ตงฟังซวี่หดคอลงแล้วถอนหายใจ “บุตรชายของคนอื่นช่างดีจริงๆ ท่านแม่ของข้าชอบเจ้า”
ได้ยินน้ำเสียงน้อยใจของเขา มู่ชิงอีก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างแผ่วเบา
ตงฟังซวี่ไม่เงียบแม้แต่วินาทีเดียว เขาแตะแขนมู่ชิงอีแล้วถามว่า “จื่อชิง เอ่อ…อานซุ่นจวิ้นอ๋องแค้นเคืองอะไรเจ้าหรือไม่ เขากำลังจ้องมาที่เจ้า”
มู่ชิงอีเหลือบมองมู่หรงอวี้ที่อยู่ไม่ไกล แล้วเอ่ยอย่างเฉยเมย “เขาอิจฉาที่ข้าหล่อกว่าเขา”
คุณชายตงฟังได้ยินแล้วก็สำลักจนพูดไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งก็เปิดปากเอ่ย “ช่างเป็นแค้นที่ยิ่งใหญ่เสียจริง” ความอิจฉาเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผล
หรงจิ่นที่นอนไม่หลับเพราะเสียงของตงฟังซวี่ เขาลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ตงฟังซวี่ หากไม่มีอะไรก็ไปอยู่ไกลๆ หน่อย”
สีหน้าของตงฟังซวี่พลันขมขื่น เขาเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้ารอท่านอ๋องตื่น หากข้ายื่นมือไปสะกิดท่าน ท่านคงจะต่อยข้าจนตัวปลิว”
หรงจิ่นนั่งตัวตรง มองตงฟังซวี่อย่างแน่นิ่ง “ทำไมเจ้าต้องสะกิดข้า”
“…” ตงฟังซวี่นิ่งเงียบ “ท่านฟังผิดแล้ว ข้าหมายความว่าหากว่าข้าปลุกท่าน”
“พูดจาอะไรไร้สาระ” หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่สนใจ
สีหน้าของตงฟังซวี่เปลี่ยนไป เขาขยับเข้ามาใกล้หรงจิ่นแล้วเอ่ยเสียงเบาลง “คืนนี้ระวังตัวหน่อย” จากนั้นก็วิ่งไปหาท่านแม่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว พี่เก้าโมโหช่างน่ากลัวจริงๆ ตนไม่อยากถูกเขาสั่งสอน
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟังซวี่ หรงจิ่นก็มุ่นคิ้ว ลืมตาขึ้นแล้วสำรวจมองผู้คนในห้องโถง สุดท้ายสายตาก็หยุดที่เว่ยอู๋จี้
“มีอะไรหรือ” มู่ชิงอีถามเสียงเบา
“นำเข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณที่ข้ามอบให้เจ้ามาด้วยหรือไม่” หรงจิ่นเอ่ยถาม
มู่ชิงอีตกใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือ” เข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณอานุภาพไม่ธรรมดา แต่มันไม่เหมาะที่จะใช้ในสถานที่เช่นนี้ ผู้คนมากมาย หากไม่ระวังอาจทำให้คนตายได้ มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ไม่ต้องห่วง นำมาด้วยเพคะ”
มู่ชิงอีเป็นคนรักชีวิต ดังนั้นนางจึงพกอาวุธลับติดตัวเพื่อป้องกันตัวเองตลอด บนนิ้วที่เรียวยาวสวมแหวนหยกขาวที่ไม่โดดเด่น หลังจากที่นางใช้แหวนหยกขาวที่หรงจิ่นมอบให้นางครั้งก่อนหมดแล้ว มู่ชิงอีก็หาคนทำเพิ่มอีกสองสามชิ้น อาจไม่ได้ดีเท่าของที่หรงจิ่นมอบให้ แต่ก็เพียงพอที่จะจัดการกับคนสักหนึ่งหรือสองคน ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ที่เนี่ยอวิ๋นสอนนางใช้อาวุธลับ นางก็ฝึกฝนอยู่ตลอด
หรงจิ่นยกมือขึ้นจับแหวนหยกขาวตรงนิ้วของนาง จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ระวังตัวด้วย”
“จะเกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ” มู่ชิงอีกระซิบถาม
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างไม่สนใจ “จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับเรา ข้าเวียนหัว” หรงจิ่นทำเป็นพิงไหล่มู่ชิงอีด้วยสีหน้าที่อ่อนเพลีย มู่ชิงอีมองเขาอย่างเอือมระอา
เพราะหรงจิ่งกำลังตั้งใจทำลายชื่อเสียงของนาง
ฉับพลันก็ได้ยินเสียงหรงจิ่นหัวเราะเยาะเย้ย “ข้าจะดูว่า ผู้หญิงคนไหนกล้าแย่งชิงชิงกับข้า”
มู่ชิงอีฉงนใจ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นบรรดาผู้หญิงหลายคนมองมาที่พวกเขาด้วยความแปลกใจ บนใบหน้าที่สวยงามนั้นมีความตื่นตระหนกและผิดหวังที่ซ่อนเอาไว้ไม่อยู่ มู่ชิงอีจับหน้าผากตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น
“ผู้ดูแลกู้” มีเสียงอ่อนโยนดังมาจากข้างหลัง มู่ชิงอีหันไปมองก็เห็นหลิงซูยืนยิ้มอยู่ หันไปมองมู่หรงอวี้ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “เหตุใดแม่นางหลิงซูถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่อยู่กับอานซุ่นจวิ้นอ๋องเล่า”
หลิงซูยิ้มหวาน “หลิงซูกับอานซุ่นจวิ้นอ๋องเป็นแค่นายท่านกับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ได้เป็นสหายคนสนิทเหมือนผู้ดูแลกู้กับอวี้อ๋อง เลยไม่มีสิทธิ์เข้ามาร่วมงานเลี้ยงกับอานซุ่นจวิ้นอ๋อง”
“เช่นนั้นแม่นาง?” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจว่าหลิงซูมาหาตัวเองทำไม
หลิงซูเอ่ย “ก่อนหน้านี้หลิงซูเข้ามาจับชีพจรให้ฮองเฮาในพระราชวัง ฮองเฮาและฝ่าบาททรงเมตตา ข้าจึงมีโอกาสมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ เมื่อครู่เห็นผู้ดูแลกู้จึงเข้ามาทักทาย”
มองดูหญิงงามที่สวมชุดสีม่วงอ่อนและยิ้มอย่างอ่อนโยนตรงหน้า มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่อยู่ที่จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง นึกถึงเรื่องที่นางอยากหลอกใช้หรงจิ่นเป็นเครื่องมือทำร้ายเชียงหลิง ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “สำนักเย่าหวังกู่อยู่อย่างสันโดษมาหลายปี เป็นอิสระ แต่ตอนนี้…ผู้อาวุโสหลิงซูคิดว่ามันดีแล้วหรือ”
หลิงซูชะงักงัน จากนั้นก็ยิ้มด้วยสีหน้าที่เสียใจปนผิดหวัง “เป็นอิสระเป็นเรื่องที่ดี แต่น่าเสียดายที่…บางคนถูกลิขิตให้ไม่มีอิสระ เจ้าสำนัก…อานซุ่นจวิ้นอ๋องคือสายเลือดเดียวของสำนักเย่าหวังกู่ เขาพูดอะไรก็ต้องทำตามนั้น”
มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก “หากแม่นางคิดว่าดีก็ดี”
“ฝ่าบาทเสด็จ! ฮองเฮาเสด็จ!” เสียงที่สูงแหลมดังขึ้น เกี้ยวของฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ ฮองเฮาและบรรดาพระสนมในวังหลังเคลื่อนเข้ามาช้าๆ
“เชิญฝ่าบาทเสด็จ เชิญฮองเฮาเสด็จ!” ทุกคนรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพพร้อมกัน
“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์นั่งลงบนเก้าอี้มังกรที่สูงสง่า โบกมือพลางหัวเราะเสียงดัง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทุกคนเอ่ยขอบพระทัยอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์เหลือบมองเหล่าขุนนางในห้องโถงด้วยความพอพระทัย สุดท้ายก็ทอดพระเนตรมาที่หรงจิ่นด้วยสายตาที่มีความปีติ เขาตรัสด้วยรอยยิ้ม “สองสามวันก่อนจิ่นเอ๋อร์ไม่สบาย ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง” หรงจิ่นตอบอย่างนิ่งเฉย “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่เป็นห่วง ลูกสบายดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์มองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “สีหน้าของเจ้ายังดูไม่ค่อยดี ประเดี๋ยวกลับไปให้แม่นางหลิงซูช่วยดู”
หลิงซูไม่มีตำแหน่งและไม่มีสถานะที่สูงส่ง ถึงแม้จะมีทักษะรักษาโรคที่ยอดเยี่ยม ฮองเฮาให้ความสำคัญ แต่ก็ต้องนั่งข้างหลังเท่านั้น เมื่อได้ยินคำเอ่ยของฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ นางจึงรีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยตอบว่า “หลิงซูน้อมรับคำสั่งเพคะ”
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ เขาไม่เพียงไม่รับน้ำใจ แต่กลับเอ่ยว่า “ไม่รบกวนเสด็จพ่อดีกว่า ลูกชินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนพระพักตร์ของฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ก็แข็งค้าง สายตาของเขามีความรู้สึกผิด ถอนหายใจเบาๆ แล้วไม่ตรัสอะไรอีกนอกจาก “ช่างมันเถิด นั่งลงเถิด”
เห็นหรงจิ่นไร้มารยาทกับฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ในห้องโถงใหญ่เช่นนี้ สีหน้าของฮองเฮาและบรรดาพระสนมก็มีความไม่พอใจ แต่กลับไม่มีใครกล้าทำอะไร ปล่อยให้หรงจิ่นทำตัวไร้มารยาทอย่างช่วยไม่ได้ ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์กลับตามใจเขา ส่วนองค์ชายคนอื่นเคารพเขาแค่ไหน ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ก็ไม่ชอบพวกเขาอยู่ดี
งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าของทุกปีไม่มีอะไรพิเศษ ตามหลักแล้วฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์พูดคุยกับเหล่าขุนนาง จากนั้นเหล่าขุนนางและองค์ชายก็แสดงความยินดี อวยพรฮ่องเต้ ดูการแสดง ทานอาหาร ดื่มสุรา ปีนี้ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ งานเลี้ยงปีนี้มีคนนอกเพิ่มขึ้นสองสามคน เว่ยอู๋จี้ มู่หรงอวี้ แล้วยังมีกู้หลิวอวิ๋น
หลังจากสิ้นสุดงานเลี้ยง ยังมีการแสดงดอกไม้ไฟที่เตรียมไว้ในสวนดอกไม้ ถึงแม้ข้างนอกหิมะจะหยุดแล้ว แต่หิมะที่ทับถมกันเป็นกองหนายังทำให้มู่ชิงอีรู้สึกหนาวเย็น ความงดงามของดอกไม้ไฟได้หายไปทันทีเมื่อเผชิญกับน้ำแข็งและหิมะข้างนอก