หลังจากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้ยินเช่นนั้นก็ระเบิดอารมณ์ยกใหญ่ กระทั่งก่นด่าเหล่าองค์ชายจนหัวหมุนกันหมด รวมถึงผู้ว่าการเมืองหลวง หากไม่ใช่เพราะต้องใช้งานเขาล่ะก็เกรงว่าคงถูกส่งไปอยู่ในคุกแล้ว
“เมื่อวานได้ยินว่าใต้เท้าเมาจนไม่ได้สติ ตอนนี้สร่างเมาหรือยังเล่า” หรงจิ่นหรี่ตาพร้อมแฝงรอยยิ้มอันตรายเย็นชาบนใบหน้าหล่อเหลา
“สร่าง…สร่างแล้ว…ท่านอ๋องโปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นยิ้มเย็นชาเอ่ย “ข้าว่าเจ้ายังไม่สร่างเมาหรอกกระมัง! เมื่อวานข้าบอกแล้วว่าหากเจ้ายังมาไม่ถึงภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม ข้าจะช่วยให้เจ้าสร่างเมาเอง ตอนนี้…ยังทัน!”
พูดจบ หรงจิ่นก็ไม่รอให้ผู้ว่าการทันคัดค้านอะไรก็สะบัดแส้ใส่โดยตวัดพุ่งไปทางร่างของผู้ว่าการ หรงไหวที่อยู่ด้านข้างสีหน้าตึงทันที เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าแส้เส้นนี้ก็คือแส้เส้นเดียวกับที่หรงจิ่นใช้ฟาดเขาในวันนั้น ฉับพลันสีหน้าก็ขรึมลงก่อนรุดหน้าเข้าไปก้าวหนึ่งหมายจะพูดอะไรบางอย่าง
หรงเซวียนและหรงเหยี่ยนที่ขนาบข้างซ้ายขวาเขาอยู่ด้านข้างต่างรั้งหรงไหวไว้ หรงเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าหมอนี่สมควรโดนจริงๆ ไหวเอ๋อร์ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” ปกปิดก็ส่วนปกปิด แต่เรื่องไม่ถามไถ่เลยก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน หากจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ต่อให้เสด็จพ่อรู้ภายหลังก็คงไม่พูดอะไรมาก แต่เจ้าบ้านี่กลับทำทีว่าไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นเลย เขาไม่กลัวเรื่องแดงขึ้นมาบ้างหรืออย่างไร หากไม่จัดการเขาแล้วจะไปจัดการใครเล่า
หรงไหวกัดฟันเอ่ย “ลงโทษขุนนางชั้นสูงเช่นนี้ เขาจะโอหังเกินไปแล้วกระมัง”
หรงเซวียนเอ่ยเสียงเรียบ “ก็แค่ผู้ว่าการคนหนึ่งเท่านั้นเอง ถือว่าเป็นขุนนางชั้นสูงอะไรกัน ตีก็ตีไปเถิด”
หรงไหวกัดฟัน ความจริงเขาก็ไม่ได้เข้าข้างผู้ว่าการผู้นี้แต่อย่างใด ผู้ว่าการเองก็ไม่ใช่คนของเขา ต่อให้โดนตีหรือตายไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่พอเห็นหรงจิ่นใช้แส้ฟาดไปมาเช่นนี้กลับชวนให้หรงไหวแอบนึกไม่พอใจสักเท่าไร ราวกับคนที่เกลือกลิ้งโดนฟาดอยู่บนพื้นไม่ใช่ผู้ว่าการแห่งเมืองหลวงก็มิปาน
“อวี้อ๋องโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย!” เวลานี้ผู้ว่าการที่สุขุมน่าเกรงขามในเดิมทีร้องครวญครางอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะเย็นยะเยือก หรงจิ่นเหวี่ยงสะบัดแส้ฟาดด้วยท่วงท่าที่ไม่เลว ถึงแม้ไม่ได้ใช้วิทยายุทธ์แต่กลับมีพละกำลังมากมายออกมาไม่ขาดสาย ไม่ว่าเขาจะหลบไปทางไหนก็หนีแส้ยาวดั่งงูอสรพิษนี้ไม่พ้น
เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแสบร้อนที่ปะทุขึ้นเป็นระยะถึงแม้จะมีผ้าแพรหนากั้นอยู่ก็ตาม นอกจากร้องโอดครวญ ผู้ว่าการก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ “ท่านอ๋องไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิด…ฉินอ๋องช่วยด้วย…จวงอ๋อง ตวนอ๋องช่วยกระหม่อมด้วย กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว”
รอกระทั่งความโกรธของหรงจิ่นทุเลาลงแล้ว หรงเซวียนถึงเปิดปากเอ่ย “น้องเก้า พอแล้ว ไว้ชีวิตเขาเถิด”
เดิมทีหรงจิ่นเองก็ไม่ได้อยากเอาเขาถึงตายอยู่แล้วเลยแค่นเสียงเย็นชาก่อนเก็บแส้กลับไป จากนั้นก็เตะเขาให้พ้นทางก่อนเอ่ย “เห็นแก่หน้าพี่รอง หากครั้งหน้าข้ายังเจอคนไร้ประโยชน์ที่ไม่รู้ว่าตนควรทำเรื่องใดอีก ข้าจะโบยให้ตายเลย”
ผู้ว่าการคุกเข่าลงพื้น ตัวสั่นสะท้านแต่ไม่กล้าขยับสักนิด “พ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว ขอบพระทัยในบุญคุณของท่านอ๋อง ขอบพระทัยในบุญคุณของท่านอ๋อง”
หรงจิ่นมองแส้ในมือแวบหนึ่งด้วยท่าทีรังเกียจ จากนั้นก็โยนลงบนพื้นหิมะอีกฝั่ง บนพื้นหิมะสีขาวโพลนพลันถูกย้อมไปด้วยคาวเลือดทันที เขาฟาดแส้ใส่ผู้ว่าการครั้งนี้แตกต่างจากที่เขาฟาดแส้ใส่หรงไหวครั้งก่อน เพราะครั้งก่อนหรงจิ่นไม่ได้ใช้กำลังภายในและออมแรงไว้บ้าง ทว่าครั้งนี้ผ้าแพรบนร่างของผู้ว่าการที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นกลับถูกแส้ฟาดจนขาดวิ่นเต็มไปหมด ชุดผ้าแพรสีแดงเข้มนั้นย้อมไปด้วยเลือด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเจ็บหนักไม่เบา
แต่ครั้งนี้เพราะคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหรงจิ่น ถึงแม้จะเจ็บไปทั่วทั้งร่างแต่เขายังคงนั่งแน่นิ่งไม่ขยับ ใครไม่รู้บ้างว่าอวี้อ๋องเป็นดั่งราชาปีศาจขึ้นชื่อทั้งนอกและในเมืองหลวง ต่อให้วันนี้หรงจิ่นจะฟาดแส้ตีเขาจนตายตรงนี้ แต่เกรงว่าคงถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตำหนิไม่กี่ประโยคเท่านั้น แม้แต่การลงโทษสักนิดก็ไม่มี ต่อให้ตายก็เป็นการตายที่เสียเปล่า
หรงไหวที่อยู่ด้านข้างกลับรู้สึกขัดตา เอ่ยเย้ยหยัน “อวี้อ๋องวางอำนาจบาตรใหญ่นัก ถือว่าเสด็จปู่ทรงโปรดปรานเลยใช้แส้ฟาดใส่ขุนนางราชสำนักต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าใครให้สิทธิ์นี้กับเจ้ากัน”
หรงจิ่นเลิกคิ้วเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนยิ้มเย็นชาเอ่ย “เจ้าก็บอกเองแล้วมิใช่หรือว่าข้าเป็นคนโปรดของเสด็จพ่อ ย่อมเป็นเสด็จพ่อให้สิทธินั้นแก่ข้าอยู่แล้ว เจ้าไม่พอใจหรือ”
หรงไหวเผยความเกรี้ยวโกรธพาดผ่านดวงตา เขาคิดจะตอกกลับแต่ถูกหรงเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้างปรามไว้ก่อน มู่ชิงอีที่อยู่ด้านข้างหรงจิ่นเดินออกมาเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านอ๋อง ไม่ควรเสียมารยาทต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ กลับไปค่อยว่ากันเถิด”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วไม่สนใจหรงไหวอีก
หรงเซวียนกลับเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เหมือนที่พักอาศัยในหมู่บ้านนี้จะถล่มไปเจ็ดแปดส่วนในสิบแล้ว แล้วเมื่อคืนน้องเก้าพักอยู่ที่ไหนกัน” มู่ชิงอีมองผู้ว่าการที่ไร้เรี่ยวแรงข้างกายหรงไหวด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้…คงต้องขอบคุณใต้เท้า ตระกูลเจ้าสัวเฉินเป็นคนในครอบครัวของใต้เท้า เมื่อคืนกระหม่อมกับท่านอ๋องไปพักที่นั่นหนึ่งคืน ซ้ำยังซื้อข้าวสารอาหารแห้งมาจากเจ้าสัวเฉินไม่น้อย ท่านอ๋องอย่าลืมคืนเงินจำนวนนี้ให้จวนอวี้อ๋องเล่า มิเช่นนั้น…หากวันหน้าท่านอ๋องของเราอยากซื้ออะไรเกรงว่าคงจะลำบากแล้ว”
ผู้ว่าการที่ถูกมู่ชิงอีจับจ้องเช่นนั้นก็อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยข้างกายอวี้อ๋องจะมีสายตาที่เย็นยะเยือกได้มากขนาดนี้ สายตาที่จับจ้องเขาเย็นชาอำมหิตเสียกว่าอวี้อ๋องที่อารมณ์คุกรุ่นเสียอีก
“มิ…มิบังอาจ คุณชายพูดเรื่องน่าขันแล้ว” ผู้ว่าการเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถึงแม้เขาจะเป็นขุนนางและกู้หลิวอวิ๋นเป็นประชาชนธรรมดา แต่อย่าว่าแต่สถานะหัวหน้าผู้ดูแลข้างกายอวี้อ๋องเลย เพราะตอนนี้แม้แต่บ่าวรับใช้ธรรมดาๆ เขายังไม่ควรล่วงเกินด้วยซ้ำ
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “เหตุใดพูดจาน่าขันเช่นนั้นเล่า เมื่อวานเจ้าสัวเฉินใจกล้าขายข้าวสารอาหารแห้งทั้งหมดให้ข้ากับท่านอ๋องในราคายี่สิบเหวินต่อลิตร…เจ้าสัวเฉินช่างหัวพ่อค้านัก ไม่แปลกใจที่สามารถสร้างจวนหรูหราเช่นนี้ได้” ระหว่างที่พูดพวกเขาก็เดินมาถึงประตูจวนของตระกูลเฉินพอดี นับว่าเป็นจวนที่ดี เทียบแล้วไม่ต่างจากจวนเศรษฐีในเมืองหลวงสักเท่าไร
หรงเหยี่ยนมองมู่ชิงอีแล้วยิ้มเอ่ย “หัวหน้าผู้ดูแลกู้วางใจเถิด เงินที่ใช้ซื้อเสบียงเหล่านั้นไปราชสำนักย่อมคืนครบจำนวนแน่นอน ข้าต้องขอบคุณหัวหน้าผู้ดูแลกู้กับน้องเก้าที่เป็นธุระให้ชาวบ้านเหล่านี้”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ตวนอ๋องชมกันเกินไปแล้ว พวกเราก็แค่ช่วยเท่าที่ช่วยได้เท่านั้น”
ครั้นเห็นรอยยิ้มบางของหนุ่มน้อยชุดขาว หรงเหยี่ยนก็ผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา หนุ่มน้อยตรงหน้าหล่อเหลาซึ่งหาเห็นได้ยากมาก ยิ่งไปกว่านั้นบุคลิกการวางตัวเย็นชาเช่นนี้กลับยิ่งหาเห็นได้ยากเข้าไปใหญ่ สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือถึงแม้คำพูดคำจาของหนุ่มน้อยผู้นี้จะเย็นชาไปบ้างแต่กลับรู้จักเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน หากดึงเข้าเป็นพวกได้ วันหน้าหนุ่มน้อยผู้นี้คงอนาคตไกลแน่นอน
เพียงแต่น่าเสียดาย…ที่ช้าไปหนึ่งก้าว หรงเหยี่ยนลอบบ่นเสียดายในใจ
พอเข้าจวนตระกูลเฉินแล้ว มู่ชิงอีก็สั่งให้คนไปเอาตัวเจ้าสัวเฉินมา
“ใต้เท้า…ใต้เท้า ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้า!” เจ้าสัวเฉินร้องเรียกผู้ว่าการพลางวิ่งพุ่งเข้ามาโดยไม่คิดมองอะไรสักนิด
ครั้นเห็นทุกคนและผู้ว่าการที่ร่างอาบไปด้วยเลือดและใบหน้าซีดเซียวอย่างชัดเจนแล้วก็อดผงะไปไม่ได้ หรงเซวียนและหรงเหยี่ยนนั่งบนเก้าอี้ตัวหลักในโถง ถัดลงมามีหรงจิ่นและหรงไหวนั่งขนาบข้างซ้ายขวา ส่วนข้างกายหรงจิ่นยังมีหนุ่มน้อยชุดขาวที่กักขังคนทั้งตระกูลเขาไว้ด้วย ทว่าใต้เท้าผู้ว่าการแห่งเมืองหลวงบุตรเขยของเขากลับยืนกลางโถงด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ โดยไม่มีแม้แต่ที่จะนั่งด้วยซ้ำ