เพียงแค่หวังว่า… หรงจิ่นจะเป็นเหมือนที่เว่ยอู๋จี้พูดไว้จริงๆ เขาจะไม่ก่อเรื่องอะไรจริงๆ…
บนภูเขาที่หนาวเย็น กองไฟกำลังลุกไหม้อย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงรบกวน หญิงสาวหน้าตางดงามที่กำลังหลับใหลอยู่หน้ากองไฟ ถูกแสงจากเปลวไฟสาดส่องลงบนใบหน้าทำให้ใบหน้าเปล่งประกายสีแดง ถึงแม้สีหน้าของเขาจะขมวดคิ้วราวกับนอนไม่ค่อยหลับ แต่กลับไม่มีท่าทางที่อ่อนโยนและชาญฉลาดเมื่อตอนที่เขามีสติ มองดูแล้วราวกับเขาอายุเด็กลงสองสามปีอย่างไรอย่างนั้น
“มู่… ชิงอี มู่ฉังหมิงมีบุตรสาวที่เก่งกาจเช่นนี้ เกรงว่าตายไปแล้วก็คงจะโล่งใจ” ผ่านไปครู่หนึ่ง เว่ยอู๋จี้ก็ถอนหายใจเบาๆ คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวตระกูลมู่จะสนิทสนมกับตระกูลกู้ ไม่เพียงแต่แอบสืบทอดกิจการของตระกูลกู้ แม้แต่นามแฝงก็ยังใช้ชื่อของบุตรชายคนเล็กที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็กของตระกูลกู้
“ใคร! ออกมาเดี๋ยวนี้” สายตาที่กำลังมองมู่ชิงอีอย่าเหม่อลอยของเว่ยอู๋จี้มืดมนลง เขายกมือขึ้นมากดจุดมู่ชิงอีที่กำลังหลับใหล ทำให้นางหลับใหลไปอีกครั้ง
มีชายชุดดำเดินออกมาจากความมืด แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณชายเว่ย” คนที่มาคือหัวหน้าชายชุดดำที่ไล่ฆ่ามู่ชิงอีและเว่ยอู๋จี้
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ยังไม่ยอมแพ้เช่นนั้นหรือ เจ้าคิดว่า…เจ้าจะฆ่าเขาต่อหน้าข้าได้อย่างนั้นหรือ”
ชายชุดดำคนนั้นยิ้มอย่างเอือมระอาแล้วพูดว่า “คุณชายเว่ย ฆ่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นคำสั่งของนายท่าน ข้าน้อยขัดคำสั่งไม่ได้ คุณชายเว่ยอย่าได้ทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย” ด้วยความสนิทสนมของเขากับเว่ยอู๋จี้ หรือว่าเขาจะบ้าไปแล้ว ไม่มีอะไรแต่กลับมาหาเรื่องเว่ยอู๋จี้ แต่การเป็นทาสของคนอื่น ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้ากลับไปเถิด เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง กู้หลิวอวิ๋นจะตายไม่ได้”
“แต่…”
เว่ยอู๋จี้พูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าเป็นคนพากู้หลิวอวิ๋นออกมา ถ้าเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะให้ข้าอธิบายกับอวี้อ๋องเช่นไร อย่าลืมว่าอวี้อ๋องนิสัยแบบใด ถ้าเขาจะแก้แค้นให้กู้หลิวอวิ๋น ใครก็ทำอะไรไม่ได้!” เขาเหลือบมองดูชายชุดดำคนนั้นอย่างนิ่งเฉยแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้ากลับไปที่จวนของข้าก่อน เมื่อกลับไปแล้วข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ไม่มีทางทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนแน่นอน”
ชายชุดดำคนนั้นรู้ดีว่าตราบใดที่เว่ยอู๋จี้ไม่ยอม ตัวเองก็ฆ่ากู้หลิวอวิ๋นไม่ได้ เว่ยอู๋จี้บอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเขาก็โล่งใจ ยกมือขึ้นประสาน “เช่นนั้น ข้าน้อยขอตัวขอรับ” ชายชุดดำคนนั้นมาเร็วไปเร็ว เขาหายตัวไปในความมืดอย่างไร้ร่องรอย
เว่ยอู๋จี้ก้มหน้ามองหญิงสาวในคราบชายหนุ่มชุดขาวที่เอนตัวอยู่บนเนินเขา กำลังห่มเสื้อคลุมของตัวเองอยู่พลางขยับเข้าไปใกล้กองไฟอย่างไม่รู้ตัว เขาก็ถอนหายใจอย่างแรง ไม่ว่าเช่นไรกู้หลิวอวิ๋นก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยรู้จักอวี้อ๋อง แต่เขารู้จักอวิ๋นอิ่น หากกู้หลิวอวิ๋นเป็นอะไรไปจริงๆ เว่ยอู๋จี้ไม่แน่ใจว่าหรงจิ่นจะทำอะไรบ้าง
นอกเมืองที่เงียบสงัด แต่ในเวลานี้สถานที่บางแห่งในเมืองหลวงกลับกำลังโกลาหล ในจวนตระกูลเว่ย ห้องโถงที่ควรเงียบสงัดกลับสว่างไสว ห้องโถงที่งดงามเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างใน หนึ่งในนั้นยังรวมถึงเฉียนหลิง นายหญิงคนต่อไปของตระกูลเว่ย
เฉียนหลิงคุกเข่าลงกับพื้นอย่างน่าอนาถ ถึงแม้ว่าจะมีพรมนุ่มอยู่บนพื้น แต่จู่ๆ ก็ถูกคนจับลุกขึ้นมาจากเตียง เอามาโยนไว้ที่ห้องโถง ชุดบางๆ บนตัวของนางยังทำให้นางรู้สึกหนาวเย็นมาจากหัวเข่า
เฉียนหลิงมองดูชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า นางกัดฟันเอ่ย “อวี้อ๋องเพคะ ถึงแม้ท่านจะเป็นองค์ชาย แต่ท่านก็ไม่ควรเหิมเกริมเช่นนี้ ที่นี่คือจวนตระกูลเว่ย ไม่ใช่จวนอวี้อ๋องของท่าน”
บนที่นั่ง หรงจิ่นที่สวมชุดสีดำ ในสายตามีความโหดเหี้ยมและชั่วร้าย แล้วยังมีประกายแสงสีแดง ก้มหน้าลงมองเฉียนหลิง “บอกข้ามาว่าเว่ยอู๋จี้ไปไหน”
เฉียนหลิงพลันหวาดกลัว พูดกระอึกกระอัก “อู๋จี้ยังไม่กลับมา หากท่านมีธุระกับเขา ทำไมท่านถึงกล้า…”
หรงจิ่นเอ่ยขัดจังหวะนางด้วยความรำคาญ “ใครมีธุระกับเว่ยอู๋จี้ ข้าแค่อยากรู้ว่า เขาพาจื่อชิงของข้าไปไหน!”
“จื่อชิง?” เฉียนหลิงไม่เข้าใจ สองวันนี้นางเป็นหวัดจึงไม่ได้ออกมาข้างนอก จู่ๆ ก็ถูกหรงจิ่งส่งคนไปจับตัวมาที่ห้องโถง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “หม่อมฉันไม่รู้ หม่อมฉันไม่รู้เรื่องจื่อชิงเพคะ…”
ข้างหลังของเฉียนหลิง ผู้ดูแลจวนตระกูลเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “อวี้อ๋องพ่ะย่ะค่ะ วันนี้หลังจากคุณชายออกไปข้างนอก จนถึงตอนนี้คุณชายก็ยังไม่กลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงอารมณ์ไม่แน่นอนของอวี้อ๋อง ตอนนี้พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงต้องระวัง พยายามไม่ทำให้อวี้อ๋องไม่พอใจ
นอกประตู อู๋ฉิงรีบเดินเข้ามา หรงจิ่นมองเขาแล้วถามว่า “ยังไม่มีข่าวจื่อชิงอีกหรือ”
อู๋ฉิงก้มหน้าลงแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “หลังจากที่คุณชายกู้และคุณชายเว่ยออกไปจากประตูเมือง ก็ไม่มีใครเห็นพวกเขากลับเข้ามาอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ คนที่อยู่นอกประตูเมืองก็กำลังตามหาอยู่”
หรงจิ่นลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าออกไปตามหานอกประตูเมืองเอง”
อู๋ฉิงรีบพูด “ท่านอ๋อง ตอนนี้ประตูเมืองปิดแล้ว…” หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะเยาะ จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องโถงทันที “โง่! ปิดแล้วจะเปิดไม่ได้หรือ”
อู๋ฉิงเงียบปากทันที ปัญหาคือตั้งแต่โบราณ นอกจากรายงานสงครามฉุกเฉิน ไม่เคยมีการเปิดประตูเมืองยามกลางคืนเกิดขึ้นมาก่อน มองดูแผ่นหลังที่รีบเดินออกไปของหรงจิ่น แล้วก็หันมามองดูผู้คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นในห้องโถง เขาลังเลก่อนจะพูดว่า “คุณชายปู้ รบกวนท่านแล้ว”
ปู้อวี้ถังยักไหล่อย่างเอือมระอา แสดงให้เห็นว่าเขาไม่สนใจ
“คุณชายปู้ คนเหล่านี้ควรทำเช่นไรดี” คนที่อยู่ข้างๆ ขอคำแนะนำอย่างระมัดระวัง ปู้อวี้ถังพูดด้วยความไม่พอใจ “ทำเช่นไร ก็ขังไว้ที่ไหนสักที่แล้วค่อยว่ากัน!”
“เอ่อ…มันจะดีหรือ ในบรรดาคนเหล่านี้ยังมีครอบครัวของคุณชายเว่ย”
“ครอบครัว? หากใต้เท้ากู้กลับมาอย่างปลอดภัยก็คงดี แต่หากใต้เท้ากู้เป็นอะไรไป คนเหล่านี้ยังจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ยังไม่แน่” ปู้อวี้ถังสะบัดมือบอกให้ลูกน้องไปจัดการ จากนั้นก็เดินผ่านเชียนหลิงที่กำลังร้องไห้
เมื่อออกไปข้างนอก เขาก็เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงัด ปู้อวี้ถังถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ “คุณชายกู้ ท่านต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
อวี้อ๋องจะออกไปนอกเมือง ถึงแม้จะเป็นยามดึกก็ไม่มีใครหยุดเขาได้ เดิมทีการที่หรงจิ่นจะออกไปนอกเมืองไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้ เพราะด้วยกำลังภายในของคุณชายอวิ๋นอิ่น ถึงแม้จะกระโดดข้ามกำแพงเมืองออกไปก็ไม่มีใครรู้ แต่ในเมื่อหรงจิ่งจะออกไปตามหาคน แน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกไปคนเดียว แต่การที่จะพาคนกลุ่มหนึ่งออกไปนอกเมืองยามดึกดื่น ไม่มีทางเป็นไปได้
“อวี้อ๋องพ่ะย่ะค่ะ…” องครักษ์ที่เฝ้าประตูเมืองทำสีหน้าขมขื่น “อวี้อ๋องได้โปรดอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเปิดประตูเมืองไม่ได้จริงๆ” ตอนนี้หากเขาไม่เปิดประตูเมืองเขาจะทำให้อวี้อ๋องไม่พอใจ แต่หากเขาเปิดประตูเมือง เกรงว่าพรุ่งนี้เช้าทั้งครอบครัวของเขาคงจะถูกเนรเทศออกจากเมืองเป็นแน่
หรงจิ่นนั่งอยู่บนหลังม้า ก้มหน้าลงมององครักษ์เฝ้าประตูเมือง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า…เจ้าจะไม่เปิดเช่นนั้นหรือ”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง