บทที่ 1255 ข้าไม่เกรงกลัวสิ่งใด
คืนวันนั้น เยี่ยหวันหวั่นได้รับโทรศัพท์จากสวี่อี้
“คุณหนูหวันหวั่น…เกิดเรื่องที่ตระกูลซือแล้วครับ…” ปลายสายมีเสียงร้อนรนของสวี่อี้ดังมา
เมื่อได้ยิน เยี่ยหวันหวั่นดวงตาวาบประกายเล็กน้อย ซือเยี่ยหานหายตัวไป ช้าเร็วก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่กับตระกูลซือแน่นอน เรื่องนี้เยี่ยหวันหวั่นคาดเดาไว้อยู่แล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้…
“ซือหมิงหลี่หนีกลับมาแล้ว…พวกผู้ใหญ่ในตระกูลเอนเอียงไปทางนั้นหมด พวกเขาสนับสนุนให้ซือหมิงหลี่ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลซือ อาการของคุณผู้หญิงก็แย่ลงเรื่อยๆ…” สวี่อี้บอก
“ฉันเข้าใจแล้ว คุยผ่านโทรศัพท์ไม่ค่อยสะดวก ไปเจอกันที่นั่นแล้วค่อยคุยรายละเอียดกันดีกว่า” เยี่ยหวันหวั่นกล่าว
“ได้ครับ!” สวี่อี้รับคำแล้ววางสายไป
……
กลางดึก เยี่ยหวันหวั่นมาถึงลานจอดรถ
เธอก้าวเท้าไม่กี่ก้าวก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล
“หึๆ คุณหนูเยี่ย…จะไปไหนงั้นเหรอ?”
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืด ด้านหลังมีชายชุดดำตามมาด้วยประมาณสิบกว่าคน
พอเห็นท่าไม่ดี เยี่ยหวันหวั่นจึงรีบหมุนตัววิ่งหนีออกจากลานจอดรถ
ก่อนหน้านี้ พ่อบ้านหวงเคยบอกว่าจะจัดการเธอ…
เยี่ยหวันหวั่นนึกว่าพ่อบ้านหวงจะจัดการเธอด้วยวิธีเดียวกันกับที่ใส่ร้ายเยี่ยเส่าถิงกับเยี่ยมู่ฝาน นึกไม่ถึงว่า…จะจ้างคนมาฆ่าเธอเลย…
“ฮี่ๆ…คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ…” ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าแสยะยิ้ม ก่อนหันไปส่งสัญญาณให้พวกข้างหลัง
ไม่นาน รถสี่คันก็สตาร์ทและขับตามเยี่ยหวันหวั่นไป
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกแล้ว ที่นี่เป็นชานเมืองที่ลับตาคน รอบๆ ไม่มีรถหรือคนสัญจรผ่านอีก รถสี่คันนั้นจึงยิ่งขับไล่ล่าเยี่ยหวันหวั่นอย่างบ้าระห่ำไม่เกรงกลัวสิ่งใด
……
ขณะเดียวกัน กลางดึกสงัด ดวงจันทร์กลมเกลี้ยงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า สายลมอ่อนโชยผ่านเบาๆ
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สิบกว่าคนกำลังเดินวางท่าไปตามถนน
ชายฉกรรจ์รูปร่างหน้าตาน่ากลัวพวกนี้ใส่เสื้อยืดสีขาวเหมือนกันหมด ข้างหลังเสื้อยืดพิมพ์คำว่า ‘อู๋เว่ย’ (อาจหาญ) ด้วยลายมือแบบหวัดเอาไว้ ดูไปแล้วน่าเกรงขามไม่น้อย
“เป็นตายล้วนอนิจจัง! ไม่อยากจำนนก็ต้องสู้! ข้าไม่เกรงกลัวสิ่งใด!”
“ฮ่าๆ! อู๋เว่ยจงเจริญ!”
ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนตะโกนคำขวัญแปลกๆ พวกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นี่ลูกพี่ พวกเราโดนไล่ออกจากพันธมิตรอู๋เว่ยแล้ว…วันๆ จะมัวท่องคำปฏิญาณตนตอนเข้ากลุ่มไปทำไม?” ชายฉกรรจ์หัวโล้นหนึ่งในนั้นหันไปพูดกับชายคนที่เป็นหัวหน้า
“แล้วยังไง ในเมื่อพวกเราเข้าพันธมิตรอู๋เว่ยแล้ว อยู่ก็เป็นคนของอู๋เว่ย ตายก็เป็นคนของอู๋เว่ย ถึงจะโดนไล่ออกจากพันธมิตรอู๋เว่ยแล้ว ก็เป็นความแค่ความอัปยศที่โดนไล่ออกจากกลุ่ม ทำไม ไม่ได้รึไง!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าแค่นเสียงขึ้นจมูก
“เฮ้อ…ลูกพี่ ฉันว่าเรื่องนี้ชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ ช่วงก่อนพวกระดับสูงในพันธมิตรสั่งให้เราไปทำลายตระกูลหนึ่ง บอกว่าห้ามปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว คนตระกูลนั้นถูกพวกเรากวาดล้างหมด แต่ไอ้ลูกหมาตัวหนึ่งมันวิ่งเร็วหนีไปได้ พวกเราที่เป็นมือดีของพันธมิตรอู๋เว่ยจะไปไล่ล่าหมาตัวเดียวก็ยังไงอยู่…แต่เพราะไอ้ลูกหมาที่หนีรอดไปได้ตัวนั้น ทำให้พวกเราโดนตราหน้าว่าทำงานไม่ได้เรื่อง จนต้องถูกลบชื่อออกจากแก๊งหมด…”
ได้ยินดังนั้น ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าจนคำพูด ใช่แล้ว เหตุที่พวกเขาถูกไล่ออกจากพันธมิตรอู๋เว่ย ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้ลูกหมาตัวนั้น…
“หยุดพูดมากได้แล้ว เดี๋ยวแม่ตบกบาลแยกซะนี่” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าดูหงุดหงิดเล็กน้อย
“ไม่พูดมากได้ไงล่ะลูกพี่ พอโดนไล่ออกจากแก๊ง ในรัฐอิสระก็ไม่มีที่ให้พวกเรายืนแล้ว สุดท้ายจับพลัดจับผลูมาอยู่ประเทศจีน…ศิลปะต่อสู้ของจีนก็ล้าหลังชะมัด แถมยังไม่มีกลุ่มศิลปะต่อสู้อะไรให้เข้าร่วมด้วย ต่อไปพวกเราจะอยู่ยังไงล่ะ…”
————————————————————————————-
บทที่ 1256 หรือไม่ก็อาจตายไปแล้ว
“เฮ้อ…” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าถอนหายใจ “น่าเสียดาย ลูกพี่แบดเจอร์ในพันธมิตรอู๋เว่ยของพวกเราหายตัวไปนานหลายปีแล้ว…ตอนนี้พันธมิตรอู๋เว่ยตกต่ำลงไม่น้อย ถึงได้เข้มงวดกับพวกลูกน้องขึ้นเรื่อยๆ นี่ถ้าลูกพี่อยู่ จะต้องไม่ถือสาที่เราปล่อยไอ้ลูกหมาตัวนั้นหนีไปได้แน่…” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าพูดหน้าเศร้า
“ลูกพี่ ผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยของพวกเรา ได้ยินมาว่าเป็นผู้หญิงนะ แถมยังอายุไม่มากด้วย…เสียดายตอนที่พวกเราเข้ามา หัวหน้าก็หายตัวไปแล้ว…ลูกพี่ ฉันละอยากรู้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งสร้างพันธมิตรอู๋เว่ยขึ้นมาได้ แล้วยังทำให้พันธมิตรอู๋เว่ยกลายเป็นกลุ่มอำนาจเดียวที่รัฐอิสระพากันเกรงกลัวอีก…ทำได้ยังไงเนี่ย?”
“ว่ากันว่าแขนของหัวหน้าแข็งแรงจนคนยืนบนนั้นได้เลย สูงเจ็ดแปดจั้ง[1] โหดร้ายเลือดเย็น คลั่งผู้ชายหน้าตาดี…ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงเหรอ?” ชายอีกคนถามด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็น
ชายฉกรรจ์แค่นหัวเราะ “บ้านพ่อแกสิ…แกดูหนังเยอะไปแล้ว เจ็ดแปดจั้ง? นั่นมันมนุษย์ต่างดาวแล้วมั้ง!”
ชายฉกรรจ์ทำท่าจะพูดอะไรอีก แต่จู่ๆ แสงไฟก็ถูกสาดมาจากข้างหน้า
เห็นดังนั้น ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนมองไปข้างหน้า เห็นแต่หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสะดุดตาท่าทางคล่องแคล่วว่องไวคนหนึ่งกำลังวิ่งมาตามถนนหลวง ข้างหลังมีรถเจ็ดแปดคันขับตามมาอย่างบ้าคลั่ง
“เฮ้อ ดูคนเขาสิ ดึกขนาดนี้แล้วยังออกมาวิ่งออกกำลังกายอีก ต้องเป็นคนรวยแน่ๆ แถมยังมีรถคอยคุ้มกันอีก” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้ากล่าว
“ก็ว่างั้น ลูกพี่ดูผู้หญิงคนนั้นสิ ทั้งหุ่น…ทั้งหน้า…จิ๊ๆ ออกกำลังกายกลางดึกอย่างนี้อันตรายเกินไป มีรถคอยคุ้มกันเจ็ดแปดคันก็ไม่เกินไปหรอก!” ชายฉกรรจ์อีกคนพยักหน้าเห็นด้วยรัวๆ
“เอ๊ะ…หน้าแบบนั้น ทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆ จัง…ตอนเข้าพันธมิตรพวกเราท่องคำปฏิญาณต่อหน้ารูปหัวหน้า…พวกนายดูดีๆ สิ ผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนผู้นำพันธมิตรเลยไม่ใช่เหรอ?”
“เหมือนอะไรกัน หัวหน้ากลุ่มเราหายตัวไปตั้งนานแล้ว นี่ก็ตั้งหลายปี…ไม่รู้ไปเร่ร่อนอยู่ไหน หรือไม่อาจจะตายไปแล้วก็ได้…อีกอย่าง รูปหัวหน้าของเราดูเด็กมาก ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะโตแล้ว อืม แล้วก็สวยกว่ามากด้วย…”
“เดี๋ยวก่อน…” หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ทำหน้าประหลาดใจ “ทำไมรถพวกนั้นถึงได้วิ่งเร็วกว่าผู้หญิงคนนั้นอีกล่ะ…แปลกๆ แล้วนะ!”
ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าเพ่งมอง จากนั้นแค่นหัวเราะ “แกจะไปรู้เรื่องอะไร ผู้หญิงคนนี้กำลังท้าทายศักยภาพตัวเองอยู่แน่นอน เลยบอกให้คนขับไล่ชนเธอ แบบนี้เธอจะได้วิ่งเร็วขึ้นไง! มีการศึกษาบ้างไหม?”
“เอ๊ะ…ทำไมฉันรู้สึกว่ารถพวกนั้นใกล้จะชนเธอแล้วล่ะ?”
ชายฉกรรจ์หนึ่งในกลุ่มเผยสีหน้าแปลกใจ
ขณะพูด รถคันที่ขับนำพลันเร่งความเร็วขึ้นสูง ทำท่าจะพุ่งชนเยี่ยหวันหวั่น
เสี้ยววินาทีนั้น เยี่ยหวันหวั่นรับรู้ได้ถึงอันตรายถึงชีวิต ราวกับว่าอีกแค่วินาทีเดียวเธอก็จะถูกรถข้างหลังขับทับแล้ว
ในหัวของเยี่ยหวันหวั่นขาวโพลนไปหมด วินาทีนั้น เธอเองก็ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ร่างกายของเธอกลับตอบสนองตามสัญชาตญาณ
เยี่ยหวันหวั่นยันขาหลังออกไปยันรถที่ขับตามมาข้างหลัง จากนั้นก็โน้มตัวไปข้างหน้า อาศัยแรงขับเคลื่อนของรถ กระโดดออกไปไกลทันที เหมือนเสือชีตาร์ที่อยู่ในทุ่งหญ้าแอฟริกา
จากนั้น ร่างของเยี่ยหวันหวั่นที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างงดงามดุจผีเสื้อ
……………………………………………………….
[1] จั้ง หน่วยความยาวเท่ากับ 3.3 เมตร