พอสัมผัสได้ถึงแววตาไม่พอใจของมู่ชิงอี หรงจิ่นขบคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตนควรปฏิบัติตัวดีๆ กับลูกน้องบ้าง ด้วยเหตุนี้หรงจิ่นจึงเอ่ยตามเหตุผล “หากเจ้าปกป้องชิงชิงเป็นอย่างดี ข้าก็จะมอบเทียนซูให้กับเจ้า”
ซวบ!…มู่ชิงอีที่เดิมทียื่นมือหมายจะจัดแจงเส้นผมบนบ่าให้หรงจิ่นแต่กลับกระชากเส้นผมของใครบางคนมากระจุกหนึ่ง
“ท่าน…ท่านเจ้าเมือง” ใบหน้าที่สุขุมเย็นชาของฮั่วซูในเดิมทีพลันแดงระเรื่อยิ่งกว่าผลผิงกั่วในทันที พร้อมเผยท่าทีเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ควรพูดเช่นไรดีเลยทำได้แค่มองไปทางมู่ชิงอีอย่างขอความช่วยเหลือ มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “ฮั่วซู เจ้าไปทำธุระก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านเจ้าเมืองเพียงลำพัง”
ฮั่วซูผ่อนลมหายใจพลางมองมู่ชิงอีแวบหนึ่งอย่างซาบซึ้งใจก่อนจะวิ่งหายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ชิงชิง…” หรงจิ่นเอ่ยคาดโทษอย่างน้อยใจ “เจ็บนะ”
มู่ชิงอีกลอกตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านพูดจาใช้สมองบ้างได้หรือไม่เพคะ”
หรงจิ่นเริ่มไม่พอใจขึ้นมา “นางชอบเทียนซู ข้ามอบเทียนซูตบรางวัลให้นาง นางควรจะซึ้งใจข้ามากกว่ามิใช่หรือ”
มู่ชิงอียิ้มเย็นชา “เช่นนั้นถ้าเทียนซูไม่ชอบใจเล่าจะทำเช่นไร ท่านจำได้หรือไม่ว่าสถานะของเทียนซูสูงกว่านาง หลายปีมานี้ดาวทั้งเจ็ดไม่กระทำการคัดค้านใดเพราะเวลาส่วนใหญ่ของท่านไม่ได้อยู่ในเมืองเทียนเชวียอย่างไรเล่า!”
เพราะระยะห่างช่วยก่อความรู้สึกดีๆ ขึ้น ดังนั้นทุกคนในเมืองเทียนเชวียยังพอหลอกตัวเองได้ว่าท่านเจ้าเมืองของพวกเขาเป็นบุรุษที่มีสติปัญญาเก่งกาจกว่าผู้ใดในใต้หล้า
พอพวกเขากลับมาถึงเมืองเทียนเชวียก็ปาไปช่วงบ่ายของอีกวันแล้ว ในเมื่อนานๆ ทีท่านเจ้าเมืองจะอยู่ในเมือง เรื่องต่างๆ ในเมืองจึงต้องทูลรายงานแก่ท่านเจ้าเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นพอกลับมาถึงและทานมื้อเที่ยงเสร็จ ผู้ดูแลเล็กใหญ่ภายในเมืองต่างก็ทยอยพากันมาขอเข้าเฝ้าเต็มไปหมด
ยามนี้เหมยอิ้งเสวี่ยติดตามพวกเทียนเฉวียนและเทียนเสวียนมาเฉกเช่นปกติแต่กลับถูกองครักษ์ตรงประตูขวางทางไว้ด้านนอกจวน
เหมยอิ้งเสวี่ยหน้าแดงด้วยความโมโหทันที ตวาดขึ้น “พวกเจ้าหมายความว่าเช่นไร”
องครักษ์เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “จวนท่านเจ้าเมืองเป็นสถานที่สำคัญ คนนอกห้ามเข้า”
“สามหาว!” เหมยอิ้งเสวี่ยก่นด่า “แหกตาของพวกเจ้าดูให้เต็มตา ข้าคือเหยากวง!”
“คารวะท่านเหยากวง” สององครักษ์รีบก้มหน้าทำความเคารพ เหมยอิ้งเสวี่ยยังไม่ทันเผยท่าทีย่ามใจก็ได้ยินเสียงเรียบของหญิงสาวดังแว่วมาจากด้านหลังก่อนว่า “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก”
พอหันกลับไปก็เห็นฮั่วซูที่นางเกลียดเข้ากระดูกสวมชุดคลุมสีดำปักลายเมฆสีเงินทั้งร่าง ตรงเอวเหน็บป้ายคำสั่งของเหยากวงไว้พลางยืนอยู่ด้านหลังด้วยท่าทีสง่า
“น้องสาว เจ้ากลับมาแล้วหรือ” เทียนเสวียนดีใจมาก ครั้นแววตาเหลือบไปเห็นป้ายคำสั่งตรงเอวฮั่วซูก็ยิ่งยิ้มกว้างมากกว่าเดิม “ยินดีกับเจ้าด้วย” เดิมทีตำแหน่งนี้ควรเป็นของฮั่วซู ตอนนี้เพิ่งได้มาก็นับว่าช้าไปหลายปีแล้ว ตลอดหลายปีนี้ฮั่วซูน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ไม่น้อย เพราะเทียนเสวียนสนิทสนมกับเทียนเฉวียนเลยไร้หนทางจะแสดงท่าทีใดได้ เขาเองก็รู้สึกระอายใจต่อฮั่วซูอยู่ไม่น้อย
“ฮั่วซู ยินดีกับเจ้าด้วย” เทียนเฉวียนพยักหน้า ถึงแม้เสียงจะเย็นชาแต่กลับแฝงความจริงใจไว้มากทีเดียว หากเทียบกับเหมยอิ้งเสวี่ยแล้ว ฮั่วซูเหมาะเป็นคนในกลุ่มดาวหมีใหญ่กว่าจริงๆ
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” ฮั่วซูพยักหน้าเอ่ย
“ป้ายคำสั่งของข้าไปอยู่ที่เจ้าได้อย่างไรกัน” เหมยอิ้งเสวี่ยร้องแหวเสียงสูง
ฮั่วซูเอ่ยเสียงนิ่ง “ย่อมเป็นแม่นางมู่กับท่านเจ้าเมืองประทานให้ข้าอยู่แล้ว”
“เหลวไหล! ข้าต่างหากที่เป็นเหยากวง!”
ฮั่วซูปิดปากเงียบกริบ เทียนเฉวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงขรึม “อิ้งเสวี่ย เลิกโวยวายได้แล้ว”
เหมยอิ้งเสวี่ยขึงตาจ้องเขาอย่างโมโห “เจ้าเองก็เข้าข้างนางหรือ” เทียนเฉวียนคลึงหว่างคิ้วอย่างปวดศีรษะเอ่ย “นี่เป็นการตัดสินใจของแม่นางมู่กับท่านเจ้าเมือง เจ้าคิดจะโวยวายอะไรอีก บทลงโทษคราวก่อนยังไม่พออีกหรือ”
“ไม่ พี่ชายไม่มีทางทำกับข้าเช่นนี้แน่…” เหมยอิ้งเสวี่ยโอดร้องอย่างไม่คิดเชื่อสักนิด “เป็นเพราะนังนั่นแน่ๆ ต้องเป็นนังนั่นทำเสน่ห์ใส่พี่ชายแน่นอน!”
ฮั่วซูขมวดคิ้ว “คุณหนูเหมย แม่นางมู่เป็นว่าที่นายหญิงของเมือง โปรดให้เกียรติกันบ้าง” แม่นางมู่คือผู้มีบุญคุณต่อนาง ใครก็ห้ามล่วงเกินเด็ดขาด
“ข้าจะทำ…”
“นี่กำลังทำอะไรกัน” เทียนซูย่างกรายเดินมาจากด้านนอกอย่างช้าๆ พอเห็นทุกคนก็มุ่นคิ้วเอ่ย “มาถึงแล้วทำไมถึงไม่เข้าไป ยืนอออยู่กันตรงนี้ทำไมกัน”
แต่ไหนแต่ไรมาผู้ดูแลทั้งเจ็ดต่างก็ให้ความยำเกรงต่อพี่ใหญ่ผู้นี้อย่างมากจึงรีบขานรับ จากนั้นแววตาของเทียนซูก็มาหยุดอยู่บนร่างฮั่วซู เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเอ่ย “กลับมาก็ดีแล้ว”
“เจ้าค่ะ…หัวหน้า” ฮั่วซูขบริมฝีปากแล้วพยักหน้ารับ
เทียนซูผงะไปเล็กน้อย “เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เหมือนเมื่อก่อนก็พอ”
“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่”
เทียนซูพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินเข้าจวนไป เทียนเสวียนมองสีหน้าที่ต่างกันไปของทั้งสามคนก่อนส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “หากถามโลกใบนี้ว่าความรักเป็นเช่นใด…”
ในเรือนของจวนท่านเจ้าเมือง
มู่ชิงอีและหรงจิ่นนั่งเคียงคู่กันตรงเก้าอี้หลัก ถึงแม้แรกเริ่มทุกคนจะยังไม่ค่อยคุ้นชินนัก แต่ภายใต้ใบหน้าที่ปรากฏเด่นหราว่าควรเป็นเช่นนั้น ทุกคนจึงยอมรับกันได้อย่างง่ายดาย
เหตุที่ไม่ค่อยคุ้นชินเพราะแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยเจอนายหญิงกระมัง อดีตท่านเจ้าเมืองมีชีวิตอยู่มาหกสิบเจ็ดสิบปีก็ไม่เคยตบแต่งมีภรรยามาก่อน มีคนแอบมองพลางครุ่นคิด แต่พอเห็นนานๆ เข้าก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดีเหมือนกัน
หรงจิ่นเอนกายลงบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายๆ เอ่ยเสียงเรียบ “นับแต่นี้ไปฮั่วซูจะดำรงตำแหน่งเหยากวง นอกจากนี้เทียนเฉวียน เทียนเสวียนและเหยากวงจะมีนายหญิงเป็นคนคอยดูแล เข้าใจหรือไม่”
ทุกคนแน่นิ่งไปก่อนขานรับอย่างพร้อมเพรียง
เช่นนี้ก็เท่ากับว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวท่านเจ้าเมืองก็เอาเรื่องปกครองภายในและเรื่องการเงินของเมืองเทียนเชวียที่เดิมทีควรเป็นของเหยากวงมอบหมายให้ว่าที่นายหญิงดูแลทั้งหมด ส่วนสี่คนที่เหลือ เทียนซูและไคหยางล้วนดูแลเรื่องการรบต่อสู้ อวี้เหิงและเทียนจีหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นได้ชัดว่าท่านเจ้าเมืองเตรียมมอบงานด้านการปกครองให้แก่นายหญิง ส่วนตัวเองก็ดูแลเรื่องการรบต่อสู้ไป เพียงแต่…สาวน้อยใบหน้างดงามตรงหน้าจะมีความสามารถหรือ คนมากมายอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ แต่ในเมื่อท่านเจ้าเมืองเปิดปากพูดเองเช่นนี้แล้วก็มิควรขัดขืน ส่วนปัญหาเรื่องความสามารถของนายหญิงคงต้องรอดูกันต่อไป
หลังจากรู้จักกันมาได้สองวัน เทียนเฉวียนและเทียนเสวียนย่อมเห็นความสามารถของมู่ชิงอีนานแล้ว อีกทั้งฮั่วซูยังเห็นมู่ชิงอีเป็นดั่งผู้มีพระคุณล้นฟ้าย่อมให้ความเคารพยำเกรงมากกว่าเดิม ทุกคนล้วนดูออกว่าพอมีผู้ดูแลบางส่วนเหล่านี้คอยน้อมรับคำสั่ง ไม่ว่าเช่นไรว่าที่นายหญิงผู้นี้ก็มีอำนาจมั่นคงเพียงพอในเมืองเทียนเชวียแล้ว
ครั้นเห็นท่าทีทุกคนเช่นนั้น หรงจิ่นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “อีกไม่กี่วันข้ากับชิงชิงต้องเดินทางออกจากเมืองเทียนเชวียแล้ว เทียนเสวียนและเหยากวงจะติดตามไปด้วย เรื่องในเมืองเทียนเชวียยังคงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของเทียนซูและเทียนเฉวียนเหมือนเดิม”
“พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ ท่านเจ้าเมือง”
“ทูลท่านเจ้าเมือง เทียนเฉวียนอยากขอติดตามท่านเจ้าเมืองและแม่นางมู่ออกนอกเมืองด้วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เทียนเฉวียนก้าวขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยท่าทียำเกรง
หรงจิ่นเอียงศีรษะแล้วกวาดตามองเทียนเฉวียนด้วยความสนใจ เขาย่อมมองความคิดที่เทียนเฉวียนมีต่อเหมยอิ้งเสวี่ยออก เพียงแต่มีเรื่องมากมายที่หรงจิ่นไม่อยากจะเข้าไม่ยุ่มย่ามด้วยก็เท่านั้น เพราะเห็นแก่หน้าของท่านน้าเลยไม่อยากให้เขาเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไป เขาฆ่าเหมยอิ้งเสวี่ยทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว หากเทียนเฉวียนรับได้ล่ะก็ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ดูท่าทาง…ตอนนี้เทียนเฉวียนคงไม่อยากได้นางแล้วกระมัง
“เจ้ามั่นใจหรือ”