เจี่ยงปินขบคิดพลางกราบทูล “องค์ชายเก้าก็เกิดมาเป็นลูกหลานในเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ย่อมรอคอยเรื่องนี้เป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้แม้แต่องค์ชายสิบเอ็ดที่อายุน้อยที่สุดยังเดินเข้าๆ ออกๆ ราชสำนักแล้ว ทว่าองค์ชายเก้ากลับอยู่ว่างๆ ท่ามกลางเหล่าองค์ชายคงยากที่จะเลี่ยงได้… ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้าตรัสว่า “เจ้าพูดถูก กลับเป็นเราที่มองข้ามไปเอง”
เจี่ยงปินรีบส่ายหน้าแล้วทูลว่า “มิบังอาจ” เขาเพียงแต่ลอบกล่าวในใจว่า ฝ่าบาทมองข้ามที่ไหนกัน เห็นอยู่ทนโท่ว่าฝ่าบาททรงจงใจไม่อยากให้องค์ชายเก้าข้องเกี่ยวกับงานราชสำนัก องค์ชายเพียงคนหนึ่ง องค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานมากคนหนึ่งจะยอมปล่อยสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร หากเป็นเช่นนี้เขาก็คงไม่ใช่องค์ชายแล้ว
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองไปทางประตูพระตำหนัก ทว่าแววตากลับเลื่อนลอยพร่ามัว ตรัสเสียงทุ้มว่า “จิ่นเอ๋อร์กลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่านาง...จะโทษเราหรือเปล่า”
เจี่ยงปินเงียบกริบไม่พูดอะไรราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงตรัสขึ้น โชคดีที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา ครั้นครู่หนึ่งพอได้สติพระองค์ก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วอ่านม้วนกระดาษตรงหน้าต่อ
หรงจิ่นพามู่ชิงอีเดินทะลุผ่านเส้นทางทอดยาวภายในพระตำหนักอย่างผ่อนคลาย กระทั่งมาหยุดอยู่หน้าตำหนักที่ประตูยาวปิดสนิทแห่งหนึ่งถึงชะงักฝีเท้าลง ตรงหน้าประตูเขียนด้วยลายมือเรียบง่ายว่า ‘ตำหนักเหมย’ ภายในวังหลวงที่มีพระตำหนักตั้งเรียงรายและตกแต่งอย่างหรูหรากลับมีตำหนักหลังหนึ่งโดดๆ โผล่มาเช่นนี้ทำให้ชวนดูแปลกตาอยู่บ้าง ภายในใจมู่ชิงอีรู้ทันทีว่าที่นี่ต้องเป็นที่ประทับของอดีตเหมยกุ้ยเฟยแน่นอน
หรงจิ่นผลักเปิดประตูแล้วลากตัวมู่ชิงอีเดินเข้าไป ภายในเรือนเงียบสงัดไร้ซึ่งเงาคน ทว่าพื้นกลับสะอาดหมดจด มีดอกไม้หลากสีสันในสวน รวมถึงนกเป็ดน้ำภายในทะเลสาบด้วย เวลานี้ไม่ใช่ฤดูกาลที่ดอกเหมยเบ่งบาน แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับมีกลิ่นหอมจางๆ ของดอกเหมยลอยฟุ้งอบอวลโดยไม่ได้ให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงเลยสักนิด
ส่วนลึกของตำหนักเหมยเก็บซ่อนหองดงามหลังหนึ่งไว้ หรงจิ่นลากนางเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ภายในหอนั้นสะอาดสะอ้านไร้ซึ่งฝุ่นผง เห็นได้ชัดว่าทุกวันจะมีคนคอยทำความสะอาดอย่างละเอียด ที่แห่งนี้ไม่ได้หรูหราโอ่อ่าอย่างตำหนักในวังแต่เหมือนสิ่งปลูกสร้างธรรมดาๆ เท่านั้น ด้านบนชั้นสองมีระเบียงโผล่พ้นออกมา แค่มู่ชิงอีมองต้นเหมยด้านล่างก็พอจะมองออกว่ายามที่ดอกเหมยเบ่งบานสะพรั่งในฤดูหนาวจะงดงามสะกดใจคนมากเพียงใด
หรงจิ่นเอามือไพล่หลังยืนอยู่ริมหอแห่งนั้น ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้เผยความรู้สึกผูกพันคะนึงหาแต่อย่างใด ทว่ากลับปรากฏเพียงความเย้ยหยันที่แสนเย็นชาเท่านั้น
“ชิงชิง เจ้าชอบที่นี่หรือไม่” หรงจิ่นเอ่ยถาม
มู่ชิงอีลังเลใจครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ นางย่อมชอบทิวทัศน์งดงามอยู่แล้ว แต่ทิวทัศน์ที่งดงามปรากฏอยู่ในสถานที่อย่างวังหลวงเช่นนี้กลับเป็นความงามที่แตกต่างกันออกไป ชวนให้รู้สึกไม่เป็นมงคลเสียมากกว่า
“นี่เป็นตำหนักที่เสด็จพ่อทรงสร้างให้เสด็จแม่ แต่…เสด็จแม่กลับไม่เคยได้ประทับอยู่ที่นี่เลยแม้แต่วันเดียว” ริมฝีปากของหรงจิ่นผุดยิ้มเย็นชาพร้อมเอ่ยเสียงขรึม
นับตั้งแต่เหมยกุ้ยเฟยถูกแต่งตั้งเป็นพระสนมจนกระทั่งล่วงลับไปใช้เวลาไม่ถึงสามปี หากเรือนนี้เพิ่งเริ่มถูกสร้างขึ้นหลังจากเหมยกุ้ยเฟยเข้าวังมาล่ะก็ เช่นนั้นเหมยกุ้ยเฟยก็อาจจะไม่เคยเข้ามาประทับที่นี่เลยจริงๆ
หรงจิ่นเท้าคางเอ่ย “แต่ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กเพียงลำพัง…ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนข้าและพูดคุยเป็นเพื่อนข้าเลยสักคน ก่อนที่ข้าจะโดนวางพิษครั้งนั้นข้าเคยเห็นเพียงคนสองประเภท นั่นก็คือเซวียเริ่นที่ดูแลข้ากับคนที่คิดจะฆ่าข้า ดังนั้นข้าไม่ได้เป็นที่โปรดปรานมาตั้งแต่กำเนิดเสียทีเดียว เหอะ…หรืออาจจะได้รับความโปรดปรานตั้งแต่เกิดก็ได้ เพียงแต่ข้าจำไม่ได้แล้ว”
มู่ชิงอีนั่งลงข้างกายหรงจิ่นโดยไม่พูดอะไรพลางรับฟังเขาพูดอย่างสงบ
หรงจิ่นเอียงศีรษะมองนางแล้วนั่งลงตามเช่นกัน พวกเขานั่งไหล่ชนไหล่พลางทอดมองต้นเหมยที่ไร้ดอกด้านล่างหอแห่งนั้นไปด้วยกัน
“เซวียเริ่นเป็นคนที่รับใช้เสด็จแม่ของข้ามาตั้งแต่อดีต เสด็จแม่มีบุญคุณกับเขา ดังนั้นเขาเลยอยู่ดูแลข้า ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก เขามักเฝ้าดูแลตามติดตัวข้าไม่ห่าง ตอนแรกข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ภายหลังข้าถึงรู้ว่า…เขากลัวจะมีคนมาทำร้ายข้า ต่อมาก็มีคนโผล่มาหมายจะฆ่าข้าจริงๆ แต่สุดท้าย…ก็ถูกข้าชิงฆ่าตายไปเสียก่อน” หรงจิ่นอมยิ้มอย่างมีความสุขพลางเอียงศีรษะมองมู่ชิงอี
มู่ชิงอีผุดนึกขึ้นได้ หรงจิ่นเคยบอกว่าครั้งแรกที่เขาฆ่าคนเพิ่งอายุได้หกชันษาเท่านั้น
หรงจิ่นนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นเอ่ยเสียงเรียบ “จากนั้นในที่สุดข้าก็ตกหลุมพรางคนอื่น โดนวางยา ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อคิดเช่นใด จู่ๆ ถึงได้ให้ความสำคัญกับบุตรชายคนนี้ขึ้นมา อีกทั้งให้คนช่วยยื้อชีวิตข้ากลับมาด้วย จากนั้น…คนที่อยากฆ่าข้าก็มีมากกว่าเดิม เพราะข้าคนเดียวทำให้คนตายตั้งมากมายเลยเจ็บปวดไม่น้อย ดังนั้นตอนหลังพอมีนักฆ่าบุกเข้ามาในวัง ข้าเลยคิดว่าให้นักฆ่าจับตัวไปเลยหรือไม่ก็ฆ่าข้าตายไปเสียดีกว่า อยู่วังไปตลอดเช่นนี้เหนื่อยจะตาย ต่อมาข้าก็ถูกจับตัวพาออกนอกวังไป รอกระทั่งหลังจากข้ากลับมา…เหอะๆ ข้าก็ฆ่าทุกคนได้อย่างง่ายดายแล้ว”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว ภายในวังไม่มีใครสอนวิทยายุทธให้หรงจิ่น เช่นนั้นเขาเรียนรู้วิทยายุทธในช่วงเวลาที่ถูกจับตัวออกไปนอกวังอย่างนั้นหรือ ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นั้น ไม่ว่าคุณสมบัติของหรงจิ่นจะดีแค่ไหนแต่ก็คงไม่สามารถกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาการป่วยของหรงจิ่น...เหมือนจะปรากฏขึ้นในช่วงเวลานั้นด้วยพอดี
“หลังจากท่านถูกจับออกไปนอกวังแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอก นักฆ่าคนนั้นเป็นบ้า เขาเห็นว่ากระดูกเส้นเอ็นข้ามีความพิเศษดีเลยอยากรับข้าไว้เป็นศิษย์ รังเกียจที่ข้าพัฒนาช้าเกินไปแต่ก็อยากปั้นให้ข้าเป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ คนหนึ่ง ข้าเองก็ถูกเขาบีบจนแทบเป็นบ้าอยากฆ่าเขาทิ้งเหมือนกัน ต่อมาข้าก็ถูกผู้เฒ่าเรื่องมากคนหนึ่งช่วยไว้ แต่จากนั้น…ผู้เฒ่าคนนั้นกลับช่วยไม่สำเร็จแล้วพานนึกว่าข้าตายแล้วเลยทิ้งข้าไว้ สุดท้ายข้าไม่ตายเลยกลับมาอีกครั้ง”
คำพูดไม่กี่ประโยคที่เรียบง่ายถูกหรงจิ่นเล่าออกมาโดยไม่ได้แสดงท่าทีสะทกสะท้านใดราวกับว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร แต่คนที่รับฟังกลับอกสั่นขวัญแขวน ถึงแม้หรงจิ่นจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใส แต่เด็กน้อยอายุสิบสองคนหนึ่งกลับต้องผ่านเรื่องอะไรมาตั้งมากมาย ดังนั้นจะโทษนิสัยประหลาดของหรงจิ่นในตอนนี้ไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยมู่ชิงอีคิดว่าหากตนเจอเรื่องเหล่านี้ตอนอายุสิบสอง เกรงว่าคงไม่มีโอกาสเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ได้
หรงจิ่นเอียงศีรษะมองมู่ชิงอีพลางอมยิ้มเอ่ย “ชิงชิงกำลังสงสารข้าอยู่หรือ”
มู่ชิงอีมองเขาด้วยท่าทีสงบ “ท่านต้องการให้คนสงสารท่านด้วยหรือ”
หรงจิ่นยิ้มเย้ย “ความสงสารใช้ทานข้าวไม่ได้ ใช้แทนเงินตำลึงไม่ได้เสียหน่อย”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “วันหน้าหม่อมฉันจะช่วยท่านหาเงินมาให้มากๆ” หรงจิ่นเองก็ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็จะหาเงินเยอะๆ มาให้ชิงชิงใช้เหมือนกัน”
มู่ชิงอีแค่นเสียงเบาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มว่า “องค์ชายเก้าเอาเวลามาคิดว่าจะจัดการสมุดบัญชีในจวนเช่นไรให้ดีกว่านี้ดีกว่าเพคะ”
พอนึกถึงเงินตำลึงที่ตนแอบยักยอกมาในวันนั้น หรงจิ่นก็ดูไร้ชีวิตชีวาไปชั่วขณะ
ครั้นเห็นหว่างคิ้วของหรงจิ่นขมวดมุ่นไม่คลายตั้งแต่เข้าวังมา มู่ชิงอีก็เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านไม่ชอบวังหลวงหรือเพคะ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วถาม “ข้าควรจะชอบวังหลวงมากอย่างนั้นหรือ”
ความจริงถึงแม้เขาจะมีสถานะเป็นองค์ชายที่สูงศักดิ์ แต่ตลอดชีวิตนี้วังหลวงกลับนำพาหายนะมาให้หรงจิ่นมากกว่าความสุข ก่อนหน้าอายุแปดชันษาเขาเหมือนดั่งอากาศธาตุ แถมยังต้องเผชิญหน้ากับนักฆ่าเป็นครั้งคราว ถึงแม้หลังแปดชันษาไปเขาจะได้รับสมญานามว่าเป็นองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่าความโปรดปรานเช่นนี้กลับไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในทางกลับกัน ยิ่งทำให้เขาถูกเหล่าองค์ชายทุกคนเพิกเฉยและมองเขาเป็นศัตรูเสียมากกว่า