เขามักรู้สึกว่าชิงชิงชอบเข้าใจเขาผิด หรงจิ่นจึงขบคิดด้วยความงงงัน
พวกเขาต่างก็หลงคิดว่า ว่าที่นายหญิงคงถูกเจ้าเมืองหลอกล่อมา นายหญิงคงไม่รู้ธาตุแท้อันชั่วร้ายของเจ้าเมืองแน่นอน น่าสงสารแม่นางที่ทั้งงดงาม อ่อนช้อย ไร้เดียงสาและจิตใจเมตตาคนหนึ่งต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมมารแล้ว ทุกคนที่เดินตามด้านหลังมาลอบเห็นใจนางอย่างเงียบๆ
หลังจากทะลุผ่านทางมืดแคบเข้ามา ตรงหน้าก็ปรากฏพื้นที่ราบกว้างขวางแห่งหนึ่ง มันกว้างใหญ่เสียจนชวนให้มู่ชิงอีอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาออกจากเขตตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเย่ว์มาถึงขอบชายแดนแคว้นเย่ว์ที่กว้างขวางแห่งนี้แล้วหรือ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ควบม้าพันลี้ก็ไม่มีทางมาถึงขอบชายแดนแคว้นเย่ว์ได้ในระยะเวลาอันสั้นแค่นี้
ที่นี่เป็นแค่แอ่งที่ราบและห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มเขาแห่งหนึ่งเท่านั้น ทอดมองไกลออกไปก็ยังคงเห็นทิวทัศน์ที่รายล้อมไปด้วยหุบเขารอบทิศ ที่นี่เป็นดินแดนธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์ ทุ่งหญ้าที่เงียบสงบมีวัว แพะ กระทั่งม้ามากมายกำลังเดินวนเวียนไปมาอย่างช้าๆ อีกทั้งตรงตีนดอยห่างไกลออกไปยังสร้างกระท่อมขนาดเล็กไว้มากมาย แถมยังมีคนในชุดสีดำกำลังฝึกวิทยายุทธบนทุ่งหญ้าหน้ากระท่อมเกลื่อนเต็มไปหมด
“ที่นี่…” มู่ชิงอีกำลังตกตะลึง หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ตอนนี้ชิงชิงเข้าใจหรือยังว่าเหตุใดตอนนั้นเหลิ่งเทียนเชวียถึงเลือกสร้างเมืองเทียนเชวียที่นี่ ที่นี่ถูกธรรมชาติปิดกั้นจากโลกภายนอก ไม่ว่าสถานการณ์โลกภายนอกจะเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยไปเท่าไร ไม่ว่าจะมีกองทัพใหญ่มากมายแค่ไหน ที่นี่ก็ไม่มีทางถูกตีจนพ่ายไปตลอดกาล เพียงแต่น่าเสียดาย…”
มู่ชิงอีเข้าใจทันที เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าเมืองรุ่นแรกของเมืองเทียนเชวียที่แสนฉลาดเฉลียวกลับคิดไม่ถึงว่าการตัดขาดจากโลกภายนอกมากเกินไปไม่ได้ทำให้เมืองเทียนเชวียพังย่อยยับเพราะข้าศึก แต่เพราะปิดเมืองและความยากแค้นทำให้เมืองค่อยๆ ถดถอยลงมากกว่า
“ท่านฝึกซ้อมทหารที่นี่หรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม
หรงจิ่นขมวดคิ้วเอ่ยอย่างระอาใจ “เดิมทีเมืองเทียนเชวียก็ไม่ได้มีประชากรมากมายอยู่แล้ว คนนอกยิ่งไม่มีทางเข้ามาได้ แต่อย่างน้อยมีก็ดีกว่าไม่มี”
“เท่าไรหรือเพคะ”
หรงจิ่นยกมือขึ้นชูห้านิ้ว “ฝีมือดีหน่อยก็ห้าพันคน หากเกิดสถานการณ์คับขันคงพอดึงออกมาได้มากที่สุดราวสามหมื่นได้” ในเมื่อชาวเมืองเทียนเชวียต่างฝึกฝนวิทยายุทธกันเป็นส่วนใหญ่ ขอแค่เพิ่มการฝึกซ้อมไปอีกสักนิด บุรุษที่บรรลุนิติภาวะก็สามารถลงสนามศึกได้ในทันที ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากำลังเสริมของประชาชนคนธรรมดาพวกนั้นอย่างมาก
มู่ชิงอีลูบบ่าเขาเชิงปลอบใจเอ่ย “เอาแต่พอดีเถิดเพคะ นอกจากจวงอ๋องแล้ว พี่น้องคนอื่นๆ มีไม่ถึงห้าร้อยด้วยซ้ำ” จวงอ๋องก็แค่เพราะมีท่านน้าเป็นแม่ทัพใหญ่ถึงมีโอกาสได้ผลประโยชน์เรื่องอำนาจทางการทหารไปด้วย เรื่องนี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เองก็ไม่ได้โง่ อำนาจทางการทหารทั้งหมดอยู่ในเงื้อมมือตน เหล่าองค์ชายอย่าได้คิดแม้แต่จะแตะต้องเชียว หากไม่มีอำนาจทางการทหารคิดจะดิ้นให้ตายอย่างไรก็เปล่าประโยชน์
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาอย่างเย่อหยิ่งทีหนึ่ง “หากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น ข้าอยากให้กองทัพสามหมื่นคนนี้ตีเมืองหลวงให้พ่ายได้ภายในสองวัน” ในเมื่อเมืองเทียนเชวียอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก ไม่รู้ว่าหากเหล่าอดีตราชวงศ์ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงทราบว่าเมืองเทียนเชวียของเหลิ่งเทียนเชวียที่พวกเขาต่างแย่งชิงอำนาจนั้นอยู่ใกล้ตนเพียงเอื้อมแค่นี้ พวกเขาจะแสดงท่าทีเช่นไรบ้าง
มู่ชิงอีตอกกลับเขาโดยไม่คิดปรานีสักนิด “จากนั้นก็ถูกกองทัพประจำพระองค์และกองทหารประจำการละแวกเมืองหลวงล้อมหน้าล้อมหลังอย่างนั้นน่ะหรือ”
พรูด! ไคหยางที่อยู่ด้านหลังพวกเขาอดพ่นเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ หลังจากถูกหรงจิ่นถลึงตาใส่ไปทีหนึ่งก็รีบหลบไปอยู่อีกฝั่ง
สิ่งก่อสร้างที่นี่ไม่ได้งดงามและแข็งแรงเหมือนในเมืองเทียนเชวีย เพราะถูกสร้างขึ้นจากแผ่นไม้ทั่วไปเท่านั้น ต่อให้เป็นเรือนต้อนรับหรงจิ่นกับมู่ชิงอีก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย หลังจากเข้าไปนั่งในห้องโถงแล้ว ทุกคนก็พากันทำความเคารพหรงจิ่นและมู่ชิงอีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลานี้มู่ชิงอีถึงรู้ว่าหญิงสาวชุดดำผู้นั้นมีนามว่าฮั่วซูเป็นผู้ช่วยของเทียนซู นอกจากหรงจิ่นแล้ว ถือว่าในเมืองเทียนเชวียนางมีฝีมือวิทยายุทธเป็นลำดับที่สาม ลำดับสูสีกับเทียนเฉวียนและเป็นรองแค่เทียนซูกับไคหยางเท่านั้น
ผู้หญิงเช่นนี้ ด้วยบุคลิกและความสามารถทางวิทยายุทธของฮั่วซูแล้วแต่ดันเป็นได้แค่ผู้ช่วย มิน่าเล่าเทียนซูกับเทียนเสวียนถึงไม่พอใจเหมยอิ้งเสวี่ยสักเท่าไร
ครั้นเห็นมู่ชิงอีจับจ้องฮั่วซูเช่นนั้น หรงจิ่นก็เลิกคิ้วเอ่ย “ชิงชิงชอบนางหรือ ข้าให้ฮั่วซูมาเป็นองครักษ์ประจำตัวชิงชิงได้นะ ทว่าอู๋ซินจะสะดวกกว่าหน่อย”
“เหลวไหลเพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ ในเมื่อฮั่วซูเป็นถึงผู้ช่วยของเทียนซู เหมือนว่าทุกคนเองก็เข้าขากับนางได้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าความสามารถไม่ธรรมดาเลย ผู้หญิงที่โดดเด่นเช่นนี้หากเอามาเป็นแค่องครักษ์ติดตามก็ออกจะใช้คนไม่ถูกกับงานไปสักหน่อย
หรงจิ่นเองก็ไม่ใส่ใจ พอเห็นมู่ชิงอีสนอกสนใจฮั่วซูขึ้นมาเลยลุกขึ้นเรียกพวกไคหยางออกไปขี่ม้าโดยทิ้งฮั่วซูไว้เป็นเพื่อนมู่ชิงอีตามลำพัง
พอมู่ชิงอีเห็นว่าทุกคนออกไปกันแล้ว ก็สำรวจหญิงสาวชุดดำตรงหน้าอย่างประหลาดใจ หากกล่าวถึงความงามของฮั่วซูแล้วออกจะด้อยกว่าเหมยอิ้งเสวี่ยอยู่บ้าง ทว่าบุคลิกสุขุมเยือกเย็นแต่แฝงความอ่อนโยนเช่นนี้กลับดีกว่าเหมยอิ้งเสวี่ยกว่ามากนี่คงเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่งสินะ
เหมยอิ้งเสวี่ยเป็นผู้ดูแลเหยากวงได้เพราะอาศัยว่ามีสถานะเป็นลูกพี่ลูกน้องของหรงจิ่นและแรงหนุนของตระกูลเหมย แต่ฮั่วซูกลายเป็นผู้ช่วยของเทียนซูได้โดยอาศัยความสามารถของนางไต่เต้าขึ้นมาเองจริงๆ
เวลานี้พอฮั่วซูเผชิญหน้ากับมู่ชิงอีเพียงลำพังเลยนึกประหม่าขึ้นมา นางไม่เข้าใจว่าว่าที่นายหญิงผู้นี้ให้ตนอยู่ต่อแต่กลับไม่พูดอะไรเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ นางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่า…นายหญิงมีเรื่องอันใดอยากรับสั่งหรือไม่เจ้าคะ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มแล้วยกมือขึ้นปิดปากกล่าว “ข้ายังไม่ได้แต่งงานกับหรงจิ่น แม่นางฮั่วไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่านายหญิง”
ฮั่วซูเค้นรอยยิ้มออกมาพลางกล่าว “นายหญิงก็คือนายหญิง”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามอย่างฉงน “เจ้ากลัวข้าหรือ” มู่ชิงอีไม่เข้าใจว่าคนไร้ความสามารถอย่างตนจะสร้างแรงกดดันอะไรให้ยอดฝีมืออันดับสามแห่งเมืองเทียนเชวียได้
ฮั่วซูส่ายศีรษะเอ่ย “เปล่าเจ้าค่ะ ก็แค่…ไม่ค่อยชินก็เท่านั้น” ความจริงจะโทษฮั่วซูก็ไม่ได้ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงและเป็นผู้ช่วยของเทียนซู เดิมทีฮั่วซูควรคอยอยู่ช่วยประสานงานจัดการธุระต่างๆ กับเทียนซูในเมืองเทียนเชวีย ทว่าตอนนี้กลับมาอยู่กับไคหยางได้ เหตุผลง่ายมาก…ก็เพราะเหมยอิ้งเสวี่ยเห็นฮั่วซูขัดตานั่นเอง
ในฐานะหญิงสาวผู้โดดเด่นเป็นอันดับสองของเมืองเทียนเชวีย แต่ไหนแต่ไรมาหรงจิ่นปฏิบัติต่อฮั่วซูดีกว่าเหมยอิ้งเสวี่ยอยู่บ้างเล็กน้อย อย่างน้อยฮั่วซูพูดอะไรหรงจิ่นก็ยังรับฟังบ้าง เพราะฮั่วซูพูดแต่เรื่องสำคัญ ทว่าเหมยอิ้งเสวี่ยกลับไม่คิดเช่นนั้น ไม่รู้ว่านางเกิดเป็นอะไรขึ้นมาถึงคิดว่าฮั่วซูเป็นภัยคุกคามของนางเลยจงใจหาแผนการร้อยแปดกลั่นแกล้งฮั่วซู หรงจิ่นไม่ได้อยู่เมืองเทียนเชวียมานาน ถึงแม้เทียนซูจะเป็นผู้ดูแลที่มีอำนาจสูงสุดในเมืองเทียนเชวียและเป็นหัวหน้ากลุ่มดาวหมีใหญ่ ทว่ากลับจัดการเหมยอิ้งเสวี่ยได้ยาก เขาจึงทำได้แค่ส่งตัวฮั่วซูมาช่วยงานไคหยางแทน
เพราะเหตุนี้คนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกับหรงจิ่นอย่างเหมยอิ้งเสวี่ยยังตั้งแง่กับนางขนาดนี้เลย มิน่าฮั่วซูถึงทำอะไรอย่างระมัดระวังต่อหน้ามู่ชิงอีมาก เหมยอิ้งเสวี่ยกลั่นแกล้งนางนางยังมาที่นี่ได้ เพราะเหมยอิ้งเสวี่ยไม่มีสิทธิ์มาที่นี่ แต่หากนายหญิงยังไม่ชอบขี้หน้านางด้วย ฮั่วซูก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนได้แล้วจริงๆ ไปจากเมืองเทียนเชวียหรือ นางเกิดและเติบโตที่นี่ คนที่นางคิดถึงและเป็นห่วงต่างอยู่ที่นี่กันหมด แล้วนางจะตัดใจไปจากที่นี่ได้อย่างไร
มู่ชิงอีเองก็ฉลาดเป็นกรดเช่นกัน พอเห็นสีหน้ากังวลลำบากใจเช่นนั้น จู่ๆ นางก็เข้าใจในทันทีเลยเลิกคิ้วถาม “เหมยอิ้งเสวี่ยกลั่นแกล้งเจ้าอย่างนั้นหรือ”