หรงจิ่นมองเทียนเสวียนด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเอ่ย “วันหลังเรียกว่าจื่อชิง หัวหน้าผู้ดูแลกู้ก็พอ เทียนเสวียน เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ทันใดนั้นเทียนเสวียนก็รู้สึกเสียววาบพลันสะท้านในใจเล็กน้อย เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดย่อมเข้าใจความหมายของหรงจิ่นเป็นธรรมดา ตอนนี้สถานะของแม่นางมู่เป็นความลับต่อโลกภายนอก นอกจากตนรับรู้ ต่อให้จะเป็นพวกเทียนเฉวียนหรือเทียนซูก็ห้ามบอกเด็ดขาด ส่วนฮั่วซู…ที่ติดตามนางมาคิดว่าคงรู้แล้วกระมัง
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เทียนเสวียนรีบลุกขึ้นกล่าวอย่างนอบน้อม
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเล็กน้อยมองหรงจิ่นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องอย่าทำให้เทียนเสวียนตกใจนักเลย เมื่อครู่เพิ่งเข้าเมืองมาเหมือนบรรยากาศดูแปลกๆ ไปเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ”
หรงจิ่นโบกไม้โบกมือสื่อว่าให้เทียนเสวียนไปนั่งแล้วเอ่ยพลางยิ้มตาหยีว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นจื่อชิงจะเดาไม่ออกเลยหรือ” มู่ชิงอีเดาได้ทันที “เรื่องจื้ออ๋อง?”
หรงจิ่นพยักหน้า “จื่อชิงช่างหลักแหลมนัก คิดว่าพี่รองก็คงใกล้มาถึงแล้วกระมัง” มู่ชิงอีส่ายศีรษะกล่าว “คงไม่เร็วขนาดนั้น ได้ยินมาว่าจวงอ๋องเองก็บาดเจ็บหนักไม่เบา”
“ไม่หรอก หากชักช้ามากเท่าไรก็ยิ่งส่งผลเสียต่อเขามากเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น…หากรอให้หายดีแล้วค่อยกลับมา เช่นนั้นก็สื่อว่าเขาบาดเจ็บไม่สาหัสด้วย” หรงจิ่นยิ้มกล่าว หรงเซวียนสร้างบาดแผลให้ตนเองขนาดนี้ไม่ใช่แค่เพียงเพราะทำให้ตนหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา ความจริงจุดน่าสงสัยเช่นนี้ยากจะลบล้างได้ อีกอย่างหรงเซวียนเองก็ไม่ได้ถือว่าเสียเปรียบเสียทีเดียว เพราะหากเขากลับมาด้วยอาการบาดเจ็บหนัก ต่อให้เสด็จพ่อจะเกรี้ยวโกรธเพียงใดก็คงทุเลาลงห้าถึงหกส่วน
“ระยะนี้ลำบากท่านเฝิงแล้ว ในเมืองยังมีเรื่องใดอีกหรือไม่” มู่ชิงอีมองเฝิงจื่อสุ่ยที่กำลังมุ่นคิ้วมองพวกเขาอยู่อีกฝั่ง ในขณะเดียวกันก็กวาดตามองหรงจิ่นแวบหนึ่ง นางจำได้ว่านางไม่ได้เรียกเฝิงจื่อสุ่ยเข้ามาช่วยงานในจวนนี่นา แต่ในเมื่อนางเข้าจวนอวี้อ๋องมาแล้ว เกรงว่าในฐานะหัวหน้าผู้ดูแลประจำตระกูลกู้อย่างเฝิงจื่อสุ่ยคงถูกโยงเข้ามาพัวพันด้วยในไม่ช้าก็เร็ว อีกอย่างด้วยความสามารถของเฝิงจื่อสุ่ยแล้วหากเอามาเป็นแค่เป็นหัวหน้าผู้ดูแลตระกูลกู้เล็กๆ คงใช้คนไม่ถูกกับงานสักเท่าไร
เฝิงจื่อสุ่ยเอ่ยอย่างนอบน้อม “คุณหนูเกรงใจไปแล้ว ในจวนก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไร แต่…คุณชายรองของจวนแม่ทัพหนานกงมาหาคุณหนูรอบหนึ่ง” มู่ชิงอีพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว “อีกไม่กี่วันเทียนเสวียนคงรับผิดชอบงานได้เพียงลำพังแล้วกระมัง”
เฝิงจื่อสุ่ยลูบเคราเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายเทียนเสวียนเก่งกาจนัก อีกไม่นานคงรับผิดชอบงานโดยลำพังได้แล้ว” ถึงแม้ก่อนหน้านี้เทียนเสวียนจะจัดการทุกอย่างเองได้ แต่ในฐานะพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ ในสายตาของเฝิงจื่อสุ่ยกลับคิดว่าเทียนเสวียนยังห่างจากมาตรฐานอีกมาก เฝิงจื่อสุ่ยสามารถอาศัยสถานะของผู้รู้หนังสือดูแลกิจการมากมายทั้งในและนอกของตระกูลกู้ได้ตั้งหลายปีโดยไม่เคยล้มเหลวแต่กลับขยายอำนาจได้มากกว่าเดิม หากไม่ใช่เพราะตระกูลกู้ไม่อยากผงาดขึ้นมาใหม่ กระทั่งหลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลกู้ก็ไม่เคยขยายกิจการใดอีกเลย เกรงว่าตอนนี้เศรษฐีในใต้หล้าเป็นใครยังมิอาจรู้แน่ชัดได้ ฉะนั้นด้วยศักยภาพเช่นนี้ย่อมดูแคลนหนุ่มน้อยอ่อนหัดอย่างเทียนเสวียนเป็นธรรมดา
หลายวันมานี้เทียนเสวียนเองก็เห็นความสามารถของเฝิงจื่อสุ่ยมาไม่น้อยเช่นกันเลยประสานมือรีบเอ่ยขึ้นว่า “โชคดีที่ได้คำชี้แนะจากท่านเฝิง หากว่าด้วยเรื่องความเก่งกาจ คนมากความสามารถที่อยู่ภายใต้การดูแลขององค์ชายที่พอจะใช้งานได้กลับห่างชั้นกับตระกูลกู้ยิ่งนัก ในเมื่อตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่มาหลายศตวรรษ ต่อให้บัดนี้จะล่มสลายไปแล้ว แต่คนอย่างเฝิงจื่อสุ่ยกลับเหนือกว่าใครทั้งปวง”
ถึงแม้หรงจิ่นจะเป็นองค์ชายสูงศักดิ์และผู้สืบทอดเมืองเทียนเชวีย แต่เพราะอยู่ในเมืองหลวงถูกคนคอยจับตามองตลอด เมืองเทียนเชวียเองก็ปลีกตัวจากโลกภายนอกมาหลายร้อยปี คนในเมืองจึงว่างงานไร้ประโยชน์ ใช้งานคนชราไม่ได้ แม้แต่คนอายุน้อยก็ใช้งานไม่ได้เรื่องเช่นกัน หลายปีมานี้ไม่ง่ายเลยกว่าหรงจิ่นจะคัดสรรเลือกหาคนที่พอจะฟูมฟักมาใช้งานได้
มิน่าหรงจิ่นถึงฉวยโอกาสตอนที่มู่ชิงอีไม่อยู่เรียกเฝิงจื่อสุ่ยมาช่วยงานตนในจวน ความจริงเพราะอิจฉาริษยามากกว่ากระมัง
หรงจิ่นมองมู่ชิงอีพลางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เช่นนั้นรอเทียนเสวียนรับผิดชอบงานภายใต้การดูแลของจื่อชิงได้ แต่หากจะให้ท่านเฟิ่งจังเป็นแค่ผู้ดูแลคนหนึ่งละก็คงแสดงความสามารถออกมาได้ไม่เต็มที่กระมัง”
ครั้นเห็นเฝิงจื่อสุ่ยปรากฏตัวอยู่ในห้องหนังสือ มู่ชิงอีก็เข้าใจแผนการของหรงจิ่นทันที แต่เฝิงจื่อสุ่ยเองก็คงยินดีด้วยเช่นกัน หากไม่ยอมเขาคงหาทางเลี่ยงไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้เฝิงจื่อสุ่ยจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของตระกูลกู้มาหลายสิบปี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้รู้หนังสือ ความใฝ่ฝันในภายภาคหน้าคงมุ่งไปทางสร้างคุณงามความดีเพื่อบ้านเมืองมากกว่าเรื่องเงินทอง
“ท่านเฝิง?”
เฝิงจื่อสุ่ยกล่าว “เชิญคุณหนูว่ามาได้เลย”
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบาแล้วมองไปทางหรงจิ่นเอ่ย “ท่านอ๋องวางแผนไว้เช่นใด หรือจะขอให้ท่านเฟิ่งจังมาอยู่ในจวนด้วย”
หรงจิ่นเอ่ยยิ้มตาหยี “ท่านเฟิ่งจังเก่งกาจ แต่ในจวนมีจื่อชิงก็เพียงพอแล้ว ส่วนท่านเฟิ่งจังนั้น…ข้าเดาว่าอีกไม่กี่วันตำแหน่งผู้ว่าในเมืองเผิงคงขาดคน หากท่านสนใจล่ะก็…”
เฝิงจื่อสุ่ยชะงักไป ตำแหน่งผู้ว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถึงแม้ด้วยศักยภาพของเฝิงจื่อสุ่ยแล้วย่อมเอาชนะได้แน่นอน แต่เขากลับมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ อย่างแรกเขาไม่ใช่คนแคว้นเย่ว์ อย่างที่สองเขาไม่ใช่คนในราชสำนัก ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะยอมให้คนที่พระองค์ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้ว่าได้เช่นไร
หรงจิ่นโบกมือยิ้มเอ่ย “แรกเริ่มขึ้นเป็นผู้ว่าเลยคงไม่ได้ ดังนั้นคงต้องให้ท่านทนลำบากตรากตรำไปก่อนระยะหนึ่ง บัดนี้มีองค์ชายตายในเมืองเผิง ต่อไปตำแหน่งผู้ว่าเมืองเผิงคงต้องรับมือกับเรื่องวุ่นวายแน่นอน สู้ท่านไปเป็นกุนซือที่เมืองเผิงก่อนระยะหนึ่งก่อนเป็นอย่างไรเล่า”
เฝิงจื่อสุ่ยเข้าใจแผนการของหรงจิ่นในทันที ใช่ว่าข้าหลวงของแคว้นเย่ว์ทุกคนจะต้องผ่านการสอบเคอจวี่[1]เสียทีเดียว หากเขามีบทบาทยิ่งใหญ่ในช่วงระยะเวลาที่อยู่เมืองเผิงได้ ฉวยหาโอกาสในช่วงที่เมืองเผิงระส่ำระส่ายวุ่นวายเช่นนี้ บวกกับอาศัยจวนอวี้อ๋องและความมั่งคั่งของตระกูลกู้เป็นแรงหนุนผลักดัน ตำแหน่งผู้ว่าเมืองเผิงจะตกไปเป็นของใครได้
“มั่นใจหรือไม่” มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเอ่ย
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “เมืองเผิงไม่ใช่เมืองยุทธศาสตร์สำคัญอะไร เดิมทีปู้อวี้ถังเองก็ทำได้ไม่เลว เพียงแต่บัดนี้…ถึงแม้ข้าจะยังไม่มีอำนาจอะไร แต่ลำพังแค่ตำแหน่งเล็กๆ อย่างผู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องเกินตัว” หากไม่ใช่เพราะกลัวเฝิงจื่อสุ่ยตกเป็นที่ระแวงคงประทับตราจวนอวี้อ๋องแปะร่างเขาตอนนี้ไปแล้ว ด้วยสถานะของหรงจิ่นหากขอตำแหน่งผู้ว่าเมืองเผิงจากฮ่องเตก็คงไม่มีทางถูกปฏิเสธแน่นอน เพียงแต่พอถึงเวลานั้นเฝิงจื่อสุ่ยอย่าหวังว่าจะได้เป็นข้าราชการอย่างสงบสุขเลย
มู่ชิงอีขบคิดแล้วเอ่ยกับเฝิงจื่อสุ่ยว่า “เช่นนั้นวันหน้าคงต้องลำบากท่านเฝิงแล้ว”
เฝิงจื่อสุ่ยรีบลุกขึ้นทำความเคารพกล่าว “ท่านอ๋องและคุณหนูเชื่อมั่นในตัวข้า ข้ามิกล้าทำลายความเชื่อมั่นของคุณหนูแน่นอน”
ครั้นเห็นเทียนเสวียนและเฝิงจื่อสุ่ยออกไปแล้ว หรงจิ่นถึงพุ่งเข้าไปลูบเส้นผมสีดำขลับของมู่ชิงอีราวกับลูกหมาตัวน้อยอย่างชอบอกชอบใจ จากนั้นก็มองนางด้วยท่าทีน่าสงสาร “ชิงชิง…”
มู่ชิงอีกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเอือมระอา นางพรางตัวเป็นผู้ชายจนแม้แต่เทียนเสวียนก็ยังจับช่องโหว่ไม่ได้ นี่จึงบ่งบอกว่าภายนอกนางเหมือนหนุ่มน้อยจริงๆ องค์ชายเก้าไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างหรือ
มู่ชิงอียกมือขึ้นผลักศีรษะของใครบางคนออกแล้วถาม “เหตุใดองค์ชายถึงคิดจะให้ท่านเฝิงขึ้นมาเป็นผู้ว่าเมืองเผิงได้เล่า”
[1]เคอจวี่ การสอบข้าราชการที่เหล่าขุนนางในราชสำนักจัดขึ้น