“ข้าจะเข้าวังทูลขอฮ่องเต้และฮองเฮาทรงช่วยตัดสินให้ความเป็นธรรม!” ครั้นพูดจบพระชายาจื้อก็หมุนตัวหมายจะเข้าวัง ซื่อจื่อรีบรั้งนางไว้เอ่ย “ท่านแม่ เสด็จย่าจะทรงคิดไม่ได้เลยหรือ เวลานี้เราไม่มีหลักฐาน ต่อให้โวยวายจนเรื่องไปถึงเสด็จปู่ แต่เสด็จปู่ก็ไม่มีทางเชื่อแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น…เสด็จปู่ให้ความสำคัญต่อตระกูลหนานกงมากกว่าตระกูลทางฝั่งเสด็จย่าด้วย”
“แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า หรือเจ้าจะปล่อยให้พ่อของเจ้าตายโดยเสียเปล่าอย่างนั้นหรือ” พระชายาจื้อกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะร่ำไห้น้ำตานองหน้า
“ต้องมีสักวิธี ท่านแม่วางใจเถิด ลูกต้องแก้แค้นให้ท่านพ่อแน่นอน” ซื่อจื่อมองโถงว่างเปล่าเบื้องหน้าพลางพึมพำเสียงเบา
เวลานี้ในวังหลวงเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน เมื่อฮองเฮาทรงรับรู้ข่าวการตายของจื้ออ๋องก็เป็นลมหมดสติลงตรงนั้น หลังจากฟื้นได้สติยังไม่ทันจัดแจงเสื้อผ้าดีก็บุกเข้าไปในห้องบรรทมของเต๋อเฟยแห่งสกุลหนานกง นางยังไม่ทันย่างกรายเข้าไปข้างในก็แผดร้องเสียงแหลมว่า “หนานกงเสียน เจ้าคืนชีวิตของบุตรชายข้ามาเดี๋ยวนี้!”
บรรดานางในขันทีในตำหนักเต๋อเฟยจะกล้าขวางฮองเฮาที่ทรงกริ้วอยู่ได้เช่นไร พวกเขาทำได้แค่ตามฮองเฮาบุกเข้าไปด้านในห้องบรรทมของเต๋อเฟย
บัดนี้เต๋อเฟยอายุเกือบหกสิบชันษาแล้ว ถือว่าอายุมากที่สุดของวังหลัง เพียงแต่ช่วงวัยเยาว์นางหน้าตางดงามดั่งบุปผา เพราะชาติตระกูลต้นกำเนิดนั้นเป็นนักรบสุขภาพเลยดีไม่น้อย บัดนี้ดูแล้วเหมือนคนอายุสี่สิบกว่าเท่านั้น อากัปกิริยาท่วงท่ายังดูสง่ามากกว่าเหล่าผินเฟยในวังทั่วไป
ครั้นได้ยินเสียงฮองเฮา เต๋อเฟยก็ลุกขึ้นตามแล้วมองไปยังฮองเฮาที่บุกเข้ามาด้วยอารมณ์กระฟัดกระเฟียดด้านนอกแล้วมุ่นคิ้วกล่าว “ฮองเฮาทรงเป็นอะไรไปหรือ”
“หนานกงเสียนเจ้าอย่ามาเสแสร้ง! หรงเซวียนฆ่าบุตรชายข้า เจ้าคืนชีวิตของบุตรชายข้ามาเดี๋ยวนี้!” จู่ๆ บุตรชายเพียงคนเดียวก็ตายกะทันหัน ฮองเฮาเลยสติหลุดไปชั่วขณะจนไร้อากัปกิริยางดงามในยามปกติอย่างสิ้นเชิง สภาพหลังจากฟื้นเพราะหมดสติไปเมื่อครู่ขับให้นางดูชราลงไม่น้อย
สีหน้าของเต๋อเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเอ่ยเสียงขรึม “หม่อมฉันเสียใจที่จื้ออ๋องทรงสิ้นพระชนม์ แต่เซวียนเอ๋อร์ก็ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน ฮองเฮาทรงโยนความผิดมาให้เซวียนเอ๋อร์เช่นนี้จะไม่เกินไปหน่อยหรือ” ข้อหาลอบทำร้ายองค์ชาย ฆ่าพี่น้องกันเองสามารถทำลายชีวิตของบุตรชายนางได้เลย เต๋อเฟยย่อมไม่มีทางรับข้อหานี้ตามที่ฮองเฮาตรัสแน่นอน
สองดวงตาของฮองเฮาแดงก่ำก่อนตวาดเสียงสูงว่า “หวงเอ๋อร์ออกเมืองไปพร้อมจวงอ๋อง แต่กลับเหลือเพียงคนข้างกายเขาไม่กี่คนรอดชีวิต เจ้าคิดว่าข้าโง่เขลานักหรือ หนานกงเสียน ข้าจะเอาชีวิตสองแม่ลูกของพวกเจ้ามาชดใช้ชีวิตของหวงเอ๋อร์ให้ได้”
เต๋อเฟยกัดฟันเอ่ย “นั่นเป็นเพราะคนข้างกายของเซวียนเอ๋อร์เอาชีวิตแลกเพื่อปกป้องต่างหาก! ฮองเฮาทรงคิดว่าเซวียนเอ๋อร์ควรตายไปพร้อมกับองค์ชายใหญ่ที่เมืองเผิงอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายเลยกว่าเซวียนเอ๋อร์จะเอาชีวิตรอดมาได้ ฮองเฮาทรงกล่าวโทษเขาเช่นนี้…หม่อมฉันคงต้องขอทวงความยุติธรรมจากฝ่าบาทก็แล้วกัน!” ในเมื่อหรงหวงตายนางย่อมชอบอกชอบใจเป็นธรรมดา แต่ใช่ว่าเต๋อเฟยจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร นางรู้ว่าต่อให้บุตรชายของตนบริสุทธิ์ก็ยากจะหลุดพ้นมลทินนี้ได้ เกรงว่าสุดท้ายจะโดนคนอื่นเอาเปรียบ ฉับพลันในใจนางก็ยิ่งไม่เชื่อว่าหรงเซวียนจะโง่ขนาดลงมือทำร้ายหรงหวงเช่นนั้น
“ได้! พวกเราไปคุยต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า!” ฮองเฮาร้องแหวเสียงสูง
“ฝ่าบาทเสด็จ!” ขณะที่พูดก็มีเสียงขานบอกว่าฮ่องเต้เสด็จดังแว่วมาจากนอกประตู เห็นได้ชัดว่าพอฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้ยินว่าฮองเฮาบุกไปตำหนักเต๋อเฟยก็รีบเสด็จมาทันที ฮองเฮาจ้องเต๋อเฟยตาเขม็งแวบหนึ่งแล้วหันไปรับเสด็จด้านนอก
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก้าวเท้าเดินเข้ามาพลางกวาดตามองสีหน้าย่ำแย่ของฮองเฮาและเต๋อเฟยแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”
ฮองเฮาและเต๋อเฟยต่างอดกลัดกลุ้มขึ้นในใจไม่ได้ ถึงแม้บัดนี้พวกนางจะอายุล่วงเลยกับการแก่งแย่งเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทไปแล้ว แต่พอฉุกคิดได้ว่าหลายสิบปีมานี้พระสวามีของตนไม่เคยอ่อนโยนกับตนเลยคงไม่มีผู้หญิงคนใดสามารถระงับความโกรธเคืองได้แน่นอน พระสนมที่เพิ่งเข้าวังมาใหม่ในหลายปีนี้ยังพูดง่ายกว่า ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็อายุมากแล้ว อีกทั้งฮองเฮาและเต๋อเฟยก็ผ่านร้อนผ่านหนาวกับฮ่องเต้มาตั้งแต่แรก
ช่วงวัยเยาว์พวกนางสองคนแก่งแย่งกันเอาชีวิตรอด ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับไม่เคยรักพวกนางเลยสักคน กระทั่งแม้แต่ลูกยังมีเพียงคนเดียวและมีอีกไม่ได้แล้ว เดิมทีฮ่องเต้เป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจ แต่หลังจากผ่านมายี่สิบปี ขณะที่ตนถูกเมินเพราะความชราถึงเห็นว่าฮ่องเต้อ่อนโยนปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งด้วยความรักใคร่ แล้วพวกนางจะไม่โกรธแค้นได้เช่นใดเล่า
“ฝ่าบาทเพคะ” เต๋อเฟยเก็บอารมณ์แล้วรุดหน้าเข้าไปถวายบังคมด้วยท่าทีอ่อนช้อย
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมแก่หวงเอ๋อร์ด้วยเถิด!” ฮองเฮาคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แล้วเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้นอย่างเศร้าสร้อย
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอ่ย “ให้ความเป็นธรรม? เหตุใดจื้ออ๋องล่วงลับแต่เจ้าไม่คอยอยู่ดูแลเรื่องต่างๆ ในตำหนักเล่า เจ้าวิ่งแจ้นมาหาเต๋อเฟยด้วยเรื่องใดกัน”
ฮองเฮาหน้าซีด ร้องแหวเสียงแหลม “ฝ่าบาท! ทั้งๆ ที่หรงเซวียนฆ่าหวงเอ๋อร์ของเราตายแท้ๆ นะเพคะ”
“ไม่มีทาง ฝ่าบาททรงตรวจสอบด้วยเพคะ!” เต๋อเฟยรีบเดินขึ้นมาก้าวหนึ่งแล้วคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์
ครั้นเห็นหญิงสาวสองคนคุกเข่าลงตรงหน้า ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็มุ่นคิ้วเอ่ยอย่างไม่พอพระทัยว่า “พอได้แล้ว! จื้ออ๋องกับจวงอ๋องยังไม่มีใครกลับมา พวกเจ้าพูดจาเหลวไหลเรื่องใดกัน เราส่งคนไปตามสืบเรื่องนี้แน่นอน! เจ้ากลับตำหนักไปเสีย”
ฮองเฮาสีหน้าย่ำแย่ลงกว่าเดิม ครั้นเห็นสายตาลำพองใจของเต๋อเฟยก็ยิ่งมั่นใจแล้วว่าฝ่าบาททรงลำเอียงเข้าข้างสองแม่ลูกเต๋อเฟย นางจึงร่ำไห้ตัดพ้อ “ไม่นะ! ฝ่าบาท…หวงเอ๋อร์ก็เป็นโอรสของฝ่าบาทเช่นกัน เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงใจเหี้ยมนัก ฝ่าบาทอยากเห็นเขานอนตายตาไม่หลับหรืออย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยกมือนวดคลึงหว่างคิ้วอย่างหงุดหงิด ครั้งนี้เขาส่งหรงหวงและหรงเซวียนไปเมืองเผิง ย่อมทำให้เห็นว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ให้ความสำคัญกับเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆามากเพียงใด เวลานี้หญ้าเซียนเก้าเมฆาหายไปแล้ว อีกทั้งสององค์ชายยังบาดเจ็บหนึ่งตายหนึ่ง เพราะเหตุนี้จึงทำให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงอารมณ์ไม่ดีนัก ขณะที่ฮองเฮาโวยวายร่ำไห้ข้างหูเขาไม่หยุดก็ทำเอาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม “พอแล้ว! ไม่เชื่อฟังคำพูดของเราแล้วอย่างนั้นหรือ”
เสียงร่ำไห้เศร้าสร้อยของฮองเฮาชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็กวาดตามองพวกนางสองคนแวบหนึ่งตรัสว่า “เราจัดการเรื่องจื้ออ๋องกับจวงอ๋องอยู่แล้ว ฮองเฮารีบกลับตำหนักตัวเองไปเถิด ส่วนเต๋อเฟยเองก็อยู่ในตำหนักอย่างสงบเสงี่ยมด้วยเหมือนกัน!”
เต๋อเฟยสีหน้าเรียบตึงทันทีเพราะเข้าใจความหมายที่ฝ่าบาทเตือนว่าห้ามนางติดต่อกับคนในตระกูลหนานกง ซึ่งฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เองก็ใช่ว่าจะเชื่อใจหรงเซวียเสียทีเดียวอย่างเห็นได้ชัด
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ” เต๋อเฟยรีบเอ่ยขึ้น
ครั้นเห็นสายตาเกรี้ยวโกรธของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ฮองเฮาเลยทำได้แค่กล้ำกลืนความคับแค้นไว้ในใจ เอ่ยเสียงเรียบ “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แค่นเสียงเบาก่อนสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
หลังจากออกจากพระตำหนักของเต๋อเฟยมา ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็เดินอยู่ท่ามกลางตำหนักงดงามตระการตาอย่างช้าๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถอนหายใจกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น “ปีนี้จื้ออ๋องอายุได้สี่สิบแปดชันษาแล้วกระมัง”
หัวหน้าขันทีที่คอยเดินตามอยู่ด้านหลังสะดุ้งจนตัวโยน พอได้สติกลับมาถึงรีบขานรับอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท…จื้ออ๋องทรงประสูติเดือนสิบสอง อีกเดือนกว่าก็ครบสี่สิบแปดชันษาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่า…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวงอ๋องหรือไม่”
เจี่ยงปินงุดหน้าต่ำลงกว่าเดิมแล้วเอ่ยเสียงกล้าๆ กลัวๆ “เรื่องนี้…กระหม่อมก็ไม่รู้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”