“น้องสี่ ดูเหมือนว่าหลายวันมานี้จะไม่ได้พบอานซุ่นจวิ้นอ๋อง” หรงเซวียนถามเสียงเรียบ แน่นอนว่าเขารู้ว่ามู่หรงอวี้ได้ไปที่เย่าหวังกู่เพื่อรับตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหรงเหยี่ยนรู้เรื่องนี้หรือไม่ หรงเหยี่ยนยิ้มเอ่ย “อานซุ่นจวิ้นอ๋อง? พี่สองคงจะยังไม่รู้ว่าเดิมทีอานซุ่นจวิ้นอ๋องผู้นี้คือทายาทของเจ้าสำนักเย่าหวังกู่รุ่นก่อน ได้รายงานกับเสด็จพ่อแล้วว่าจะกลับเย่าหวังกู่ไปรับตำแหน่งเจ้าสำนัก เหตุใดพี่สองถามถึงเขาได้เล่า…”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หรงเซวียนเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “วันนั้นบังเอิญได้พบกับอานซุ่นจวิ้นอ๋องที่เมืองเผิงก็เลยถามก็เท่านั้น ในเมื่อไม่มีอะไร เช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อน”
“พี่สองค่อยๆ เดิน” หรงเหยี่ยนโค้งคำนับด้วยความเคารพ ยืนส่งหรงเซวียนจากไป มีท่าทางดูเหมือนเย้ยหยันเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่อ่อนโยนและหล่อเหลาของเขา
ณ พระตำหนักชิงเหอ ตอนที่หรงจิ่นเข้ามาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กำลังตอบฎีกาอยู่ แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะถือได้ว่าเป็นฮ่องเต้ที่เผด็จการอย่างเต็มตัว แต่แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่โง่เขลา หรงจิ่นก็ไม่ได้สนใจ หาที่นั่งด้วยตัวเองแล้วนั่งอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง
ผ่านไปพักใหญ่ ในพระตำหนักก็ยังไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว เมื่อฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เงยหน้าขึ้นมามองจึงได้พบว่ามีคนบางคนได้นั่งพิงเก้าอี้หลับไปแล้ว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจอย่างหมดปัญญา กระแอมเบาๆ ไม่นานหรงจิ่นก็ลืมตาขึ้น ความจริงแล้วด้วยศิลปะการต่อสู้และความระมัดระวังตัวของหรงจิ่นจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะหลับไปในสถานที่แห่งนี้ ต่อให้เขาหลับไปจริงๆ อย่าว่าแต่ไอเลย เพียงแค่มีสายตาจับจ้องไปที่เขา เขาก็จะตื่นขึ้นมาทันที เพียงแต่ว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อเป็นอย่างมาก แล้วก็ไม่อยากหาเรื่องมาคุยกกับชายเฒ่าผู้นี้ ดังนั้นจึงได้แกล้งหลับตาพักผ่อน
“เสด็จพ่อเรียกพบลูกมีสิ่งใดจะแนะนำหรือ” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ ดูเหมือนให้ความเคารพและสุภาพอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เพียงแต่ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างมากที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้ ถอนหายใจอย่างระอาใจพลางตรัส “หลังจากที่เจ้าย้ายออกจากวังก็รู้ความขึ้นไม่น้อย” หากองค์ชายคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี้คงมีความคิดที่อยากจะฆ่าหรงจิ่นทิ้ง หรงจิ่นทำเช่นนี้ก็นับว่ารู้ความแล้ว เช่นนั้นการที่พวกเขาทำตัวระมัดระวังและถ่อมตัวเวลาอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อนั้นนับว่าเป็นอะไร บุตรกตัญญูที่หาได้ยากในรอบพันปีอย่างนั้นหรือ
หรงจิ่นไม่ได้ใส่ใจ มองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทำได้เพียงถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะรักและเอ็นดูหรงจิ่นมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ว่าบุตรชายผู้นี้ไม่เคยเชื่อฟังเลย แต่แล้วอย่างไรเล่า เด็กคนนี้คือบุตรชายคนเดียวที่ซีเอ๋อร์เหลือไว้บนโลกใบนี้ หากไม่ตามใจเขาแล้วจะให้ตามใจใคร หากแม้แต่เขาก็หายตัวไปด้วย ตัวเองก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถรั้งสตรีที่งดงามผู้นั้นไว้ได้
หลายปีมานี้ใช่ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะไม่รู้ว่าหรงจิ่นเป็นคนดื้อรั้น ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเขาชอบสร้างปัญหา แต่แล้วอย่างไร เขาเป็นฮ่องเต้ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดหรือจะมองอย่างไร กระนั้นถึงแม้ว่าเขาต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก ก็ไม่สามารถรักษาสตรีที่เขารักมากที่สุดเอาไว้ได้อยู่ดี…
“เสด็จพ่อจะตรัสอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่นถามอย่างหมดความอดทน
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจแล้วตรัสขึ้น “หากไม่จำเป็นอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกพี่สองของเจ้า หากขาดเหลืออะไรให้ส่งคนเข้าวังมาบอกพ่อ พ่อเคยทำผิดต่อเจ้าเสียเมื่อไรกัน”
หรงจิ่นแสยะยิ้ม แค่นเสียงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “ข้าก็ไม่ได้อยากไปยุ่งกับพวกเขา เพียงแต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตข้าจะต้องทำอย่างไร หรือว่าเสด็จพ่อเตรียมตัวจะกลับสวรรค์แล้ว ก็เลยจะพาลูกไปพบกับเสด็จแม่ด้วย” ให้เขาไม่สู้? หากเขาไม่สู้ ในอนาคตก็คงทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น!
มือของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่จับพู่กันอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตำหนิด้วยความโกรธเคือง “พูดจาเหลวไหลอะไร!”
หรงจิ่นยิ้มเย้ยพลางเอ่ยว่า “หรือว่าข้าพูดไม่ถูกเล่า” ไม่ว่าฮ่องเต้จะดีกับเขาเพียงใด ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่ปีนี้อายุหกสิบเจ็ดหกสิบแปดปีแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี เขายังอายุไม่ถึงยี่สิบปีเลย เขาไม่อยากปล่อยชิงชิงไว้ตามลำพังให้บุรุษนิสัยไม่ดีเหล่านั้นเอาเปรียบ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เงียบอยู่นาน สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย ผ่านไปนานก่อนที่เขาจะตรัสเบาๆ ว่า “จิ่นเอ๋อร์วางใจได้ เสด็จพ่อเอ็นดูเจ้ามากที่สุด ต่อให้ในอนาคตพ่อจากไปแล้วก็จะจัดการวางแผนไว้ให้เจ้าอย่างดีแน่นอน”
หรงจิ่นสีหน้านิ่งเฉยแต่กลับยิ้มอย่างดูหมิ่นอยู่ในใจ ‘ช่างน่าประทับใจเสียจริง’
“หากเสด็จพ่อพูดเรื่องนี้กับลูกเพราะไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเรื่องของราชสำนัก ลูกได้ยินแล้ว ลูกน้อมรับพระบัญชา” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความโกรธสามารถฟังออกได้อย่างชัดเจน “หากไม่มีอะไรแล้ว ลูกขอตัวก่อน”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของหรงจิ่น สุดท้ายก็ถอนหายใจ โบกมือพลางเอ่ยว่า “ช่างเถิด เจ้ากลับไปเถิด”
เมื่อมองดูหรงจิ่นที่หันหลังจากไปโดยไม่หันหน้ามองกลับมาเลยสักนิด ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ถอนหายใจยาว ในฐานะองค์ชาย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความปรารถนาในอำนาจ แต่ร่างกายของจิ่นเอ๋อร์ยังมี…ไม่เหมาะสมเลย
“ฝ่าบาท องค์ชายเก้าเพียงแค่พูดไปเพราะความโกรธ ฝ่าบาทโปรดอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าที่คลุมเครือของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ เจี่ยงปินจึงรีบพูดเกลี้ยกล่อมเบาๆ แม้ว่าเขาจะติดตามฮ่องเต้มาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ยังคงดูไม่ออกว่าฮ่องเต้คิดอย่างไรกับองค์ชายเก้ากันแน่ แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่มีทางละทิ้งองค์ชายเก้าอย่างแน่นอน
หากบอกว่ารักก็คงเป็นรักจริงๆ แต่องค์ชายเก้าก็ถูกทิ้งไว้ที่ตำหนักเหมยก่อนอายุแปดชันษาแล้วก็ไม่มาสนใจ อีกอย่างด้วยความรู้ของเขาในฐานะที่เป็นขันที การที่ฮ่องเต้รักและเอ็นดูองค์ชายเก้าในตอนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นผลดีต่อองค์ชายเก้า ตอนนี้ทรงดีกับองค์ชายเก้าเช่นนี้ จะมีองค์ชายคนไหนบ้างที่ไม่ได้รู้สึกเกลียดชัง หากวันไหนฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ เกรงว่าจะเป็นอย่างที่องค์ชายเก้าเอ่ยไว้ คงทำได้เพียงไปพบพระสนมเหมยกับฮ่องเต้แล้ว ไม่แปลกใจที่องค์ชายเก้าจะโกรธเคือง หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับใครก็คงจะรับมือได้ยาก
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โบกมือ เจี่ยงปินเองก็เข้าใจจึงหยุดพูดทันที ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หยัดกายลุกขึ้น “ไปเดินเล่นที่ตำหนักเหมยกันเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หรงจิ่นออกจากวังกลับไปถึงจวน สีหน้าดูไม่ดีจนบ่าวรับใช้ในจวนต้องหลีกเลี่ยงไปให้ไกลเมื่อเจอเขา มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้น เหลือบมองคนที่ทำหน้าบึ้งตึงกำลังยืนอยู่ด้านหน้าตัวเอง เลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้นอีกหรือเพคะ”
หรงจิ่นกัดฟัน “ข้าอยากจะฆ่าตาเฒ่าผู้นั้น!”
“ใครกัน” มู่ชิงอีไม่เข้าใจเล็กน้อย หรงจิ่นเอ่ยด้วยความโกรธเคือง “ข้าจะต้องฆ่าตาเฒ่าผู้นั้นให้ได้! คน ที่ อยู่ ใน วัง!”
ทำเอานางปวดหัวเล็กน้อย ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ”คำว่าจะฆ่าเสด็จพ่อหรือฮ่องเต้สามารถพูดขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ แม้ว่าใครบางคนกำลังวางแผนที่จะกบฏหรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้เขายังมีกำลังไม่พอไม่ใช่หรืออย่างไร หรงจิ่นกัดฟันพลางเอ่ยว่า “ตาเฒ่าผู้นั้นตักเตือนข้าโดยเฉพาะ ว่าไม่ให้เข้าไปยุ่งเรื่องในราชสำนัก ข้าดูออกว่าเขาอยากจะให้ข้าตายไปพร้อมกันเมื่อเขาตาย! ข้าจะชิงฆ่าเขาก่อน!” ใครที่อยากให้เขาตายต้องตายให้หมด!
มู่ชิงอีเข้ามาดึงหรงจิ่นให้นั่งลง รินชาแล้วนำมาวางตรงหน้าเขา มองดูเขาดื่มชาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มาเถิด บอกหม่อมฉันก่อนว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นในวังบ้างเพคะ”
หรงจิ่นมองนางด้วยความสงสัย แต่ก็ยังเชื่อฟังและเล่าทุกอย่างที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสในพระตำหนักชิงเหอ มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย เรื่องนี้ค่อนข้างยากที่จะจัดการ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ให้หรงจิ่นเข้าไปยุ่งเรื่องในราชสำนัก หลายวันมานี้แม้ว่าหรงจิ่นจะเข้าประชุมราชสำนัก และมีขุนนางบางคนได้ใกล้ชิดจวนอวี้อ๋องมากขึ้น แต่มู่ชิงอีก็ได้ค้นพบอย่างชัดเจนว่าคนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหรงจิ่นไม่นานก็ถูกลดระดับหรือถูกปรับเปลี่ยน หรือไม่ก็ถูกริดรอนอำนาจ