“ไม่เคยสนใจใคร?” คนที่อยู่หลังม่านเอ่ย “เจ้าควรพูดว่า…อวี้อ๋องสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อกู้หลิวอวิ๋นไม่ถูกกว่าหรือ” เว่ยอู๋จี้เงียบ ยอมรับคำกล่าวของอีกฝ่าย
คนที่อยู่หลังม่านเงียบอยู่นาน จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อวี้อ๋องและกู้หลิวอวิ๋นเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่เดือน แต่กลับยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา ดังนั้น…เจ้ายังบอกว่าเขาไม่สมควรตายอย่างนั้นหรือ อู๋จี้ เจ้าคิดอะไรอยู่”
สีหน้าของเว่ยอู๋จี้ซีดขาว เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านพ่อ…ท่านสงสัยอู๋จี้อย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ ข้าไม่มีทางสงสัยเจ้า” คนที่อยู่หลังม่านเอ่ยอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ ว่ากู้หลิวอวิ๋นต้องตาย! เรื่องนี้ข้าจะไม่คิดอะไร แต่ต่อไปเจ้าอย่างเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก”
“ทำไมกัน” เว่ยอู๋จี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “หรือเพราะว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นผู้ชาย แต่ว่า…ข่าวลือในเมืองหลวงก็เป็นแค่ข่าวลือ กู้หลิวอวิ๋นเป็นคนฉลาด แล้วยัง…”
“อู๋จี้ เจ้ากำลังช่วยพูดให้กู้หลิวอวิ๋นอย่างนั้นหรือ” คนที่อยู่หลังม่านดูเหมือนจะได้ยินเรื่องที่น่าสนใจ เขา หัวเราะ แต่ในเสียงหัวเราะกลับไม่มีความอบอุ่น ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ถึงอย่างไรเขาก็ต้องตาย!”
“ทำไมกันเล่า” เว่ยอู๋จี้ตกตะลึง แต่ในขณะเดียวกันก็ตัดสินใจที่จะปิดบังความจริงที่กู้หลิวอวิ๋นเป็นผู้หญิงเอาไว้ ผู้หญิงเช่นนี้ ไม่ใช่คนที่หาได้ง่ายๆ ถึงแม้นางไม่มีความสัมพันธ์กับหรงจิ่น เขาก็ไม่อยากให้ผู้หญิงที่พิเศษเช่นนี้ต้องตาย
ปัง! มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างใน ราวกับมีของอะไรบางอย่างตกลงบนพื้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนที่อยู่ข้างในเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ทำไม ความรักทำลายมนุษย์ ในเมื่อเขาอยากประสบความสำเร็จ แล้วทำไมยังต้องการความรัก ถึงแม้กู้หลิวอวิ๋นจะเป็นผู้ชาย แต่เขาก็ต้องตาย หากเป็นผู้หญิง…ยิ่งต้องตาย!”
เว่ยอู๋จี้ตกใจ ขมวดคิ้วมุ่น “แต่ไม่ว่าเช่นไรอวี้อ๋องก็ต้องแต่งงาน”
“ถูกต้อง ข้าจะเลือกภรรยาที่เหมาะให้เขาเอง…ภรรยาที่สามารถช่วยเขาได้ อายุยี่สิบแล้วยังไม่แต่งงาน ดื้อรั้นจริงๆ…” เอ่ยถึงตรงนี้ ถึงแม้เขาจะตำหนิอย่างไม่พอใจ แต่ในน้ำเสียงกลับมีความรักใคร่เอ็นดู เว่ยอู๋จี้ราวกับไม่รู้สึกถึงความชาและความไม่สบายตัวที่เกิดจากการคุกเข่าบนพื้นเป็นเวลานาน ครุ่นคิดในใจ เกรงว่าเขาคงไม่ยอมฟังท่าน หากท่านรักเขาจริง แล้วทำไมถึงไม่สนใจเขาตั้งหลายปี
เมื่อนึกถึงท่าทีของหรงจิ่นเมื่อคืนวาน นั่นคือครั้งแรกที่เขาต่อสู้กับคุณชายอวิ๋นอิ่นที่ไม่ใส่หน้ากาก แต่เขากลับคุ้นเคยกับคุณชายอวิ๋นอิ่น ท่วงท่าที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น สายตาที่เย็นชาราวกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว เหตุใดถึงไม่เหมือนนิสัยขององค์ชายที่ถูกเลี้ยงมาด้วยความรักและความเอ็นดู
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เว่ยอู๋จี้ก็อ้าปากเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ โปรดไตร่ตรองอีกสักครั้ง ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไป อวี้อ๋องต้องระวังตัวมากขึ้นแน่นอน อยากทำอะไรกู้หลิวอวิ๋นคงไม่ใช่เรื่องง่าย หากตัวตนของท่านถูกเปิดเผย เกรงว่า…” ไม่ว่าเช่นไร ตอนนี้เว่ยอู๋จี้ไม่อยากเป็นศัตรูกับหรงจิ่นแล้ว ถึงแม้จะถูกสถานะองค์ชายจำกัด แต่หรงจิ่นก็ยังเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก
คนที่อยู่หลังม่านหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ถูกเปิดเผยตัวตน? เปิดเผยให้ใคร เจ้าคิดว่าเขาไม่รู้อะไรเช่นนั้นหรือ เขาก็แค่…ยังหาโอกาสลงมือไม่ได้ เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถิด เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ไม่เช่นนั้น… เจ้าคงรู้ผลลัพธ์ที่จะตามมา”
เว่ยอู๋จี้ก้มหน้าลง เขาถอนหายใจด้วยสายตาที่มืดมน ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้น ท่านพ่อโปรดระวังตัวด้วย”
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย เรื่องนี้คงจะสำเร็จตั้งนานแล้ว” คนที่อยู่หลังม่านเอ่ยเบาๆ จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด แล้วยังมีเชียนหลิงของเจ้า รีบจัดการเสียเถิด เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว รีบแต่งงานเสีย หรือว่าเจ้าต้องการแค่นางคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
“แต่งงานกับนางคนเดียวไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร เชียนหลิงเองก็มีความดีความชอบไม่น้อย” ใบหน้าที่หล่อเหลาของเว่ยอู๋จี้มีรอยยิ้มที่ขมขื่น ชีวิตของเขาไม่ใช่ของตัวเอง แต่สิ่งของบางอย่าง เขากลับอยากมีไว้ครอบครอง
เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่ข้างในไม่ได้จริงจัง เอ่ยอย่างเฉยเมย “เจ้ากลับไปคิดให้ดี กลับไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ อู๋จี้ขอตัวก่อน ท่านพ่อโปรดรักษาสุขภาพด้วย” เว่ยอู๋จี้เอ่ยอย่างนอบน้อม
“ใคร?”
ทันทีที่เว่ยอู๋จี้ลุกขึ้นแต่ยังไม่ได้หันหลังออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงขององครักษ์ดังมาจากนอกประตู จากนั้นก็เงียบเสียงไป เห็นได้ชัดว่าองครักษ์ที่ส่งเสียงขึ้นมานั้นถูกคนฆ่าไปแล้ว เว่ยอู๋จี้ยังไม่มีปฏิกิริยาใดก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและเย็นชาดังมาจากข้างนอก “เว่ยอู๋จี้ ออกมาเดี๋ยวนี้!”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลืมไปว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นเจ้าคิดเจ้าแค้นมากแค่ไหน คำว่าลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ไม่สาย มีไว้สำหรับคนที่ไม่มีความสามารถ เพราะหากมีความสามารถก็ต้องแก้แค้นทันที แต่สำหรับเรื่องที่หรงจิ่นสามารถตามเขามาถึงที่นี่โดยที่เขาไม่รู้ตัว คือเรื่องที่เว่ยอู๋จี้คิดไม่ถึง
“เขาหรือ” ในห้อง เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนในน้ำเสียงแฝงอะไรบางอย่าง
สายตาของเว่ยอู๋จี้เปลี่ยนไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ อู๋จี้จะออกไปไล่เขาประเดี๋ยวนี้” ทันทีที่กล่าวจบ เว่ยอู๋จี้ก็รีบเดินออกไป จากนั้นก็ปิดประตูที่อยู่ด้านหลัง
เป็นเหมือนที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด หรงจิ่นที่สวมชุดสีดำยืนอยู่ใต้แสงจันทร์สลัว ถึงแม้ยามดึกจะมืดมิด ถึงแม้เขาจะสวมชุดสีดำ แต่มันกลับปกปิดความเย็นชาในสายตาของเขาไม่ได้ พอเห็นเว่ยอู๋จี้ออกมา หรงจิ่นก็หัวเราะเสียงเย็นเยียบ ถือมีดซิวหลัวที่เปื้อนเลือดขึ้นมา ชี้มีดไปที่เว่ยอู๋จี้แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “เรียกคนที่แอบอยู่ในห้องออกมา”
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “อวิ๋นอิ่น อยากรู้อยากเห็นมากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี”
หรงจิ่นหัวเราะเย้ยหยัน “อยากรู้อยากเห็น…ข้าอยากรู้อยากเห็นจริงๆ ว่าในเมืองหลวงนี้ คนที่กล้าทำอะไรบนหัวของข้ามีไม่มากนัก” เว่ยอู๋จี้มุ่นคิ้วเอ่ย “คนที่อยู่ข้างในไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของเมื่อวาน”
“ข้าลากเขาออกมาถามเองก็รู้ว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว!” หรงจิ่นไม่พูดอะไรอีก แกว่งมีดซิวหลัวในมือแล้วพุ่งเข้ามาหาเว่ยอู๋จี้อย่างไร้ความปรานี เว่ยอู๋จี้รู้สึกเอือมระอาแต่ไม่ได้เบี่ยงตัวหลบ พวกเขาสองคนจึงประมือกันในลาน ถึงแม้องครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่จะอยากออกมาช่วยเว่ยอู๋จี้ แต่พวกเขาสองคนต่างก็ต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว ถึงแม้องครักษ์เหล่านั้นจะเป็นถึงยอดฝีมือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแยกออกว่าใครคือหรงจิ่นใครคือเว่ยอู๋จี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้อารมณ์ของหรงจิ่นกำลังจะปะทุ เขาไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย แต่เว่ยอู๋จี้กลับไม่อยากทำร้ายหรงจิ่น ในทางตรงกันข้ามกลับออมมือให้อีกฝ่าย ผ่านไปไม่นาน เขากำลังจะพ่ายแพ้ หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ “เว่ยอู๋จี้ เจ้ารนหาที่ตายเองก็อย่ามาโทษข้า!”
พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด ชัยชนะและความพ่ายแพ้อยู่ไม่ไกล ดังนั้นทุกครั้งที่ต่อสู้กัน พวกเขาจึงต้องใช้พละกำลังทั้งหมด หากเมตตาอีกฝ่ายในตอนที่ตัวเองไม่มีกำลังพอที่จะเมตตาต่อคู่ต่อสู้ก็คงจะพ่ายแพ้ และถึงแม้เว่ยอู๋จี้จะตายด้วยดาบของหรงจิ่น แต่หรงจิ่นก็จะไม่มีทางสงสารเขา