ความจริงอายุของเซวียไฉ่อีมากกว่าอายุของมั่วเวิ่นฉิงถึงสี่ห้าปี แต่หากเทียบบุรุษอายุสามสิบปีกับหญิงสาวอายุสามสิบปีกลับแตกต่างกันมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มั่วเวิ่นฉิงอายุยังไม่ครบสามสิบปีดีด้วยซ้ำ อีกทั้งในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ย่อมชำนาญการดูแลร่างกายเป็นธรรมดา ดูจากลักษณะของมั่วเวิ่นฉิงแล้วยิ่งเหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ มากกว่า ในทางกลับกันเซวียไฉ่อีที่อายุสามสิบปีกว่าๆ ถึงแม้ความงามจะยังคงอยู่ แต่เพราะอยู่ในแวดวงยุทธภพมานานจึงแผ่กลิ่นอายของคนยุทธภพไปทั่วร่าง เรียกได้ว่าเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูงดงามตามวัยเท่านั้น ซึ่งเห็นแล้วเลยดูห่างจากมั่วเวิ่นฉิงเกือบรอบปีเลยก็ว่าได้
“ช่างเหิมเกริมนัก!” กลุ่มหญิงสาวของสำนักหอไฉ่อีตวาดใส่ พวกนางให้ความเคารพเลื่อมใสเซวี่ยไฉ่อี แล้วจะทนการหยามเหยียดของไท่สื่อเหิงได้อย่างไร จากนั้นก็ลงมือเหี้ยมโหดมากกว่าเดิม พอไท่สื่อเหิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบคิดหาทางหนี แต่ลำพังเขาคนเดียวจะต้านทานดาบที่พุ่งเข้ามาเจ็ดแปดเล่มพร้อมกันได้อย่างไร
“ช่วยด้วย!”
สายตาของผู้รอบรู้ในยุทธภพย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้นเขาเลยกระโจนหนีไปทางหรงจิ่นและมู่ชิงอีที่กำลังดูเรื่องสนุกๆ อยู่อีกฝั่งโดยตรง “คุณชายอวิ๋นอิ่น ช่วยข้าที”
หรงจิ่นยืนแน่นิ่งไม่ขยับ ไท่สื่อเหิงหลบอยู่ด้านหลังพวกเขาทั้งสองคนแล้วใช้มือข้างหนึ่งดึงแขนเสื้อของมู่ชิงอีเอาไว้พลางกล่าว “แม่นาง ช่วยข้าด้วย”
หรงจิ่นก้มหน้าลง จากนั้นก็ปัดมือที่จับแขนเสื้อของเขาออกด้วยสายตาราบเรียบ ทว่าไท่สื่อเหิงกลับรู้สึกเหมือนถูกมีดเล่มหนึ่งฟาดฟันมากกว่าจึงรีบคลายมือออกก่อนยิ้มเอ่ยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนใจ “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเป็นสุภาพชนแน่นอน”
“ไท่สื่อเหิง หลบหลังคนอื่นเช่นนี้จะเรียกว่าวีรบุรุษได้ที่ไหนกัน”
ไท่สื่อเหิงยังคงแอบอยู่ด้านหลังมู่ชิงอี “แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษมาก่อน อีกอย่างผู้หญิงอำมหิตอย่างพวกเจ้าจะเรียกว่าเป็นผู้หญิงได้เช่นใดกัน มิน่าเล่ามั่วเวิ่นฉิงถึงเพิกเฉยต่อเซวียไฉ่อี ถ้าข้าเป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ ข้ายอมเอามือทิ่มตาทั้งสองข้างก็ไม่มีทางมองพวกเจ้าหรอก”
คุณชายไท่สื่อเหิงปากคอเราะร้ายแบบนี้ก็สมควรตายแล้วจริงๆ
ผู้หญิงกลุ่มนั้นโมโหจนหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็ใช้ดาบยาวชี้หน้าหรงจิ่นและมู่ชิงอีกล่าว “ทางที่ดีพวกเจ้าทั้งสองคนอย่ายุ่งจะดีกว่า ถอยไป”
หรงจิ่นเหลือบมองพวกนางแวบหนึ่ง ทว่ากลับไม่คิดถือสาเอาความพวกนางเลยสักนิดซึ่งนานทีจะเห็นสักครั้ง
“ชิงชิง พวกเราไปกันเถิด” ไท่สื่อเหิงเป็นสหายของชิงชิง หากตนลงไม้ลงมือฆ่าเขาชิงชิงคงโกรธแย่ ดังนั้น…ปล่อยให้ไท่สื่อเหิงถูกผู้หญิงของสำนักหอไฉ่อีฆ่าตายก็แล้วกัน
มู่ชิงอีเอือมระอาสุดขีด “แม่นางทั้งหลาย ปล่อยได้ก็ปล่อยไปเถิด ในเมื่อคุณชายท่านนี้ก็บอกแล้วว่าเขาไม่รู้ว่าเจ้าสำนักเย่าหวังกู่อยู่ที่ใด”
เสียงใสกังวานดั่งสายธารในหุบเขา น้ำเสียงสงบดั่งค่ำคืนจันทร์เพ็ญในฤดูใบไม้ร่วง ไท่สื่อเหิงเบิกตากว้างแฝงไปด้วยความตกตะลึง เพียงได้ยินเสียงก็ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความงามแล้ว ไม่ว่ารูปโฉมจะเป็นเช่นใดแต่บุคลิกนั้นช่างสง่างาม อีกทั้งไท่สื่อเหิงรับประกันได้เลยว่าภายใต้ผ้าปิดหน้านั้นต้องซ่อนใบหน้าอันงดงามไว้แน่นอน
หญิงสาวที่เป็นหัวหน้ามองมู่ชิงอีและหรงจิ่น พลันประกายความอิจฉาก็ปรากฏพาดผ่านแววตา ยิ้มเยาะเอ่ย “สำนักหอไฉ่อีทำอะไรไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างเจ้ามาพร่ำบอก ในเมื่อไม่หลบก็ฆ่าเจ้าก่อนแล้วกัน!”
ขณะที่พูดก็ง้างดาบพุ่งมาแทงมู่ชิงอี หรงจิ่นขมวดคิ้วแล้วคว้าร่างมู่ชิงอีมาในคราวเดียว ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นดีดบนดาบที่พุ่งมากลางอากาศเบาๆ ทีหนึ่ง หญิงสาวที่เต็มไปด้วยกำลังวังชาในเดิมทีพลันรู้สึกชาวาบไปทั้งแขน จากนั้นดาบยาวในมือก็ร่วงลงพื้น ในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นคาวเลือดพุ่งขึ้นมาจากลำคอพร้อมเลือดสีแดงที่ไหลรินออกมาจากริมฝีปาก
“อ๊าก...”
“พี่หญิงใหญ่ เป็นอะไรไป” ผู้หญิงกลุ่มนั้นเลิกสนใจไท่สื่อเหิงแล้วรีบเข้าไปประคองแม่นางผู้นั้นไว้พลางเอ่ยอย่างร้อนใจ ในขณะเดียวกันก็จับจ้องหรงจิ่นด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของไท่สื่อเหิงขึ้นมาได้ “เจ้า…เจ้าคือคุณชายอวิ๋นอิ่นหรือ”
คุณชายอวิ๋นอิ่นฆ่าใครไม่มีแบ่งดีชั่วหรือชายหญิงทั้งสิ้น และไม่มีความคิดหลีกเลี่ยงการฆ่าผู้หญิงดั่งคนในยุทธภพทั่วไปอย่างสิ้นเชิง หากหาเรื่องเขาก็ต้องมีแต่คำว่าตายเท่านั้น
“คุณชายอวิ๋นอิ่น พวกข้าไม่รู้ว่าคุณชายจะมาด้วย หากล่วงเกินไปต้องขออภัยด้วย” คนของสำนักหอไฉ่อีก็ใช่ว่าจะไม่รักชีวิตเสียทีเดียว ต่อให้เกลียดผู้ชาย แต่หากต้องเผชิญกับเทพชั่วร้ายอย่างอวิ๋นอิ่นก็คงทำได้แค่นอบน้อมเข้าไว้
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “วันนี้ข้าอารมณ์ดี ไม่ฆ่าใคร พวกเจ้าไปเถิด”
“รับทราบ” จากนั้นก็มองไท่สื่อเหิงที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นอิ่นแวบหนึ่งอย่างไม่ชอบใจ ทุกคนเองก็ไม่กล้าคิดเล็กคิดน้อยด้วยจึงประคองร่างสาวชุดสีม่วงนั้นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงขยับดีดนิ้วเบาๆ นิดเดียว ทว่ากลับสกัดวิทยายุทธของคนที่มีวิทยายุทธแกร่งกล้าที่สุดในบรรดาพวกนางจนใช้การไม่ได้ ความสามารถเช่นนี้ไม่ใช่คนที่พวกนางจะหาเรื่องได้เลย
ใช่ว่าหรงจิ่นจะยอมปล่อยสาวชุดม่วงคนนั้นไปจริงๆ ผู้หญิงที่อยู่ในยุทธภพคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงในยุทธภพที่ใบหน้าสะสวยแต่สร้างศัตรูไว้ไม่น้อยเช่นนี้ หลังจากถูกทำลายวิทยายุทธแล้วจะมีจุดจบแบบไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว เซวียไฉ่อีไม่ใช่คนจิตใจดีออมมือให้ใครแต่อย่างใด ผู้หญิงที่วิทยายุทธไม่เก่งกาจแถมยังล่วงเกินคุณชายอวิ๋นอิ่นอย่างนางจะยังถูกเก็บเลี้ยงดูอยู่ในสำนักหอไฉ่อีได้อีกหรือ
ในเมื่อไม่มีเรื่องสนุกๆ ให้ดูแล้ว ทุกคนจึงค่อยๆ ทยอยแยกย้ายกันไป ถึงแม้มีคนไม่น้อยอยากสอบถามข่าวคราวจากไท่สื่อเหิง แต่ขนาดสำนักหอไฉ่อีล่วงเกินคุณชายอวิ๋นอิ่นไม่ไหว พวกเขาเองก็ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย
ในที่สุดไท่สื่อเหิงก็หลุดพ้นจากพวกสำนักหอไฉ่อีมาได้ จากนั้นก็ฉีกยิ้มอย่างเริงร่าขึ้นมาทันที “ขอบคุณบุญคุณของคุณชายอวิ๋นอิ่นและแม่นางในครั้งนี้ด้วย ข้าไท่สื่อเหิง หากต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใดทั้งสองโปรดเปิดปากมาได้เลย”
หรงจิ่นลากมู่ชิงอีหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองไท่สื่อเหิงสักนิด
“เอ๊ะ! นี่หมายความว่าอย่างไรกัน” ไท่สื่อเหิงยืนมึนงง หรือคุณชายอวิ๋นอิ่นจะฟังไม่ออกที่เขาต้องการสื่อว่าหากอยากรู้เรื่องใดก็ให้ถามมาได้เลยอย่างนั้นหรือ ครั้นเห็นคู่รักดั่งกิ่งทองใบหยกเดินจากไปเช่นนั้น ไท่สื่อเหิงก็กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะรีบเดินตามไปทันที
“แม่นาง แม่นาง ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอันใดหรือ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “คุณชายไท่สื่อ” เขาเบิกตาโพล่ง “เจ้า…เจ้าคือองค์หญิงหมิงเจ๋อ?” ไม่แปลกที่ไท่สื่อเหิงจะตกใจ ถึงแม้เขาจะสนใจเรื่องลับๆ ในยุทธภพ แต่เพราะสนิทสนมกับกู้อวิ๋นเกอเลยพอจะรู้เรื่องในเมืองหลวงแคว้นหวาอยู่บ้าง ว่ากันว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อถูกมู่หรงอวี้ทำร้ายและหาตัวไม่พบ จากนั้นก็ไร้ข่าวคราวใดอีก เหตุใดตอนนี้ถึงมาอยู่กับคุณชายอวิ๋นอิ่นได้เล่า
อีกอย่างสองวันมานี้ได้ยินว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นพาตัวฮูหยินมาด้วย หรือว่า…องค์หญิงหมิงเจ๋อจะตบแต่งกับคุณชายอวิ๋นอิ่นแล้ว ไท่สื่อเหิงนึกเสียดายอยู่บ้าง องค์หญิงหมิงเจ๋อเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ แถมว่ากันว่าเป็นสาวงามล่มเมืองไม่ด้อยไปกว่ากู้อวิ๋นเกอในตอนนั้นด้วย ถึงขั้นเป็นสาวงามเลยนะ…
“ไท่สื่อเหิง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเสีย” เสียงอึมครึมของหรงจิ่นดังขึ้นข้างหู
ไท่สื่อเหิงรีบเบือนสายตาที่จับจ้องมู่ชิงอีไปทางอื่นอย่างละอายใจ มู่ชิงอีฉีกยิ้มส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย ปกติไท่สื่อเหิงมักทำตัวกระโดกกระเดกจนชวนให้ใครต่อใครอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาได้ฉายานามผู้รอบรู้ในยุทธภพมาได้อย่างไร แต่ความจริงแค่ได้ทำความรู้จักสักครั้งสองครั้งก็จะรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนมีเจตนาร้ายอะไร ต่อให้เห็นสาวงามก็แค่มองเชยชมเท่านั้น ต่างจากผู้ชายทั่วไปที่มีความคิดอกุศลเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
“องค์หญิง ข้าขอติดตามพวกท่านไปด้วยได้หรือไม่” พอเห็นหรงจิ่นแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกทั่วร่าง ไท่สื่อเหิงเลยตัดสินใจว่าหารือกับมู่ชิงอีจะดีกว่า
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “คุณชายไท่สื่อเรียกข้าว่าแม่นางมู่ก็พอแล้ว อย่าเรียกว่าองค์หญิงอีกเลย”