสือที่อยู่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไร เขาไม่สนใจเรื่องตำแหน่งเลยสักนิด หย่อนกายนั่งลงตรงตำแหน่งที่นั่งถัดลงมาจากมู่ชิงอี พร้อมนัยน์ตาฉายแววชื่นชมและหลงใหลจางๆ
เขารู้สึกมาตลอดว่าท่าทีดูมีชั้นเชิงที่ชาญฉลาดและแผ่ไอสังหารโหดเหี้ยมของชิงชิงงดงามสะกดใจมากกว่าวางตัวเป็นบุตรสาวจากตระกูลชั้นสูงที่อ่อนโยนเฉลียวฉลาดเสียอีก ถึงแม้นางจะสวมชุดบุรุษ แต่ความงดงามและรัศมีที่เปล่งประกายกลับชวนให้ใครต่อใครต่างตกตะลึง
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าสองห้องที่กว้างขวางเช่นนี้เหลือพวกเขาเพียงสองคนตั้งแต่เมื่อไร
“อ่านจบแล้วหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย
ใบหน้าหล่อเหลาของหรงจิ่นพลันบูดบึ้งขึ้นมาทันที “ชิงชิง…”
“เลิกเรียกชิงชิงได้แล้ว นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเรื่องที่ท่านควรจัดการคงต้องลำบากท่านแล้ว…เพราะท่านเองก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยเช่นกัน” มู่ชิงอีกล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางไม่เคยเจออ๋องคนใดว่างขนาดนี้มาก่อน แม้แต่มู่หรงอานคนหื่นกามไร้ประโยชน์แบบนั้นยังจัดการเรื่องในจวนบางเรื่องอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหรงจิ่นกลับไม่สนใจเรื่องใดเลยทั้งสิ้น เขาคิดว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทจะตกลงมาจากฟ้าเองได้อย่างนั้นหรือ
ครั้นเห็นนางโมโห หรงจิ่นเองก็เริ่มนั่งตัวตรงได้อย่างยากลำบาก เขามองมู่ชิงอีพลางถอนหายใจเสียงเบาเอ่ย “ชิงชิง หากข้าจัดการเองได้ ข้าจะลากเจ้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ทำไมเล่า”
มู่ชิงอีผงะไปแล้วมองไปทางหรงจิ่น “หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเจื่อน เขามองนางแล้วเอ่ยถามว่า “ชิงชิงเองก็มาที่นี่หลายวันแล้ว ชิงชิงคิดว่าคนในจวนที่ข้าเชื่อใจได้มีใครบ้างหรือ”
มู่ชิงอีเงียบไป จากนั้นรอยยิ้มของหรงจิ่นก็ยิ่งขมขื่นมากกว่าเดิม “ทั่วทั้งเมืองหลวงจวนที่มีทิวทัศน์งดงามคงหนีไม่พ้นจวนใหญ่โตอย่างจวนอวี้อ๋องแห่งนี้ของข้า แต่…ในจวนแห่งนี้คนที่ข้าพอจะเชื่อใจได้…มีแค่ชิงชิง อู๋ฉิงและอู๋ซินเท่านั้นแล้ว”
“ผู้ดูแลเซวียเล่า” มู่ชิงอีรู้สึกตกใจอยู่บ้าง กลับคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของหรงจิ่นจะย่ำแย่ขนาดนี้ หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “เขาไม่ทำร้ายข้าหรอก”
แต่ใช่ว่าจะจงรักภักดีต่อเขาเต็มร้อยเสียทีเดียว
“ท่านอยากเป็นองค์รัชทายาทจริงๆ น่ะหรือ” มู่ชิงอีมองเขาพลางเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“แล้วข้าหลอกชิงชิงมาเล่นๆ หรืออย่างไรกัน”
มู่ชิงอีเงียบไปนาน ในที่สุดก็ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยแนะนำอย่างจริงใจ “เช่นนั้นสู้ท่านจัดการฆ่าองค์ชายในแคว้นเย่ว์ตายหมดก่อนค่อยว่ากันเถิด ความเป็นไปได้นี้อาจจะง่ายกว่าหน่อยกระมัง”
หรงจิ่นกะพริบตาปริบๆ แล้วมองมู่ชิงอีอย่างใสซื่อ
มู่ชิงอีมองกลับไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก นางเสียรู้หรงจิ่นเข้าแล้วจริงๆ
หากองค์ชายสักคนปรารถนาขึ้นเป็นองค์รัชทายาทต้องมีอะไรบ้าง ความสามารถ ชื่อเสียง อิทธิพล อำนาจทางการทหาร ความมั่งคั่งและความไว้วางใจของฮ่องเต้ ต่อให้ไม่ได้มีครบทั้งหมดนี้ แต่อย่างน้อยก็ควรมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ทว่าหรงจิ่นกลับแตกต่างไปจากองค์ชายทุกคน เขาไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเขาแต่มิใช่ความไว้วางใจ ฮ่องเต้อาจยอมให้เขาก่อเรื่องวุ่นวาย ยอมให้เขาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่ไม่มีทางมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้เขาแน่นอน
องค์ชายและที่ปรึกษาที่ต่างก็ไม่มีอะไรเลยต่างเงียบกริบไปพักใหญ่ มู่ชิงอีนวดคลึงหว่างคิ้ว “ช่างเถิด ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแล้วกัน อย่างน้อย…ท่านอ๋องไปกราบทูลฝ่าบาทของานสักงานก่อนค่อยว่ากันเถิด”
“ข้าร่างกายอ่อนแอ” หรงจิ่นเอ่ยเตือน ครั้นเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของมู่ชิงอีก็รีบเอ่ยเสริมว่า “อืม เสด็จพ่อและพี่น้องคนอื่นๆ พูดกันเช่นนั้น”
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบากล่าว “เจ้าสำนักเย่าหวังกู่อยู่ในเมืองหลวง คิดว่า…ท่านอ๋องคงมีโอกาสดีๆ เข้ามาบ้าง”
“แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ไม่ตรวจดูอาการให้คนในเชื้อพระวงศ์” หรงจิ่นเอ่ยเตือน
“เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเขาเพิ่งช่วยอดีตองค์ชายหกแห่งแคว้นหวาซึ่งก็คืออานซุ่นจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์ในตอนนี้” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่ออีกว่า “ใช่แล้ว วิทยายุทธของท่าน…” มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่น ในเมื่อหรงจิ่นปกปิดเรื่องที่ตนเป็นวิทยายุทธมาตลอดจึงไม่มีทางเปิดเผยอย่างง่ายดายแน่นอน แต่ใช่ว่ามั่วเวิ่นฉิงจะดูไม่ออกเสียเมื่อไร หรงจิ่นแค่นเสียงเบาอย่างไม่สบอารมณ์ ”หากแม้แต่เว่ยอู๋จี้ หนานกงเจวี๋ย เนี่ยอวิ๋นและเกอซูฮั่นยังมองไม่ออก เหตุใดเจ้าถึงคิดว่ามั่วเวิ่นฉิงจะดูออกเล่า”
“ใช่แล้ว หม่อมฉันลืมไปว่าท่านเคยทดสอบกับสี่ยอดฝีมือในใต้หล้ามาแล้ว” มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ยอย่างพึงพอใจ “ดีมาก เช่นนั้นต้องรบกวนให้ท่านอ๋องหาโอกาสป่วยหนักสักครา อย่างน้อยก็ต้องเป็นตอนที่มั่วเวิ่นฉิงอยู่ในเหตุการณ์ด้วย”
บุคคลที่มีหน้าตางดงามเหนือใครในใต้หล้าทั้งสองในห้องหนังสือต่างสบตาฉีกยิ้มให้กัน ทว่าทำเอามั่วเวิ่นฉิงเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ที่อยู่มุมหนึ่งห่างไกลออกไปพลันสะท้านเฮือกโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
ณ จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง
ทันทีที่มู่หรงอวี้มาถึงแคว้นเย่ว์ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นอานซุ่นจวิ้นอ๋องอย่างใจกว้าง แน่นอนว่าเพราะคุณงามความดีของมู่หรงอวี้เลยทำให้ฮ่องเต้ตอบแทนอย่างพอพระทัย…เกรงว่าต่อให้ตอนนี้หลุดปากบอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อว่ามู่หรงอวี้ไม่ได้ทรยศแคว้นหวาแน่นอน
คิดไม่ถึงว่าเป็นถึงองค์ชายแคว้นหวาแต่กลับทรยศบ้านเมืองของตนเพื่อตำแหน่งจวิ้นอ๋อง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เหมือนแคว้นเย่ว์ตบหน้าแคว้นหวาฉาดใหญ่ อีกทั้งเรื่องที่แคว้นหวาเพิ่งสูญเสียองค์ชายมากความสามารถเกือบหมดก็ยิ่งทำให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองข้ามเรื่องที่ตนยังมีองค์หญิงอีกคนอยู่ที่แคว้นหวาเช่นกัน กระทั่งเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฮ่องเต้แคว้นหวาจนจมดิน
ในจวนจวิ้นอ๋อง มู่หรงอวี้ที่มีสีหน้าย่ำแย่กำลังจับจ้องมั่วเวิ่นฉิงที่ถือถ้วยชาในมือด้วยสีหน้าราบเรียบตาเขม็ง จากนั้นก็อดใจไม่ไหวตวาดใส่ว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่มีทางไปเย่าหวังกู่อะไรนั่นแน่นอน!”
“เจ้าต้องไปอยู่แล้ว” มั่วเวิ่นฉิงมองเขาด้วยสีหน้าสงบแล้วบอกเล่าความจริงเสียงเรียบ “ยาที่เจ้าทานเข้าไปครั้งก่อน ยังเหลือยาแก้พิษอีกครึ่งหนึ่งที่เจ้าต้องทาน หากเจ้าไม่อยากมีชีวิตที่เหลือจากนี้เป็นสตรีแล้วล่ะก็ ทางที่ดีตามข้าไปอย่างว่าง่ายจะดีกว่า”
พอเอ่ยถึงยาครั้งก่อน จากสีหน้าเดือดดาลในเดิมทีก็ดำถมึงทึงลงสุดขีด หากเมื่อก่อนมีคนบอกเขาว่ามียาสามารถเปลี่ยนร่างชายให้กลายเป็นร่างหญิงได้ เขาคงไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด แต่หลังจากผ่านความทุกข์ทรมานระหว่างการเดินทางจากแคว้นหวามาแคว้นเย่ว์แล้ว เขาก็ไม่เชื่อไม่ได้จริงๆ
ความจริงใช่ว่ายาชนิดนั้นจะเปลี่ยนร่างให้เป็นหญิงสาวได้เลยเสียทีเดียว เพียงแต่หลังจากทานยานั้นเข้าไปร่างกาย แขนขาทั้งสี่ก็จะหดลงราวกับฝึกวิชาหดกระดูกก็มิปาน รูปโฉมก็ยิ่งดูอ่อนโยนอ้อนแอ้นขึ้นตามไปด้วย และสิ่งที่ทำให้มู่หรงอวี้หวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือเขาค้นพบว่าระหว่างการเดินทางตลอดเกือบเดือนหนวดเคราของเขาไม่งอกขึ้นมาเลย อีกทั้งหากไม่ทานยาแก้พิษนี้ตามเวลา หรือจำนวนครั้งที่ทานยาชนิดนี้มากขึ้นก็อาจมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เลยตลอดชีวิต หากเขากลายเป็นเช่นนั้นไปชั่วชีวิตจริงๆ นอกจากตัวเขาเองแล้วจะมีใครเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายอีกหรือ
“ตกลงเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ข้าย่อมซึ้งใจมากอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเกี่ยวพันมาถึงอิสระของข้าได้!” มู่หรงอวี้กัดฟันเอ่ย
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตกลงตนไปหาเรื่องเจ้ากาลกิณีผู้นี้ตอนไหน หลังจากช่วยตนตอนอยู่แคว้นหวาแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก แต่รั้นจะให้ตนกลับเย่าหวังกู่ไปพร้อมเขาให้ได้ อีกทั้งยังบอกว่าขอแค่ตนอยู่ในเย่าหวังกู่ ก็จะปกป้องให้อยู่อย่างสงบสุขได้ชั่วชีวิตอีกต่างหาก