ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ มู่ชิงอีถึงรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว จากนั้นก็มีน้ำบางอย่างไหลอาบลงมาอย่างเงียบๆ
“ชิงชิง เจ้าเป็นอะไรไป” พอเห็นสาวน้อยน้ำตาไหลกะทันหันเช่นนั้น หนุ่มชุดดำก็กระวนกระวายใจขึ้นมาทันที เขาช่วยปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาให้นางด้วยท่าทีตื่นตระหนกราวกับไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดี จากนั้นก็รีบแย่งช่อดอกไม้ในมือนางมาในคราวเดียว “ชิงชิงไม่ชอบหรือ เช่นนั้นข้าโยนทิ้งก็สิ้นเรื่องแล้ว” ดวงตางดงามของหนุ่มน้อยขรึมลงพลางยกมือขึ้นหมายจะโยนดอกไม้ทิ้งลงหน้าผาไป
มือขาวเรียวงามรั้งข้อมือของเขาไว้ มู่ชิงอีขบริมฝีปากแล้วแย่งช่อดอกไม้มาจากมือเขา “นี่ของหม่อมฉันเพคะ”
“ชิงชิงชอบหรือ” หรงจิ่นนิ่งชะงักไปก่อนจะมองมู่ชิงอีจัดระเบียบช่อดอกไม้อย่างระมัดระวังแล้วถือไว้อย่างเบามือ หรงจิ่นแสดงท่าทีดีอกดีใจขึ้นมาทันที “ชิงชิงชอบก็ดีแล้ว” พอยกมือขึ้น ดอกสีม่วงอ่อนที่ผลิบานดอกหนึ่งจากพุ่มดอกไม้ก็ปลิวลอยละลิ่วมาตกอยู่หว่างนิ้วของหรงจิ่นพอดี
หรงจิ่นเอาดอกไม้ดอกเล็กนั้นปักลงบนเส้นผมดำขลับของสาวน้อยที่ไม่มีเครื่องประดับใดอย่างระวังมือ ไม่นานก็มุ่นคิ้วส่ายศีรษะเอ่ย “ดอกเล็กๆ แบบนี้ไม่เหมาะกับชิงชิง ครั้งหน้าข้าหาดอกไม้ที่เหมาะสมกับชิงชิงยิ่งกว่านี้มาดีกว่า” ชิงชิงของเขาเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในใต้หล้า ดอกไม้เล็กๆ ที่ไม่เตะตาใครเช่นนี้ไม่เหมาะกับนางเลยจริงๆ ชิงชิงเหมาะกับดอกยี่หุบสีขาวบริสุทธิ์ชั้นดีหรือดอกกล้วยไม้ที่งามสง่ามากกว่า
ฉับพลันหรงจิ่นก็ดวงตาเป็นประกายก่อนดึงช่อดอกไม้ในมือของมู่ชิงอีมาใหม่ เขาร้อยเรียงดอกไม้ป่าเหล่านั้นเป็นมงกุฎดอกไม้หลากสีภายใต้แววตาประหลาดใจของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ค่อยๆ สวมมงกุฎลงบนเส้นผมที่ไร้เครื่องประดับใด ยกเว้นปิ่นสีเงินที่ปักลงบนมวยผมอันหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ “แบบนี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
ท่ามกลางแสงอาทิตย์จางๆ สาวน้อยใบหน้าสะสวยในชุดสีขาวดั่งหิมะ เส้นผมสยายดั่งปุยเมฆพร้อมสวมมงกุฎดอกไม้ที่แสนงดงามประณีตไว้บนศีรษะจึงขับให้งดงามมากกว่าเดิม ราวกับเป็นนางฟ้าบนสรวงสวรรค์เก้าชั้นตกลงมาบนโลกมนุษย์ก็มิปาน
มู่ชิงอีมองบุรุษที่สวมชุดผ้าแพรที่ทั้งอ่อนโยนและกำลังคลี่ยิ้มบางให้ตนตรงหน้าแน่นิ่ง ภายในใจก็ผุดความอบอุ่นและความนุ่มนวลที่ไม่ได้สัมผัสมานานขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หรงจิ่น หาก…ข้าไม่รักท่าน ข้าก็คงไม่มีวันรักใครได้อีก
หรงจิ่นมองสาวน้อยตรงหน้าอย่างอ่อนโยนราวกับอ่านความคิดในใจของนางไม่ออก จากนั้นก็ยื่นมือรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด
ชิงชิง นอกจากข้าแล้ว เจ้าห้ามรักใครบนโลกใบนี้เป็นอันขาด
ยามที่อาทิตย์อัสดง ก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ “ท่านพาหม่อมฉันมาที่นี่ก็เพื่อดูสิ่งเหล่านี้เท่านั้นหรือ”
ไอ๊หยา! เขาอารมณ์ดีจนลืมเรื่องสำคัญไปเสียได้ หรงจิ่นฉีกยิ้มกว้างพลางมองมู่ชิงอีอย่างมีความสุข
หรงจิ่นประคองนางลุกขึ้นนั่งแล้วอมยิ้มเอ่ย “ชิงชิง จับข้าไว้ให้แน่นล่ะ”
มู่ชิงอีชะงักครู่หนึ่ง นางยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกหรงจิ่นโอบกายไว้แล้วกระโดดลงหน้าผาไป มู่ชิงอียังคงรู้สึกร่างดิ่งไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดพลางถูกใครบางคนรั้งตัวไว้ในอ้อมกอด แต่ความรู้สึกดิ่งลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้กลับไม่ได้น่าหวาดกลัวเลยสักนิดเพราะนางมีที่พักพิงอยู่นั่นเอง
ยามที่เท้าแตะพื้น นางยังรู้สึกวิงเวียนอยู่บ้างเลยต้องอยู่ภายใต้การประคองของหรงจิ่นต่อไป
“กระหม่อมคารวะท่านเจ้าเมืองพ่ะย่ะค่ะ!”
ต่อมาก็ได้ยินเสียงขรึมดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมองไปด้านข้างก็เห็นหนุ่มสาวในชุดสีดำสองสามคนยืนทำความเคารพบนพื้นที่ราบจากมุมที่ไม่ไกลอยู่ก่อนแล้ว แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนของเมืองเทียนเชวีย
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้ายิ้มกริ่มพลางมองพวกเขาสองคน เอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ “ท่านเจ้าเมือง พวกเรารอตั้งแต่บ่ายกระทั่งตะวันใกล้ตกดิน นึกว่าพวกท่านจะไม่มาแล้วเสียอีก”
มู่ชิงอีใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้รู้นานแล้วว่าพวกเขาอยู่ด้านบน เพียงแต่ด้วยนิสัยของหรงจิ่นเลยไม่กล้ารบกวนก็เท่านั้น หรงจิ่นแค่นเสียงเย็นชาใส่ก่อนใช้สายตาเรียบนิ่งกวาดมองพวกเขากล่าว “รอข้าหรือ ข้าบอกให้พวกเจ้ารอหรืออย่างไร ดูท่าจะว่างกันมากกระมัง”
บุรุษที่เป็นหัวหน้าสีหน้าเปลี่ยนทันทีแล้วปิดปากพร้อมสีหน้าที่เจื่อนลง ท่านเจ้าเมืองไม่น่าเล่นด้วยที่สุดแล้ว แม้แต่เรื่องล้อเล่นนิดหน่อยก็ยังถูกตอกกลับด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์บ้าคลั่งของท่านเจ้าเมืองเสียได้ แต่…ดูท่าทางว่าที่นายหญิงกลับนิสัยดีไม่หยอกแฮะ
“ข้าไคหยาง คารวะนายหญิง”
“ข้าขอคารวะนายหญิงเช่นกัน”
มู่ชิงอีริมฝีปากแข็งทื่อไปชั่วขณะ เอ่ยเสียงเรียบ “เรียกข้าว่าแม่นางมู่ก็พอแล้ว”
ไคหยางเลิกคิ้วมองหรงจิ่นที่อยู่ด้านข้าง ประการแรกก็เพื่อขอความเห็นจากท่านเจ้าเมือง แต่นัยยะในนั้นก็คือ ท่านเจ้าเมือง เหตุใดท่านถึงยังไม่คว้าแม่นางมาไว้ในมืออีก
หรงจิ่นกวาดตามองเขา เอ่ยเสียงเรียบ “เอาตามชิงชิงว่าก็แล้วกัน”
“คารวะแม่นางมู่” ทุกคนเอ่ยพลางหยัดกายลุกขึ้น
มู่ชิงอีค้นพบได้อย่างรวดเร็วว่าหากเทียบกันแล้ว ถึงแม้ภายใต้แรงกดดันของหรงจิ่น แต่ทุกคนในเมืองเทียนเชวียกลับยังเชื่อฟังคำสั่งอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งไม่ได้ตื่นตกใจหรือขับไล่หญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งที่ถูกท่านเจ้าเมืองพามากะทันหัน ซ้ำประกาศว่าจะขึ้นเป็นนายหญิงแห่งเมืองเทียนเชวียอีกต่างหาก ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องถูกต้องที่ไม่ควรสงสัยเลยสักนิด อีกอย่างวิทยายุทธของคนเหล่านี้น่าจะดีไม่น้อย ถึงแม้มู่ชิงอีจะมองลำดับสูงต่ำของขั้นวิทยายุทธไม่ออก แต่กลับเห็นคุณลักษณะพิเศษของคนที่ฝึกฝนวิทยายุทธปรากฏตามร่างกายและใบหน้าขอพวกเขาเต็มไปหมด หากไม่ได้อยู่ท่ามกลางกลุ่มเขารายล้อมที่เงียบสงบเช่นนี้ล่ะก็ นางคงนึกว่าพวกเขาเป็นแม่ทัพที่เพิ่งทำสงครามมาเสียอีก
“ที่นี่ที่ใดหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ สัญชาตญาณบอกนางว่าที่นี่ต่างหากคือความลับที่สำคัญที่สุดของหรงจิ่น
หรงจิ่นลากมู่ชิงอีเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชิงชิงเดินมาดูก็รู้แล้ว”
มู่ชิงอีพยักหน้าพลางถอดมงกุฎดอกไม้บนศีรษะออกโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น มงกุฎดอกไม้หลากสีนี้งดงามและนางก็ชอบมากจริงๆ แต่หากสวมมันเผชิญหน้ากับลูกน้องมากมายของหรงจิ่น มู่ชิงอีคิดว่าถอดมันออกจะดีกว่า แต่ถือไว้ในมือเช่นนี้ก็ทำใจวางมันไม่ลง ชั่วขณะนั้นนางพลันรู้สึกลำบากใจเหลือเกิน
หรงจิ่นอมยิ้มก่อนคว้ามงกุฎในมือนางมา จากนั้นก็หมุนตัวส่งให้หญิงสาวในชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยเสียงเรียบว่า “หาที่วางมันดีๆ”
“เพคะ ท่านเจ้าเมือง!” หญิงสาวชุดดำขานรับเสียงสดใสพลางใช้สองมือรับมงกุฎดอกไม้มาราวกับว่านั่นไม่ใช่มงกุฎที่ร้อยจากดอกไม้ป่าธรรมดาๆ แต่เป็นเหมือนมงกุฎกษัตริย์ที่มูลค่ามหาศาลอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ระวังดีๆ เพิกเฉยต่อคำสั่งของท่านเจ้าเมืองแล้วทำพังขึ้นมา นางไม่อยากลองดีว่าจะมีจุดจบอย่างไร
ส่วนคนอื่นๆ มองท่านเจ้าเมืองจูงมือสาวน้อยชุดขาวพร้อมใบหน้าเรียบนิ่งเดินตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทีตกอกตกใจ
ท่านเจ้าเมืองกลายเป็นคนอ่อนโยนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ท่านเจ้าเมืองกลายเป็นคนดูแลเอาใจใส่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
เหมือนว่า…ท่านเจ้าเมืองจะเปลี่ยนไป ดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
พวกเขาที่เห็นความดิบเถื่อนของใครบางคนจนชินตาเลยพลอยรู้สึกว่าความอ่อนโยนเช่นนี้ของท่านเจ้าเมืองน่ากลัวยิ่งกว่าท่าทีดุดันร้ายกาจในยามปกติ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาความอ่อนโยนของท่านเจ้าเมืองเป็นแผนร้ายและหลุมพรางจัดการคนมากกว่า
“พวกเขากลัวท่านมากหรือ” มู่ชิงอีหันไปมองหรงจิ่นที่อยู่ข้างกายพลางอมยิ้มเล็กน้อย
หรงจิ่นรู้สึกว่าตัวเองนั้นใสซื่อจะตายไป “ข้าก็แค่เข้มงวดเพื่อให้พวกเขาพัฒนาขึ้นบ้างก็เท่านั้น ระยะเวลาอันสั้นไม่กี่ปีสามารถจัดการสั่งสอนคนที่ไม่ทำอะไรเอาแต่กินดื่มเที่ยวไปวันๆ ให้กลายเป็นเช่นนี้ได้ ข้าเองก็ลำบากมามากเหมือนกัน”
ดังนั้นยิ่งระยะเวลาสั้นมากเท่าไร ผลลัพธ์ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคนเหล่านี้เคยถูกใครบางคนทรมานอย่างน่าสังเวชมาแล้วจริงๆ มู่ชิงอีจึงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ