ไท่สื่อเหิงพยักหน้าเชิงเข้าใจดี แล้วถามด้วยท่าทีกระตือรือร้นว่า “ได้หรือไม่”
มู่ชิงอีถามอย่างแปลกใจ “ทำไมเล่า”
ไท่สื่อเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “ระยะนี้มีคนมาวุ่นวายกับข้าไม่น้อยเลยจริงๆ โดยเฉพาะกลุ่มหญิงบ้าคลั่งอย่างสำนักหอไฉ่อี ตระกูลไท่สื่อของเราเป็นตระกูลในตำนานของยุทธภพย่อมรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ใช่ว่าจะเป็นเทพแห่งยุทธภพเสียหน่อย ข้าจะไปรู้ได้เช่นใดว่ามั่วเวิ่นฉิงไปหลบอยู่ที่ใดกัน”
“มั่วเวิ่นฉิงอยู่ในเมืองเผิงหรือ”
ไท่สื่อเหิงชั่งใจครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเอ่ย “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่ามั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่ใด แต่เขาอยู่ในเมืองเผิงแน่นอน แม่นางมู่ พาข้าไปด้วยเถิด ข้ามีประโยชน์แน่นอน”
มู่ชิงอีอมยิ้มกล่าว “ผู้รอบรู้ในยุทธภพเต็มใจไปกับพวกเรา ขนาดคนมากมายเฝ้าวิงวอนยังไม่สมปรารถนาเลย”
“กล่าวเช่นนี้ เจ้ายอมแล้วหรือ” ไท่สื่อเหิงยิ้มอย่างดีใจ
มู่ชิงอีพยักหน้าเบาๆ ก่อนหันไปมองหรงจิ่นข้างกาย
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาทีหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ไท่สื่อเหิงมองมู่ชิงอีแล้วอดยอมรับไม่ได้ว่า “แม่นางมู่…ช่างละม้ายคล้ายคลึงแม่นางกู้มากจริงๆ”
มู่ชิงอีผงะไปเล็กน้อย ยิ้มเอ่ย “คุณชายไท่สื่อรู้จักพี่หญิงด้วยหรือ”
ไท่สื่อเหิงถอนหายใจอย่างหดหู่แต่ไม่ปริปากพูดอะไรอีก หญิงสาวผู้มีใบหน้าสะสวยสง่างามเช่นนั้นกลับฝังตัวเองท่ามกลางกองไฟลุกโชน เขาไม่ทันแม้แต่จะได้เจอหน้านางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ รอกระทั่งเขาได้รับข่าวคราวแล้วรีบวิ่งกลับมาเมืองหลวงแคว้นหวา นางก็กลายเป็นเถ้าธุลีไปนานแล้ว
ออกมาชมดอกไม้ ทว่าไท่สื่อเหิงกลับไม่เห็นดอกไม้งามสักดอกแต่ได้เจอคนรู้จักแทน ท่ามกลางพวกเขาสามคน หรงจิ่นเผยสีหน้าอึมครึมดุดัน มู่ชิอีผุดรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้า ส่วนไท่สื่อเหิงก็กลับไปพักเรือนส่วนตัวด้านหลังหอมู่หวาด้วยท่าทีสดใสร่าเริง
ครั้นเห็นเรือนหรูหราโอ่อ่าด้านหลังโรงเตี๊ยมที่ตกแต่งอย่างงดงาม ไท่สื่อเหิงก็ยิ่งดีอกดีใจขึ้นมาทันที “บัดนี้หากคิดจะหาโรงเตี๊ยมดีๆ ในเมืองเผิงสักที่กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โชคดีที่ตามคุณชายอวิ๋นอิ่นกับแม่นางมู่มา”
เทียนเฉวียนและฮั่วซูจับจ้องชายที่สวมชุดราวกับบัณฑิตในชุดผ้าป่านที่ไม่รู้ความเป็นความตายของตนเองตรงหน้าอย่างตกตะลึง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือด้านใด แต่หากถึงขั้นกล้าข่มรัศมีของท่านเจ้าเมืองเช่นนี้ กระทั่งกล้ากระตุกหนวดเสือด้วยล่ะก็ เขาคงเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
“แม่นางมู่ คุณชายผู้นี้คือ…?” เทียนเฉวียนมองหรงจิ่น ก่อนตัดสินใจหันไปหามู่ชิงอี มู่ชิงอีอมยิ้มกล่าว “ท่านผู้นี้คือคุณชายเหวินหวาไท่สื่อเหิง”
ฮั่วซูนึกออกขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็ผู้รอบรู้ในยุทธภพนี่เอง เป็นเกียรตินักที่ได้เจอ” มิน่าเล่าท่านเจ้าเมืองถึงพาเขากลับมาด้วย ไท่สื่อเหิงลูบจมูกปอยๆ ก่อนประสานมือกล่าว “ช่างละอายใจนัก แค่สมญานามจอมปลอมเท่านั้น”
ฮั่วซูฉีกยิ้มสดใสเอ่ย “คุณชายไท่สื่อถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้ามีข้อสงสัยอยากขอคำชี้แนะจากคุณชายไท่สื่อพอดีเลย เช่นนั้นเราไปสนทนากันในห้องหนังสือดีหรือไม่เล่า”
“คือว่า” ไท่สื่อเหิงชะงักไป ขณะที่จะปฏิเสธ ฮั่วซูก็ยื่นมือไปลากเขาแล้ว “คุณชายไท่สื่อไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ข้ามาขอคำชี้แนะจากใจจริง เชิญเถิด”
ถึงแม้ไท่สื่อเหิงจะมีวิทยายุทธติดตัวบ้าง แต่หากเทียบกับฮั่วซูที่จัดอยู่ในลำดับที่สามของเมืองเทียนเชวียแล้วกลับห่างชั้นกันไม่น้อย ไม่ทันแม้แต่จะต้านทานนางก็ถูกฮั่วซูลากไปอย่างราบรื่นแล้ว ถึงแม้เมืองเทียนเชวียจะรับรู้ข่าวสารว่องไว แต่ตำแหน่งเหยากวงที่เพิ่งถูกแต่งตั้งมาได้ไม่กี่ปีจะเทียบกับตระกูลไท่สื่อที่อยู่ในแดนยุทธจักรมาหลายร้อยปีได้อย่างไร อย่างน้อยก็รู้เรื่องราวมากมายในยุทธภพไม่น้อย ฉะนั้นไท่สื่อเหิงย่อมรู้เรื่องมากกว่าพวกเขาเป็นเท่าตัวแน่นอน ผู้มากความสามารถเช่นนี้หากไม่เค้นถามอะไรสักหน่อยคงเสียดายแย่มิใช่หรือ
เทียนเฉวียนมองเงาแผ่นหลังของฮั่วซูที่ลากไท่สื่อเหิงจากไปก่อนขมวดคิ้วยิ้มเอ่ย “ข้าเองก็ขอทำความรู้จักคุณชายไท่สื่อสักหน่อย
“แม่นางมู่…” ขณะที่ไท่สื่อเหิงกำลังจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือก็ถูกข่มไว้อย่างไร้ความปรานี จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็หายลับไปในสวน
“นี่…” มู่ชิงอีนึกสงสัยอยู่บ้าง ทว่าหรงจิ่นกลับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ถึงแม้ฮั่วซูจะเป็นผู้หญิง แต่ทำอะไรว่องไวเฉลียวฉลาดนัก เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ
“ชิงชิงวางใจเถิด พวกเขาไม่ทำร้ายไท่สื่อเหิงหรอก” หรงจิ่นเอ่ยปลอบเสียงเบา
มู่ชิงอีคิดๆ แล้วก็เห็นด้วย ฮั่วซูและเทียนเฉวียนเป็นคนทำอะไรมีขอบเขต ถึงแม้ไท่สื่อเหิงรั้นจะตามมาด้วย คิดว่าเขาเองก็พอจะตระหนักได้บ้างแล้ว
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฮั่วซูและเทียนเฉวียนที่ใบหน้ามีชีวิตชีวากับไท่สื่อเหิงที่เผยสีหน้าไร้เรี่ยวแรงก็ปรากฏต่อหน้าพวกเขาอีกครั้ง ครั้นเห็นสีหน้าบูดบึ้งไร้ชีวิตชีวาของไท่สื่อเหิงเช่นนั้น มู่ชิงอีจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณชายไท่สื่อยังสบายดีอยู่หรือไม่”
ไท่สื่อเหิงเหลือบมองนางเชิงคาดโทษแวบหนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้าสบายดีไหมเล่า”
มู่ชิงอีพูดไม่ออก ไท่สื่อเหิงจับจ้องไปที่หรงจิ่น จากนั้นสีหน้าก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นจะเป็น…จะเป็นท่านเจ้าเมืองเทียนเชวีย!”
หรงจิ่นมองไปทางเทียนเฉวียน เทียนเฉวียนเอ่ยเสียงขรึม “เขาเดาออกเอง” ในตอนนี้คนที่เข้าใจเรื่องเมืองเทียนเชวียมากที่สุดคงมีเพียงตระกูลไท่สื่อแล้ว ไท่สื่อเหิงสามารถเดาสถานะของหรงจิ่นออกจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แต่ไท่สื่อเหิงยอมเดาไม่ออกเสียยังดีกว่า บัดนี้ในยุทธภพวุ่นวายมากพอแล้ว แม้แต่เมืองที่ปิดเป็นความลับอย่างเมืองเทียนเชวียยังสอดเท้าเข้ามายุ่งด้วย ดูท่าทางแรงดึงดูดของหญ้าเซียนเก้าเมฆาจะน่าทึ่งไม่น้อย
หรงจิ่นพยักหน้าแล้วจับจ้องไท่สื่อเหิงพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นคงต้องรบกวนคุณชายไท่สื่อเล่าเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาแล้ว”
ไท่สื่อเหิงเผยสีหน้าขมขื่น มองหรงจิ่นอย่างระมัดระวัง “หากข้าไม่พูดจะเป็นอย่างไรบ้าง”
หรงจิ่นยิ้มบางกล่าว “เห็นแก่ชิงชิง ข้าก็คงไม่ทำอะไรเจ้า” ขณะที่ไท่สื่อเหิงกำลังผ่อนลมหายใจก็ได้ยินเสียงเย็นยะเยือกของหรงจิ่นดังขึ้นต่ออีกว่า “แต่ข้าจะเป็นคนเอาตัวเจ้าไปให้เซวียไฉ่อีเองกับมือ”
ใบหน้าผ่อนคลายของไท่สื่อเหิงพลันย่นเข้าหากันทันที มองทุกคนที่นั่งอยู่อย่างเอือมระอา จากนั้นก็เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “คือว่า…ความจริงแล้วบนโลกใบนี้ไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาหรอก”
หรงจิ่นเองก็ไม่ได้ใจร้อนอะไร เขาดีดนิ้วด้วยท่าทีสบายๆ พลางมองไท่สื่อเหิงแน่นิ่ง ไท่สื่อเหิงเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจว่า “ข้าไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นอกจากคนผู้นั้นที่เคยเห็นหญ้าเซียนเก้าเมฆาก็ตั้งร้อยกว่าปีก่อนแล้ว หากมีเจ้านั่นจริงๆ ต่อให้ในตำราประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกไว้ แต่อย่างน้อยในตำราประวัติศาสตร์ของชาวบ้านที่ไม่ได้รับการยอมรับก็น่าจะมีบันทึกบ้างมิใช่หรือ”
เทียนเฉวียนเอ่ย “หากกล่าวว่าเมื่อก่อนไม่เคยมีใครพบเห็นจะเป็นไปไม่ได้เลยหรือ”
ไท่สื่อเหิงกลอกตาใส่ “หากเจ้านั่นอัศจรรย์มากขนาดนั้นจริงคงไม่ได้งอกขึ้นมาได้เพียงชั่วข้ามคืนกระมัง ถ้ามีเมื่อนานมาแล้วจริงๆ อย่างน้อยก็น่าจะต้องใช้เวลานานมากถึงจะเติบโต เหตุใดยาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยปรากฏเลยเมื่อหลายพันปีก่อนกลับโผล่มาในร้อยปีนี้อย่างกะทันหันได้เล่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…นอกจากหันเวิ่นเทียนแล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาหน้าตาเป็นเช่นไรเป็นคนที่สองอีก แล้วคนที่เห็นหญ้าเซียนเก้าเมฆาครั้งนี้จะมั่นใจได้เช่นไรว่านั่นคือหญ้าเซียนเก้าเมฆาเล่า”
หรงจิ่นพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ “พูดมีเหตุผล เช่นนั้น…คุณชายไท่สื่อก็บอกข้าอีกหน่อยว่าเหตุใดตอนนั้นจู่ๆ จากยอดฝีมือธรรมดาคนหนึ่งถึงกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ กระทั่ง…ใช้ชีวิตอยู่มาตั้งนานและดูหนุ่มแน่นมาตลอดกาลเลยเล่า”
“เรื่องนี้ก็…” ไท่สื่อเหิงเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยว่า “ความจริงตระกูลไท่สื่อก็ศึกษามานานเช่นกัน แต่สมบัติที่ช่วยยืดอายุให้อยู่ยืนยาวแถมเพิ่มกำลังวิทยายุทธด้วยก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย อย่างเช่นยาอายุวัฒนะของเย่าหวังกู่ช่วยให้คนอายุหกสิบปีรักษาใบหน้าให้อ่อนกว่าวัยราวกับอายสามสิบปีได้ อีกทั้งยังมีโสมหยกม่วงและหญ้าศักดิ์สิทธิ์พันปี ว่ากันว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเสริมสร้างวิทยายุทธได้ดีเช่นกัน ดังนั้นตระกูลไท่สื่อสงสัยว่าตอนนั้นหันเวิ่นเทียนคงค้นเจอแหล่งสมบัติชั้นดีแห่งหนึ่งแน่นอน แต่ด้านในน่าจะเป็นพวกยาล้ำค่าหายากและตำราลับวิทยายุทธเท่านั้น แต่ไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาที่ทุกคนใฝ่ฝัน”