มู่ชิงอีเงียบกริบไม่พูดอะไร นางคงบอกเว่ยอู๋จี้ไม่ได้ว่าเพราะเขาเคยรังแกหรงจิ่นในช่วงวัยเยาว์ ดังนั้นใครบางคนที่จิตใจคับแคบเลยผูกพยาบาทเขามาจนถึงตอนนี้กระมัง
มู่ชิงอีชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เรื่องนี้ข้าจะพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วกัน แต่หากไม่สำเร็จ…คุณชายเว่ยเข้าใจใช่หรือไม่” ด้วยนิสัยของหรงจิ่น หากกำหนดไว้แล้วว่าจะเกลียดคนๆ หนึ่ง ถ้าเขายังเหยียบไม่ตายคงไม่มีทางล้มเลิกแน่นอน เว่ยอู๋จี้ควรดีใจเพราะเขาร่ำรวย อิทธิพลกว้างขวาง แถมมีวิทยายุทธ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้หรงจิ่นจึงทำอะไรเขาไม่ได้เลยเลือกที่จะสร้างความวุ่นวายมาก่อกวนเขาแทน
ขณะที่คนบนโต๊ะกำลังสนทนากันก็มีบุรุษชุดขาวคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากด้านล่างอย่างช้าๆ ฉับพลันบรรยากาศที่คึกคักครึกครื้นในเดิมทีก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็เห็นบุรุษชุดขาวทั้งร่างดั่งหิมะ สีหน้าเย็นชาราบเรียบดั่งเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมองดูแล้วชวนให้รู้สึกน่ายำเกรงไม่น้อย เขากวาดตามองรอบๆ ชั้นสอง สุดท้ายพอเลื่อนสายตามาจับจ้องโต๊ะของพวกเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงตรงตำแหน่งมุมด้านในสุดที่ไม่มีคน
“มั่ว…มั่วเวิ่นฉิง” ไท่สื่อเหิงเอ่ยเสียงเบา
ถึงแม้เจ้าสำนักเย่าหวังกู่จะโด่งดังทั่วทั้งใต้หล้า แต่คนที่เคยเจอมั่วเวิ่นฉิงจริงๆ กลับมีไม่มาก ถึงแม้ตอนนี้คนที่นั่งอยู่บนชั้นนั้นล้วนเป็นคนในยุทธภพ แต่คนที่จำมั่วเวิ่นฉิงได้มีแค่เว่ยอู๋จี้ มู่ชิงอีและไท่สื่อเหิงเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าไปรบกวนความสงบของเขา
ต่อมาก็เห็นมั่วเวิ่นฉิงสั่งชาเขียวถ้วยหนึ่งแล้วนั่งดื่มอยู่ตรงมุมนั้นเพียงลำพัง ราวกับสายตาใคร่รู้ทุกคู่และเสียงถกเถียงรอบกายเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอย่างสิ้นเชิง
เว่ยอู๋จี้พยักหน้าอย่างชื่นชมกล่าว “เจ้าสำนักเย่าหวังกู่สง่างามเหนือใครจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่คนแบบนี้…ไม่น่าเข้ามาเกี่ยวพันกับสังคมอันวุ่นวายนี้เลย”
มู่ชิงอีพยักหน้าเห็นด้วย โดยนิสัยมั่วเวิ่นฉิงแล้วเป็นคนเย็นชาจึงไม่สนใจเรื่องต่างๆ รอบกายนัก ให้ความรู้สึกเหมือนลอยตัวอยู่เหนือคนรอบด้านตัดขาดจากโลกภายนอกก็ว่าได้ คนแบบนี้เหมาะจะเป็นนักพรตที่เก็บตัวเงียบไม่ออกมาเลยถึงจะถูก พอเข้ามาเกี่ยวพันกับสังคมอันวุ่นวายเช่นนี้เลยเลี่ยงความยุ่งยากที่ไม่รู้จบได้ยาก
“มั่วเวิ่นฉิงปรากฏตัวแล้ว เซวียไฉ่อีก็คงอีกไม่นานหรอกกระมัง” ไท่สื่อเหิงเอ่ยพึมพำเสียงเบา
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วเอ่ย “ข้ามีโอกาสได้เจอเจ้าสำนักไฉ่อีครั้งหนึ่ง ความจริงนับว่าเป็นสาวงามซึ่งหาเห็นได้ยากนัก คิดไม่ถึงว่าเลยคุณชายไท่สื่อจะหวาดกลัวถึงขั้นนี้”
ไท่สื่อเหิงยิ้มขมขื่นกล่าว “ทั่วทั้งยุทธภพมีใครไม่กลัวผู้หญิงของสำนักไฉ่อีบ้างหรือ” ย่อมต้องยกเว้นคนอย่างเว่ยอู๋จี้อยู่แล้ว ด้วยอำนาจทางการเงินของเว่ยอู๋จี้ ต่อให้องค์หญิงที่หยิ่งผยองที่สุดก็ยังต้องสงบเสงี่ยมต่อหน้าเขาเลย ลำพังแค่สำนักไฉ่อีจะน่ากลัวได้เช่นใด
เป็นไปตามคาด เพราะไม่นานหลังจากนั้นกลุ่มสาวงามชุดหลากสีกลุ่มหนึ่งก็เดินขึ้นมา หญิงสาวคนสุดท้ายที่เดินขึ้นมาสวมชุดสีขาว ใบหน้างดงามหมดจด ตรงหว่างคิ้วแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน ความอ่อนช้อยบอบบางของเชียนหลิงชวนให้น่าทะนุถนอม แต่เสน่ห์เย้ายวนของนางกลับชวนให้บุรุษหลงใหลได้อย่างง่ายดายเสียยิ่งกว่า เพียงแต่ความสง่างามสูงส่งไร้ใครเทียมและใบหน้าอันงดงามในเดิมทีกลับถูกชุดสีขาวดั่งหิมะที่นางสวมใส่อยู่กลบเสน่ห์อันน่าเย้ายวนลงไม่น้อย
เซวียไฉ่อีเดินขึ้นบันไดมา ทว่าไม่ได้มองใครในนั้นเลย กระทั่งเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างเว่ยอู๋จี้ยังถูกนางกวาดตามองแวบเดียวเท่านั้น จากนั้นสายตาก็หันไปจับจ้องร่างบุรุษหนุ่มเย็นชาที่สวมชุดขาวดั่งหิมะตรงมุมด้านในสุดแน่นิ่ง
นางย่างกรายอย่างช้าๆ เดินเข้าไปข้างโต๊ะของมั่วเวิ่นฉิงก่อนฉีกยิ้มงามเอ่ย “เจ้าสำนักมั่ว ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ในเมื่อเจ้าสำนักมั่วมาเยือนถึงเมืองเผิงแล้ว เหตุใดถึงไม่ไปสังสรรค์ที่สำนักไฉ่อีสักหน่อยเล่า”
มั่วเวิ่นฉิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วใช้แววตาสงบนั้นจับจ้องเซวียไฉ่อี เซวียไฉ่อีขบริมฝีปากนุ่มเบาๆ พลางยืนมองเขาพร้อมนัยน์ตาที่ทอประกายความหวังอยู่ข้างโต๊ะ
ทุกคนต่างอดอิจฉาในความโชคดีของบุรุษชุดขาวผู้นี้ไม่ได้ ถึงแม้ชื่อเสียงของสำนักไฉ่อีจะไม่ค่อยดีนัก แต่เซวียไฉ่อีก็นับเป็นสาวงามเหนือใครคนหนึ่งจริงๆ
ขณะที่ทุกคนกำลังเงี่ยหูตั้งใจจะแอบฟังว่ามั่วเวิ่นฉิงจะพูดอะไรอยู่นั้น ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงเย็นยะเยือกของมั่วเวิ่นฉิงดังขึ้นว่า “เจ้าเป็นใครหรือ”
พรูด!
คนที่พ่นน้ำไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่นอน ไท่สื่อเหิงหน้าซีดลงทันที จากนั้นก็ไอเบาๆ สองสามทีพลางมองมู่ชิงอีด้วยความรู้สึกผิด มู่ชิงอีกลับคลี่ยิ้มบางสื่อว่าไม่เป็นไร เพราะนางไม่เป็นไรจริงๆ ในเมื่อมีพัดของเว่ยอู๋จี้ขวางอยู่ ชั่ววินาทีที่ไท่สื่อเหิงพ่นชาออกมาจากปาก เว่ยอู๋จี้รีบเอาพัดสีดำทองในมือของเขามาขวางหน้ามู่ชิงอีไว้ สุดท้ายมู่ชิงอีเลยไม่โดนน้ำชากระเด็นใส่ ทว่าพัดและแขนเสื้อของเว่ยอู๋จี้กลับเปียกชุ่ม
“ขอบคุณคุณชายมาก” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มเอ่ย
เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงเบา “เรื่องเล็กน้อย”
ไท่สื่อเหิงเอ่ยอย่างฉงน “มั่วเวิ่นฉิงไม่รู้จักเซวียไฉ่อี? คงไม่ใช่มั้ง ทั้งๆ ที่มั่วเวิ่นฉิงเคยเจอเซวียไฉ่อีมาแล้ว” ถ้าไม่เคยเจอกันเลย คนหยิ่งผยองอย่างเซวียไฉ่อีจะไล่ตามจีบเขาทุกหนแห่งเช่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่างไท่สื่อเหิงเองก็จำได้รางๆ ว่ามั่วเวิ่นฉิงเคยตรวจอาการป่วยให้เซวียไฉ่อี เพราะเหตุนี้เลยทำให้สาวงามตกหลุมรักเขา
“เคยเจอก็ใช่ว่าจะต้องจำได้เสียหน่อย” ฮั่วซูเอ่ยราวกับเห็นเป็นเรื่องปกติ ดูแวบเดียวก็รู้ว่ามั่วเวิ่นฉิงผู้นั้นเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึก คนที่ไม่สนใจจริงๆ ต่อให้เคยเจอก็ใช่ว่าจะเก็บเอามาใส่ใจ
มั่วเวิ่นฉิงที่อยู่อีกฝั่งหันหน้ามามองโต๊ะของพวกเขาแวบหนึ่ง ครั้นสายตาเลื่อนไปจับจ้องร่างของมู่ชิงอีก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังคงสงบนิ่งดังเดิม
เซวียไฉ่อีกลับสีหน้าซีดลง ขบริมฝีปากพลางมองมั่วเวิ่นฉิงแล้วเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “เจ้า…เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ”
มั่วเวิ่นฉิงเลิกคิ้ว เผยสีหน้าราวกับบอกว่า ข้าเคยเจอเจ้าด้วยหรือ
เซวียไฉ่อีเอ่ยเสียงแข็ง “ข้ามีนามว่าเซวียไฉ่อี ข้าอยาก…ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อห้าปีก่อน”
มั่วเวิ่นฉิงมุ่นคิ้วตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่นาน จากนั้นสีหน้าก็เหมือนนึกขึ้นได้ เซวียไฉ่อีเอ่ยอย่างดีใจ “เจ้าคิดออกแล้วหรือ”
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้า “เจ้าไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะข้ารับมาหนึ่งหมื่นตำลึงแล้ว”
จากนั้นเสียงพูดคุยของทุกคนก็ดังขึ้น ช่างไม่รู้จักอ่อนโยนกับผู้หญิงเอาเสียเลย เห็นได้ชัดว่าสาวงามกำลังพยายามเข้าหาเขาอยู่ ทว่าบุรุษผู้นี้กลับพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ เสียได้ ช่างหยาบกระด้างสิ้นดี!
มีเสือผู้หญิงหวังดีอยากเดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมสาวงามบอกให้ปล่อยหนุ่มหล่อเย็นชาดั่งภูเขาน้ำแข็งนี้ไปเถอะ แต่พอเห็นดาบในมือและสายตาโกรธขึงของสาวงามแต่ละคน รวมถึงนึกถึงสถานะของสาวงามผู้นั้นได้ก็รีบพับความคิดนั้นเก็บกลับไปทันที
เซวียไฉ่อีเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “บุญคุณช่วยชีวิตจะชดเชยด้วยเงินเพียงหนึ่งหมื่นตำลึงได้อย่างไร”
มั่วเวิ่นฉิงขมวดคิ้วซึ่งเห็นได้ชัดว่าเริ่มไม่ชอบใจแล้ว เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าให้ข้าเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นตำลึงก็ได้!”
ถึงอย่างไรต้องการแค่เงินก็พอ!
“เจ้าสำนักเซวีย เจ้าบอกเจ้าสักนักมั่วไปตรงๆ เถิดว่าอยากแต่งงานด้วยก็สิ้นเรื่อง” ไม่รู้ว่าใครโพล่งขึ้นมาเสียงเรียบ ทว่าทุกคนต่างก็เห็นด้วย
เซวียไฉ่อีใบหน้าแดงระเรื่อพลางมองมั่วเวิ่นฉิงด้วยท่าทีอึกอัก ทว่ามั่วเวิ่นฉิงกลับเผยสีหน้าเรียบนิ่ง “เย่าหวังกู่รักษาอาการป่วย รับแค่เงินเท่านั้น” ไม่ได้รับคนสักหน่อย
เซวียไฉ่อีหน้าซีดพร้อมร่างกายที่โงนเงนไปมา
“มั่วเวิ่นฉิง เจ้าสำนักของพวกเราจริงใจกับท่านจริงๆ ท่านช่างไม่รู้จักคุณค่าเอาเสียเลย!” ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเซวียไฉ่อีตวาดขึ้นอย่างโมโห
มั่วเวิ่นฉิงเงยหน้าขึ้น “ความจริงใจของนาง เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
ความเย็นชาเหินห่างเช่นนี้ แม้แต่บุรุษที่มีความมั่นใจยังไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าสาวงามน่ากลัวแบบนี้เลย แต่มั่วเวิ่นฉิงไม่เพียงแต่พูดออกมาเท่านั้น ทว่ากลับพูดออกมาอย่างฉะฉาน ราวกับควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น