รอจนกระทั่งมู่ชิงอีออกไปแล้ว หรงจิ่นถึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เพียงแต่ครั้งนี้นัยน์ตากลับไร้ซึ่งความอ่อนแอและอบอุ่น แววตาเย็นยะเยือกจนทำเอาชิงเอ๋อร์ที่เริงร่าเดินรุดหน้าขึ้นมาหาในเดิมทีอดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้
“อู๋ฉิง”
อู๋ฉิงเดินก้าวขึ้นมาเงียบๆ แล้วประคองหรงจิ่นลุกขึ้นนั่ง
“ท่านอ๋อง…” ชิงเอ๋อร์ร้องเรียกเสียงอ่อนโยนพร้อมมองหรงจิ่นด้วยท่าทีน่าสงสาร
หรงจิ่นกวาดตามองใบหน้าที่น้ำตาคลอเบ้าอย่างสงบ ช่างดูบอบบางน่าทะนุถนอมชวนให้ใครต่อใครต่างหวั่นไหว เพียงแต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดนี้กลับไร้ความหมายในสายตาของหรงจิ่น
ชิงเอ๋อร์ค่อยๆ เผยสีหน้ากระวนกระวายใจจากสายตาที่ไร้ความรู้สึกของหรงจิ่นขึ้นมาทันที
“ท่านอ๋อง หม่อมฉัน…” นางไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แต่ไหนแต่ไรมานางเป็นคนหลักแหลม เอาใจใส่และรู้เท่าทันเสมอ ถึงแม้ท่านอ๋องจะเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่น้อยครั้งนักที่นางจะทำให้ท่านอ๋องโมโห ทว่านับตั้งแต่ไปแคว้นหวามาหนึ่งครั้งก็เหมือนนางจะทำอะไรผิดอยู่เรื่อย ครั้งก่อนตอนอยู่แคว้นหวานางก็ถูกท่านอ๋องไล่ตะเพิดกลับมา ครั้งนี้…ท่านอ๋องโกรธนางอีกแล้วหรือ
ชิงเอ๋อร์ขบริมฝีปากด้วยความกลัดกลุ้มใจ นางอาจกระทำการบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ไม่ว่าเช่นไรกู้หลิวอวิ๋นก็เป็นเพียงบุรุษคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งเขายังเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของจวน เหตุใดนางจะไม่อยากข่มอารมณ์คอยหาเรื่องท้าทายเขาเล่า แถมทำแบบนั้นแล้วจะส่งผลดีเช่นไรกับนางหรือ ต่อให้นางท้าทายกู้หลิวอวิ๋นก็ใช่ว่านางจะขึ้นเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนอ๋องได้เสียหน่อย อีกอย่าง…เดิมทีนางเองก็ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลจวนอ๋องด้วย
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่ควรเสียมารยาทกับหัวหน้าผู้ดูแลกู้ ท่านอ๋องโปรดลงโทษด้วยเพคะ” ชิงเอ๋อร์คุกเข่าลงพร้อมร้องขอการลงโทษด้วยสีหน้าจริงใจ
หรงจิ่นเหลือบมองด้วยท่าทีสงบ ผ่านไปนานถึงเปิดปากเอ่ย “ออกไป แล้วลงโทษตัวเองโดยการโบยยี่สิบที”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของชิงเอ๋อร์ก็ไร้เลือดฝาดขึ้นมาทันที เหตุที่นางกล่าวขอโดนลงโทษก็เพื่อทำทีอ่อนข้อให้เท่านั้น กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะลงโทษนางจริงๆ อีกทั้งยังลงโทษหนักมากอีกต่างหาก
โบยยี่สิบที...หากโบยนางยี่สิบทีเช่นนี้จริงๆ ต่อให้จะไม่ถึงคร่าชีวิตแต่ก็คงลุกขึ้นไม่ได้เป็นเดือน เพราะเหตุใดกัน…นางติดตามรับใช้ท่านอ๋องมาตั้งหลายปี ทว่าท่านอ๋องกลับไม่เคยเห็นความดีของนางเลย กระทั่งไม่สนใจความรู้สึกของนางเลยด้วยซ้ำ
“ท่านอ๋อง…หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ” ชิงเอ๋อร์เอ่ยร่ำไห้ด้วยใบหน้าขาวซีด
หรงจิ่นค่อยๆ เอนตัวนอนกลับลงไปภายใต้การประคองของอู๋ฉิง “สำนึกผิดอย่างนั้นหรือ ถูกโบยถึงจะจำได้ขึ้นใจ หากครั้งหน้าเจ้ายังไร้ความยำเกรงกับจื่อชิงอีก เจ้าก็ไปตายเสียเถิด”
ชิงเอ๋อร์คุกเข่าลงพื้นด้วยสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็มองหรงจิ่นที่ปิดตาพักผ่อนพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นรินไหลลงมา
นางหลงคิดว่าหลายปีมานี้นางเป็นบ่าวรับใช้เพียงคนเดียวที่อยู่ติดตามรับใช้ท่านอ๋องมาตลอด อย่างน้อยในสายตาของท่านอ๋องนางคงมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่ไม่รู้เลยว่าเดิมทีในสายตาของท่านอ๋อง นางสมควรได้รับโทษถึงตายเพียงเพราะล่วงเกินกู้หลิวอวิ๋นที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเพียงเล็กน้อย เท่านั้น
ท่านอ๋อง…เหตุใดถึงได้ใจดำขนาดนี้เล่า
อู๋ฉิงขมวดคิ้วทรงดาบมุ่นพลางมองชิงเอ๋อร์ที่เผยสีหน้าคับแค้นใจด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยเสียงเรียบ “ยังไม่ออกไปรับโทษอีกหรือ” สำหรับคนที่ไม่รู้จักดูสถานการณ์ไม่รู้หนักรู้เบาเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาอู๋ฉิงมักดูแคลนและไม่เคยให้ความเห็นใจอยู่แล้ว
ชิงเอ๋อร์กัดฟัน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จับจ้องอู๋ฉิงตาเขม็งก่อนหมุนตัวเดินออกไป
ภายในห้องโถงใหญ่โอ่อ่าของจวนอวี้อ๋อง เหล่าอ๋องเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์ต่างพากันนั่งอยู่ภายในห้องโถงพลางดื่มชาที่สาวใช้ส่งให้ด้วยสายตาครุ่นคิดบางอย่าง
ถึงแม้หรงจิ่นจะอยู่จวนมาราวเดือนกว่าแล้ว แต่เหล่าองค์ชายอย่างพวกเขาเพิ่งมาเยือนจวนอวี้อ๋องเป็นครั้งแรก พอเห็นการตกแต่งและพื้นที่ของจวนอวี้อ๋องแล้วก็ชวนให้ทุกคนตรงนั้นต่างนึกคับแค้นในใจ โดยเฉพาะจื้ออ๋องหรงหวงหนึ่งในนั้นที่มีสถานะเป็นองค์ชายใหญ่ด้วย
ในฐานะที่หรงหวงเป็นองค์ชายใหญ่ของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ อีกทั้งยังเป็นบุตรของฮองเฮาอีกต่างหาก เดิมทีเขาควรจะถูกกำหนดให้เป็นองค์รัชทายาทอันดับหนึ่ง แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เคยตรัสอย่างชัดเจนเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้แล้วว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทของแคว้นเย่ว์จะไม่สนใจเรื่องบุตรจากฮองเฮาหรือองค์ชายใหญ่ แต่ดูแค่เรื่องความสามารถเท่านั้น ความจริงในเมื่อเป็นถึงบุตรจากฮองเฮาและยังเป็นองค์ชายใหญ่ ทว่าหลายปีนี้กลับคว้าตำแหน่งองค์รัชทายาทมาไม่ได้ เช่นนี้ก็บ่งบอกถึงปัญหาอย่างชัดเจนแล้ว
หรงหวงมองขนาดพื้นที่ซึ่งหากเทียบกับจวนจื้ออ๋องของตนแล้วอย่างน้อยๆ ก็ใหญ่กว่าหนึ่งเท่า การตกแต่งกลิ่นอายโบราณไม่ด้อยไปกว่าในวังเลย ใบหน้าสุขุมที่ค่อนไปทางลำพองใจก็ขรึมลง
ส่วนภายในใจขององค์ชายคนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะรู้สึกดีเช่นกัน หรงฉีองค์ชายสิบเอ็ดที่อายุน้อยที่สุดยิ้มเยาะกล่าว “เสด็จพ่อทรงโปรดปรานพี่เก้ามากจริงๆ หากเทียบกับในวังหลวงแล้ว สภาพในจวนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย”
“นั่นสิ” องค์ชายแปดก็เอ่ยเสียงเสียดหูผสมโรงไปด้วยอีกคน
หรงเหยี่ยนที่นั่งถัดลงมาจากหรงจังมองสำรวจภายในห้องโถงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “คนในจวนของน้องเก้าต่างหลักแหลมกันทั้งนั้น พี่สามคิดเห็นเช่นใดเล่า” ถึงแม้จะยังไม่มีเจ้านายออกมาต้อนรับ ทว่านับตั้งแต่พวกเขาเข้ามานั่งด้านใน บ่าวรับใช้ที่คอยรินชาให้อยู่ด้านหลังต่างๆ ล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อยซึ่งต่างจากที่พวกเขาได้ยินมาว่าจวนอวี้อ๋องวุ่นวายไม่เป็นระเบียบอย่างลิบลับ ดูท่าทางแล้วหัวหน้าผู้ดูแลกู้คนใหม่คงมีความสามารถมากจริงๆ
“ไม่เลวเลยจริงๆ” หรงจังใบหน้าอิดโรยราวกับคนป่วยเช่นเคย ครั้นได้ยินคำถามของหรงเหยี่ยนก็ตอบกลับเสียงเรียบไปหนึ่งประโยคราวกับไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด
หรงเหยี่ยนชินชากับท่าทีเช่นนี้ของเขานานแล้วเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร เพียงแค่ฉีกยิ้มบาง ทว่าหรงฉงองค์ชายเจ็ดที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับยิ้มเย้ยหยัน ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่ความเย้ยหยันที่แฝงอยู่บนใบหน้านั้นเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
“น้องเจ็ด” หรงเหยี่ยนขมวดคิ้วพลางกวาดตามององค์ชายเจ็ดเชิงตักเตือน องค์ชายเจ็ดแค่นเสียงเบาใส่แล้วไม่พูดอะไรอีก
องค์ชายสิบเอ็ดเอ่ยด้วยท่าทีรำคาญใจ “พี่เก้าทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นใดกัน พวกเรามาเยี่ยมเขาด้วยตัวเอง เขาไม่แม้แต่จะโผล่หน้าออกมาเจอกันหน่อยเลยหรือ”
“น้องสิบเอ็ด น้องเก้าป่วยอยู่” หรงเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ
องค์ชายสิบเอ็ดแค่นเสียงออกมาก่อนเบือนหน้าหนีโดยไม่พูดอะไรอีก
“หัวหน้าผู้ดูแลกู้มาแล้ว” มีเสียงดังขึ้นอย่างเคารพเชื่อฟังของเหล่าสาวใช้แว่วมาจากด้านนอก ทุกคนอดมองไปทางประตูพร้อมกันไม่ได้ ถึงแม้หรงจิ่นจะไม่ได้มีอิทธิพลใด ทว่ากลับเป็นองค์ชายที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานมากที่สุด ดังนั้นองค์ชายที่ปรารถนาอยากได้ตำแหน่งองค์รัชทายาทจึงให้ความสนใจต่อเขาไม่น้อยไปกว่าใครเลย ไม่ว่าจะดึงเข้าพวกหรือป้องกันไว้ก่อนล้วนเป็นสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น สุดท้ายการช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อะไรกลับมา ก็ไม่ใช่คำว่าโปรดปรานคำนี้หรือ
แน่นอนว่าเรื่องที่หรงจิ่นคว้าตัวหัวหน้าผู้ดูแลที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาจากด้านนอกย่อมปิดบังคนอื่นไม่มิด กระทั่งประวัติความเป็นมาของกู้หลิวอวิ๋นก็ถูกขุดขึ้นมาไม่น้อย เพียงแต่ไม่ว่าพวกเขาจะขุดคุ้ยเช่นไรก็สืบหาเจอเพียงว่าเดิมทีเขาเป็นเพียงคุณชายตัวน้อยของตระกูลกู้พ่อค้ารายใหญ่ที่ค่อนข้างถ่อมตนคนหนึ่ง ทว่าชื่อกู้หลิวอวิ๋นกลับดึงดูดความสนใจของหรงเหยี่ยนอยู่บ้าง เอาเป็นว่ากู้หลิวอวิ๋นก็แค่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเท่านั้น แต่ไม่ได้มีคุณค่ามากพอให้กระทำการเอิกเกริกขนาดนั้น
เมื่อเห็นเสื้อผ้าสีขาวสะบัดพลิ้วไหว จากนั้นก็ปรากฏร่างหนุ่มน้อยชุดสีขาวใบหน้างดงามคนหนึ่งยืนตรงระหว่างกลางประตู เพราะแสงที่สะท้อนมาเลยทำให้เห็นใบหน้าหนุ่มน้อยไม่ชัดเจนนัก ทว่าลำพังแค่ยืนตรงหน้าประตูเช่นนั้นก็ชวนให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความสง่างามเหนือใครแล้ว
“กระหม่อมกู้หลิวอวิ๋น ขอคารวะท่านอ๋องทุกท่านพ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงอีย่างกรายก้าวเข้ามาในห้องโถงอย่างช้าๆ พร้อมประสานมือทำความเคารพทุกคน