อู๋ฉิงชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “น่าจะหายดีแล้ว”
เซวียเริ่นถึงผ่อนลมหายใจกล่าว “เช่นนั้นก็ดี นี่เป็นอาหารกับยาของท่านอ๋อง รีบเอาเข้าไปเถิด” คนที่ทำให้ท่านอ๋องเชื่อใจมีไม่มากนัก โดยเฉพาะขณะที่เขาอาการป่วยกำเริบ คนที่พอจะเข้าใกล้เขาได้มีเพียงอู๋ซินและอู๋ฉิงสองคนเท่านั้น เซวียเริ่นรับหน้าที่เพียงต้มยา เพราะยาที่หรงจิ่นต้องทานในเวลานี้ค่อยข้างซับซ้อนและเปลืองเวลาเปลืองแรงไม่น้อย หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็อาจทำให้ยาไร้ประสิทธิภาพได้ ครั้นเห็นเด็กน้อยที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กจนโตร้องทุรนทุรายเช่นนั้น เซวียเริ่นก็พลอยรู้สึกปวดใจตามไปด้วย
อู๋ฉิงมุ่นคิ้วเอ่ย “หัวหน้าผู้ดูแลกู้ยังอยู่ด้านใน”
เซวียเริ่นตกใจยกใหญ่ “หัวหน้าผู้ดูแลกู้เข้าไปได้อย่างไรกัน จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” เซวียเริ่นไม่ได้ต่อต้านกู้หลิวอวิ๋นหัวหน้าผู้ดูแลหนุ่มน้อยที่มาใหม่ผู้นี้เหมือนผู้ดูแลคนอื่นๆ ถึงแม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เซวียเริ่นสัมผัสได้ว่าหัวหน้าผู้ดูแลกู้ไม่ใช่หัวหน้าผู้ดูแลที่ท่านอ๋องหามาเรื่อยเปื่อย แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญที่สุดเลยก็คือสามารถกำราบคนที่มุทะลุเอาแต่ใจมาตลอดอย่างท่านอ๋องได้
“เหตุใดถึงทำอะไรส่งเดชเช่นนี้ รีบเข้าไปดูหัวหน้าผู้ดูแลกู้เร็วเข้า” เซวียเริ่นเอ่ยอย่างร้อนใจ ยามที่ท่านอ๋องอาการป่วยกำเริบนั้นไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น หากคนร่างบอบบางลมพัดก็ปลิวอย่างหัวหน้าผู้ดูแลกู้เผลอถูกแตะต้องเข้า แม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็คงสาหัสเอาการ
อู๋ฉิงพยักหน้า จากนั้นก็รับกล่องอาหารจากมือของเซวียเริ่นมาพลางผลักประตูเดินเข้าไป ทว่าเขาไม่ได้ร้อนใจเหมือนเซวียเริ่น ถึงแม้ตอนที่คุณหนูมู่เพิ่งเดินเข้าไปจะนึกเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้าจิตใจเขาก็เริ่มสงบลง ไม่รู้ว่าเหตุใดภายในใจถึงมั่นใจนักว่าท่านอ๋องไม่มีทางทำร้ายคุณหนูมู่แน่นอน
เขาผลักเปิดประตูศิลาอย่างแผ่วเบา ทว่าฉากภายในห้องศิลากลับทำเอาอู๋ฉิงอดตกตะลึงไม่ได้ ไม่รู้ว่าหรงจิ่นฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร สองดวงตาแดงก่ำน่ากลัวคู่นั้นกลับมาเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังจับจ้องหนุ่มน้อยชุดขาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาแน่นิ่งพร้อมปรากฏความสงสัยและไม่เข้าใจฉายชัดบนใบหน้า
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูศิลาดังขึ้น นัยน์ตาก็เผยไอเย็นยะเยือกพาดผ่าน จากนั้นดวงตาสองข้างก็สาดไอเย็นเฉียบไปทางอู๋ฉิงตรงหน้าประตู
“องค์ชาย…” อู๋ฉิงตัวชาวาบ ถึงแม้เขาจะเคยเห็นท่าทีเช่นนี้ขององค์ชายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ทีไรก็อดใจสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้สักครั้ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูมู่จะใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นองค์ชายคลุ้มคลั่งแล้ว ก็คงไม่กล้าซบหลับในอ้อมอกของเขาแน่นอน
อู๋ฉิงแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะหิ้วกล่องข้าวมาข้างเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็วางกล่องข้าวลง “องค์…องค์ชาย กระหม่อมช่วยท่านเปิดกล่องข้าว”
“วางกุญแจไว้แล้วเจ้าออกไปเสีย” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ
อู๋ฉิงพยักหน้า วางกุญแจลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
หรงจิ่นกวาดตามองสาวน้อยที่นอนหลับเป็นตายในอ้อมอกตนด้วยท่าทีสงบ ขณะตกอยู่ในห้วงนิทราแต่ใบหน้าสะสวยงดงามก็ยังขมวดมุ่นเล็กน้อยๆ ราวกับถูกบางอย่างพันธนาการไว้ก็มิปาน หรงจิ่นยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าสะอาดสะอ้านดั่งหยกอย่างแผ่วเบา จากนั้นความคลางแคลงใจที่ฉายชัดในแววตาก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก
เหตุใด…ชิงชิงถึงไม่กลัวเขานะ
หรงจิ่นรู้ดีว่าตอนที่ตนอาการกำเริบน่าตกใจขนาดไหน แม้แต่คนที่มีใจรักภักดีอย่างอู๋ฉิงและอู๋ซินทั้งสอง ต่อให้พวกเขาจะรับใช้ข้างกายตนมาหลายปีแต่พอถึงเวลานั้นก็ยังวิ่งหนียิ่งไกลเท่าไรได้ยิ่งดีด้วยซ้ำ ไม่มีใครเต็มใจเข้าใกล้คนที่อาจจะคลุ้มคลั่งกระหายเลือดได้ทุกเมื่อเช่นนี้กระมัง
“ชิงชิง” ครั้นหรงจิ่นมองใบหน้างดงามที่ดูหลับสนิท ความอบอุ่นพลันผุดขึ้นจางๆ ตรงจุดใดสักจุดในใจ เขารู้สึกไม่คุ้นชินนักแต่ก็ไม่ได้เกลียดชังอะไร ทว่าพอเลื่อนมือมาสัมผัสริมฝีปากอันนุ่มนิ่มสีแดงก็ผงะไป ฉับพลันหรงจิ่นก็ก้มหน้าประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา
เงยหน้าขึ้นมาพลางเลียริมฝีปากของตน หวาน…ชิงชิง ข้าชอบเจ้าไม่เบาเลย
เมื่อความคิดนี้ปรากฎขึ้นมาในหัว จู่ๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยในเดิมทีก็ผุดรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา จากนั้นก็ก้มหน้าประกบริมฝีปากกับสาวน้อยที่กำลังตกอยู่ในห้วงฝันอีกครั้ง
“อืม…”
เมื่อถูกคนรุกราน ต่อให้มู่ชิงอีที่อยู่ตรงหน้าจะเหนื่อยไม่น้อยแต่ก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้น พอเห็นหรงจิ่นกำลังจับจ้องตนแน่นิ่งพลางทำหน้าตกใจราวกับถูกขัดอารมณ์กลางคัน อีกทั้งริมฝีปากยังมีไออุ่นแผ่ออกมา แค่นี้ก็บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
“องค์ชายเก้า! เมื่อครู่ท่านกำลังทำอะไร” นางถูกคนลวนลามขณะนอนหลับ แถมยังเป็นใครบางคนที่นางทนลำบากดูแลอีกต่างหาก จู่ๆ มู่ชิงอีก็รู้สึกว่าตนทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ใบหน้างามดั่งหยกขาวก็พลันหม่นลงทันที
หรงจิ่นกะพริบตาปริบๆ มองนางอย่างไร้เดียงสา “จูบ”
มู่ชิงอีกลอกตาใส่แล้วลุกขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ทำตัวไม่ถูกเพราะค้นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมอกของหรงจิ่น อีกทั้งยังอยู่ในสภาพที่หรงจิ่นถูกมัดแขนขาทั้งสี่ด้วย เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นไม่ได้ดึงนางเข้ามาในอ้อมอกแต่เป็นนางเองต่างหาก…
“จูบอย่างไรเล่า” หรงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีจริงใจ ดวงตาเป็นประกายจับจ้องริมฝีปากเงาวาวชุ่มช่ำของนาง
มู่ชิงอีชะงักไปก่อนจะได้สติว่าเขาพูดถึงอะไร ชั่วขณะนั้นใบหน้างามก็ราวกับคนใกล้จะเป็นลม พวงแก้มแดงระเรื่อขึ้นมา
“หรงจิ่น!” มู่ชิงอีโมโหสุดขีด ปกติคนชั่วช้านี่ก่อเรื่องวุ่นวายให้ยังพอว่า แต่ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะกล้าฉวยโอกาสเอาเปรียบนางตอนกำลังหลับด้วย!หากเป็นสตรีทั่วไป ตอนนี้หรงจิ่นคงต้องรับผิดชอบไปชั่วชีวิตแล้ว ถ้าปล่อยให้เขาติดนิสัยเสียแบบนี้ต่อไปจะดีหรือ
หรงจิ่นเอนตัวพิงกำแพงแล้วมองใบหน้างดงามไร้ที่ติในชุดขาวอย่างหลงใหล ทุกครั้งหลังจากอาการกำเริบก็จะหมดแรงจนชวนให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่พอตอนนี้เห็นชิงชิงที่กำลังมีสีหน้าฉุนเฉียว จู่ๆ เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
“เหตุใดชิงชิงต้องโกรธด้วย” หรงจิ่นเอ่ยถามอย่างจริงจัง
มู่ชิงอีกัดฟันอย่างอดกลั้นไม่ไหว “ท่านถามว่าเหตุใดต้องโกรธอย่างนั้นหรือเพคะ ผู้หญิงผู้ชายไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันไม่รู้หรือไร หม่อมฉันบอกไปกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำอะไรเหลวไหล!”
หรงจิ่นดวงตาเป็นประกายวิบวับดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า “แต่…ตอนนี้ชิงชิงเป็นผู้ชายนี่นา เขาบอกกันแค่ว่าผู้หญิงผู้ชายไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน แต่ไม่ได้บอกว่าผู้ชายกับผู้ชายไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันสักหน่อย อีกอย่าง…เมื่อครู่ชิงชิงอยากให้ข้าเป็นคนกอดเองชัดๆ ชิงชิงเอาเปรียบข้าแล้วคิดจะโบ้ยความผิดให้อย่างนั้นหรือ” หรงจิ่นก้มหน้าลงพลางพร่ำบ่นอย่างน้อยใจและปวดใจ
มู่ชิงอีรู้สึกเพียงว่าเส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากใกล้ระเบิดเต็มที นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องหรงจิ่นตาเขม็งอยู่นาน ในที่สุดก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วนั่งลงตรงจุดที่หรงจิ่นคว้าตัวนางไม่ถึง เอ่ยเสียงขรึม “หรงจิ่น พวกเรามานั่งคุยกันดีๆ เถิด”
หรงจิ่นเงยหน้าแล้วมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีสงบ
มู่ชิงอีกลับไม่สบตาเขาเลยสักนิดพลางจับจ้องไปตรงมุมหนึ่งในห้องศิลาแล้วเอ่ยอย่างเนิ่บนาบ “ตอนอยู่แคว้นหวาท่านช่วยหม่อมฉันมามากมาย หม่อมฉันเองรู้สึกซึ้งใจมากเพคะ ท่านบอกว่าท่านอยากเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นเย่ว์ หม่อมฉันก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำได้ไหม แต่ขอสัญญาว่าหม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้ท่านได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท”
ฉับพลันหรงจิ่นก็มองร่างของมู่ชิงอีที่ดูกล้าๆ กลัวๆ อย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่าคำสัญญาของชิงชิงหนักแน่นเพียงใด ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้แทบต้องเดิมพันกับชีวิตของชิงชิงด้วยซ้ำ แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด เดิมทีหรงจิ่นเองก็ไม่ได้โง่เขลา ในทางกลับกันยังฉลาดกว่าคนทั่วไปไม่น้อย เขารู้ว่าชิงชิงพูดสิ่งเหล่านี้เพื่อบอกเขาว่าวันหน้าพวกเขา…เป็นเพียงกษัตริย์กับขุนนาง องค์ชายกับที่ปรึกษา ท่านอ๋องกับผู้ช่วยทางการทหารเท่านั้น