มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเอ่ย “หากกล่าวเช่นนี้หม่อมฉันควรขอบพระทัยในความไว้วางใจขององค์ชายเก้ามากกว่า” หรงจิ่นฉีกยิ้มพลางลูบไล้เส้นผมนุ่มสลวยของนางอย่างมีความสุข ยิ้มเอ่ย “ชิงชิงไม่เหมือนกัน”
“ดังนั้นท่านอยากให้หม่อมฉันข่มตระกูลเหมยอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
หรงจิ่นพึมพำ “อืม” ทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา “ถึงแม้สิ่งเหล่านี้ข้าจะทำเองได้ แต่เรื่องเมืองเทียนเชวียในวันหน้าส่วนมากต้องให้ชิงชิงเป็นคนจัดการ ดังนั้นเรื่องอำนาจจึงสำคัญมาก ขอแค่ชิงชิงกำราบกลุ่มดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดได้สำเร็จ จัดการความสัมพันธ์อันวุ่นวายภายในเมืองเทียนเชวียได้ วันหน้าภายในเมืองเทียนเชวียคงไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจกับชิงชิงแล้ว หากวันหน้าชิงชิงต้องอยู่ที่นี่คนเดียว ข้าจะได้วางใจขึ้นบ้าง”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “หม่อมฉันทราบแล้ว” อดพูดไม่ได้ว่านางยอมจำนนต่อหรงจิ่นแล้ว ถึงแม้จะกลัดกลุ้มเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลเหมย แต่ใช่ว่าเหล่าเครือญาติทั้งหมดบนโลกใบนี้จะรักใคร่กันและกันเสียเมื่อไร ในเมื่อหรงจิ่นเลือกที่จะตัดขาดจากพวกเขา นางเองก็คงไม่พูดอะไรอีก
พอเห็นนางพยักหน้า รอยยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้าหรงจิ่นก็ยิ่งกว้างกว่าเดิม เอ่ยยิ้มตาหยีว่า “เช่นนั้นชิงชิงไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่” มู่ชิงอีส่งยิ้มแล้วเอ่ยอย่างหยอกล้อ “ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า”
หรงจิ่นนิ่งชะงักไปชั่วขณะ พอขบคิดดูแล้วดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย เขาโอบร่างมู่ชิงอีไว้แล้วเอ่ย “ชิงชิงอยากรู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปไหนมา”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว “องค์ชายเก้าหมายความว่าอย่างไรหรือ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “หมายความว่าข้าพาชิงชิงไปลองดูได้ แต่…ข้าไม่แน่ใจว่าชิงชิงจะชอบหรือไม่”
มู่ชิงอีอมยิ้มเอ่ย “หม่อมฉันจะตั้งตารอเลยเพคะ”
ถือว่าหรงจิ่นพูดจริงทำจริงอยู่บ้าง หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จก็พามู่ชิงอีควบม้าหนึ่งตัวออกนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ระหว่างการเดินทางจากแคว้นหวามาแคว้นเย่ว์มู่ชิงอีจะขี่ม้าเป็นแล้ว แต่หากต้องเผชิญกับสภาพภูมิศาสตร์ที่แสนซับซ้อนอย่างเมืองเทียนเชวียกลับยังไร้ความสามารถอยู่ นางจึงทำได้แค่ยอมให้คนกระตือรือร้นอย่างหรงจิ่นโอบเอวตนนั่งควบบนหลังม้ารูปงามตัวเดียวกันแล้วมุ่งหน้าเข้ากลางป่าเขาไป
เดิมทีแคว้นเย่ว์มีป่าไม้หุบเขามากอยู่แล้ว เมืองเทียนเชวียสามารถเก็บตัวมาได้หลายร้อยปีโดยไม่มีใครรู้เช่นนี้ สาเหตุไม่ใช่แค่สภาพภูมิศาสตร์ที่ปกปิดไว้เท่านั้น แต่เพราะรอบด้านหลายร้อยลี้ล้วนปกคลุมไปด้วยป่าเขาแน่นขนัดจนดูรกร้างไร้ผู้คน หลังจากทะลุเข้ามาภายในยังเห็นสัตว์ปีกสัตว์ป่านานาพันธุ์เดินเนิ่บนาบเพ่นพ่านเต็มไปหมดราวกับไม่เกรงกลัวคนเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นดั่งสวนสนุกของเหล่าสัตว์ป่า แต่ไม่ใช่อาณาเขตที่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปจะกล้าเยื้องย่างเข้ามาได้ตามใจชอบ
ทว่าหรงจิ่นที่ขี่ม้าพามู่ชิงอีมากลับไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป มู่ชิงอีรู้สึกว่าหรงจิ่นเหมือนดาบที่พร้อมทำร้ายคนอื่นและตัวเองเล่มหนึ่งมากกว่า แต่พอมาถึงตอนนี้นางถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรที่เรียกว่าดาบเหนือปฐพี หรงจิ่นที่ควบม้าผ่านกลางป่าเขาด้วยท่าทีสบายๆ สลัดท่าทีเสแสร้งในวันวานทิ้งจนสิ้น เขาเหมือนดาบเหนือปฐพีที่หิวกระหายเลือด แม้แต่สัตว์ดุร้ายนานาชนิดเห็นเขาแล้วยังต้องหลบเพราะกลัวบาดเจ็บจากไอสังหารที่แผ่ออกมา
มู่ชิงอีอิงกายอยู่ในอ้อมอกของหรงจิ่นพลางชมทิวทัศน์สองข้างทางที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้วค่อยๆ เคลิ้มหลับไปท่ามกลางความคิดที่ตีกันวุ่นวายในหัว
หรงจิ่นควบม้าพลางก้มหน้ามองสาวน้อยงดงามที่ตอนนี้หลับสนิทอยู่ในอ้อมอกตนไปแล้ว จากนั้นความขึงขังบนใบหน้าอันหล่อเหลาก็มลายกลายเป็นรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมาแทน
“แบบนี้ก็หลับได้ด้วย ชิงชิงไม่กลัวข้าเลยจริงๆ น่ะหรือ” ยามที่เขาแผ่ไอสังหารออกมาอย่างแรงกล้าจะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาในระยะสิบจั้งเหมือนตอนที่เขาอาการป่วยคลุ้มคลั่ง แม้แต่คนที่ขึ้นชื่อว่ารักเขาคนเดียวจนยอมตายแทนได้อย่างเหมยอิ้งเสวี่ยพอเห็นเขาเป็นเช่นนั้นยังรีบหนีถอยออกห่าง แต่ชิงชิงกลับนอนหลับสนิทภายในอ้อมอกเขา นี่คงสื่อว่าชิงชิงเชื่อใจเขาเหมือนที่เขาเองก็เชื่อใจชิงชิงเช่นกัน
“ชิงชิง…เจ้าอย่าไปจากข้าเลย”
ครั้นมู่ชิงอีตื่นขึ้นมาก็ค้นพบว่าตัวเองนอนอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าสีสวยเมฆขาว ต้นไม้เขียวขจีรอบตัวและดอกไม้มากมายเบ่งบานอยู่บนพื้นหญ้า อากาศสบายไม่เหมือนฤดูใบไม้ร่วงเลยสักนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนางที่นอนอยู่บนพื้นยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นด้วยซ้ำ
“ชิงชิงตื่นแล้วหรือ” นางรู้สึกว่าพื้นดินด้านล่างสั่นเล็กน้อย เสียงกลั้วหัวเราะทุ้มต่ำของหรงจิ่นดังขึ้นมา ยามนี้มู่ชิงอีถึงค้นพบว่าตนกำลังฟุบหลับอยู่บนแผ่นอกของหรงจิ่น แถมมีผ้ากันลมสีเขียวอ่อนคลุมร่างนางไว้อยู่ด้วยผืนหนึ่ง มิน่าเล่าอากาศที่เกือบเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิบนยอดเขาสูงตระหง่านเช่นนี้ถึงไม่รู้สึกหนาวเลย
มู่ชิงอีรีบหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าที่เพิ่งตื่นนอนพลันขึ้นสีแดงระเรื่อจางๆ พอหรงจิ่นเห็นเช่นนั้นก็อดนิ่งตะลึงไม่ได้ก่อนจะโค้งตัวประทับรอยจูบเบาๆ ตรงหว่างคิ้วนางทีหนึ่ง “ตอนชิงชิงนอนหลับนั้นช่างน่ารักมากจริงๆ”
“หรงจิ่น!” มู่ชิงอีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำอย่างไรได้ในเมื่อนางผล็อยหลับไปเอง ด้วยนิสัยของหรงจิ่นแล้วหากไม่เอาเปรียบนางสักเล็กน้อยคงเป็นไปได้ยาก
“เอาน่าชิงชิง เพิ่งตื่นนอนแล้วโมโหไม่ดีเลยนะ ดูสิ สวยขนาดไหน” หรงจิ่นรีบเบี่ยงประเด็นแล้วแหงนหน้าทอดมองออกไป ถึงแม้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วงแต่ภายในป่าเขายังคงสวยสดมีชีวิตชีวาไม่วังเวงเลยสักนิด จุดที่พวกเขาอยู่เหมือนเป็นหน้าผาแห่งหนึ่ง บนพื้นหญ้ามีดอกเบญจมาศเบ่งบานหลากสีสันเกลื่อนเต็มไปหมด ถึงแม้จะไม่ได้เป็นดอกไม้หายากอะไร เป็นแค่ดอกไม้ป่าเล็กๆ บนเขาธรรมดา แต่พอเห็นมันในเวลานี้และสถานที่แบบนี้กลับดูงดงามมากกว่าดอกไม้ล้ำค่าหายากพวกนั้นยิ่งนัก
“สวยจัง” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา นางเกิดในเมืองหลวงแคว้นหวาและเติบโตมาในจวนอัครมหาเสนาบดี ถึงแม้จะออกเที่ยวเจอทิวทัศน์ป่าเขางดงามเช่นนี้มาบ้าง ไม่ได้ถูกแกะสลักอย่างประณีตละเอียดอ่อน ไม่ได้ดูหรูหราโอ่อ่าดั่งเมืองหลวง แต่เป็นทิวทัศน์ที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ ยิ่งชวนให้หลงรักจนไม่อยากหนีไปไหน
ครั้นเห็นนางชอบ รอยยิ้มบนใบหน้าหรงจิ่นก็ยิ่งกว้างขึ้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินตรงไปหาพุ่มดอกไม้ด้านข้างแล้วค่อยๆ เลือกเด็ดดอกไม้ที่ผลิบานงดงามที่สุดออกมาอย่างละเมียดละไม
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มมองหรงจิ่นเด็ดดอกไม้ด้วยท่าทีจริงจัง ชุดคลุมผ้าแพรสีดำที่ดูธรรมดาแต่หรูหราทั้งร่าง รวมถึงรูปโฉมที่หล่อเหลาเหนือใครมักชวนให้ดูแปลกตายามที่อยู่ท่ามกลางดอกไม้ป่าเล็กๆ เหล่านั้น ทว่าพอเห็นเขานั่งยองเด็ดดอกไม้บนพื้นเช่นนี้ยิ่งชวนให้คนหลงใหลไปชั่วขณะ
รอกระทั่งหรงจิ่นยิ้มตาหยีส่งดอกไม้หลากสีสันช่อหนึ่งมาตรงหน้านาง มู่ชิงอีถึงตระหนักได้ในทันทีว่าเขาคิดจะทำอะไร ช่วงเวลานั้นทำเอานางเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก เพราะเพิ่งตื่นจากห้วงนิทราขาทั้งสองข้างเลยยังชาอยู่ เพราะแม้แต่จะลุกขึ้นหนียังทำไม่ได้ เลยถลึงตาคู่งามเตือนเขาว่าอย่าเข้ามาใกล้เด็ดขาด
หรงจิ่นกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินตรงเข้ามาหานางพลางแย้มยิ้มก่อนยัดดอกไม้ใส่มือนาง “ชิงชิง สวยหรือไม่ ข้าให้เจ้า”
มู่ชิงอีแน่นิ่งไม่ไหวติง รับดอกไม้มาอย่างทำตัวไม่ถูก ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครให้ดอกไม้นางเสียหน่อย เพียงแต่ดอกไม้ที่คนเหล่านั้นเคยให้ล้วนเป็นพันธุ์ล้ำค่าหายากและใช้กระถางหยกที่แสนประณีตหรือกระเบื้องลายดอกเพาะปลูก จากนั้นถึงส่งมาให้นางเชยชมตามสถานะอันสูงศักดิ์
แต่การเด็ดดอกไม้ป่ามายัดใส่มือนางเช่นนี้กลับเป็นครั้งแรกในชีวิต เหมือน…เหมือนตอนเล่นสนุกๆ นอกเมืองช่วงวัยเยาว์แล้วได้ยินเรื่องหนุ่มน้อยธรรมดาตามหาสาวน้อยที่ใจตรงกัน บางทีนางอาจเคยใฝ่ฝันอยากมีหนุ่มน้อยสวมชุดผ้าแพรมอบดอกไม้ช่อหนึ่งให้ตนเช่นนี้ แต่นั่นกลับเหมือนเป็นเรื่องในภพชาติก่อนไปแล้ว
เวลานี้ ณ ริมหน้าผาสูงชันที่เต็มไปด้วยดอกไม้ผลิบาน ข้างกายเต็มไปด้วยทะเลหมอกสีขาว หนุ่มน้อยในชุดดำใบหน้าหล่อเหลายัดดอกไม้ป่าช่อหนึ่งใส่มือนางแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ชิงชิง ข้ามอบให้เจ้า”