เรื่องเหล่านี้มู่ชิงอีย่อมบอกกับมู่หรงอวี้ทั้งหมด สีหน้าของมู่หรงอวี้ซีดขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนกลางคืน จุดเทียนสองเล่มในคุกที่มืดมิด ทำให้คุกที่มืดและชื้นอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย นอกห้องคุมขังมู่หรงอวี้ มีเก้าอี้ขนาดใหญ่ที่หรงจิ่นกำลังเอนกายพิงอย่างเกียจคร้านแล้วผล็อยหลับไป มืออีกข้างหนึ่งก็ไม่ลืมที่จะโอบเอวมู่ชิงอีที่นั่งอยู่อีกครึ่งหนึ่งของเก้าอี้อย่างยากลำบากเพื่อไม่ให้นางตกเก้าอี้ โดยที่นางไม่มีทางเลือก องค์ชายเก้าไม่เพียงแต่มีนิสัยเอาแต่ใจ แม้แต่ท่าทางการนั่งก็ยังเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก
หรงจิ่นหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ยิ้มพลางมองมู่ชิงอีที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธที่ระบายออกมาไม่ได้ภายใต้แสงเทียน ใครใช้ให้มู่ชิงอีไม่ยอมพิงเขากันเล่า หากพิงเขาก็คงไม่ต้องนั่งอย่างลำบากเช่นนี้ เขาก็จะได้ไม่ต้องโอบเอวนางต่อหน้าคนอื่น
องค์ชายเก้ากลับไม่ได้คิดว่าถ้าหากมู่ชิงอีพิงเขาจะทำให้ดูคลุมเครือยิ่งกว่าถูกโอบเอวเสียอีก หรือบางทีองค์ชายเก้ารู้ดีแต่เขาตั้งใจทำเช่นนี้
ในห้องขัง มู่หรงอวี้นั่งอยู่บนกองฟางมองดูคนสองคนตรงหน้าเขาที่กำลังแสดงความรักใคร่ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนก็ไม่ปาน ว่ากันว่ากู้หลิวอวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับอวี้อ๋อง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง
เมื่อได้รับสายตาดูถูกของมู่หรงอวี้ มู่ชิงอีก็ยกยิ้มดึงมือหรงจิ่นออกพลางผลักเขาไปอีกข้างเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ตัวเองมากขึ้น เอ่ยถาม “อานซุ่นจวิ้นอ๋อง ท่านยังคิดไม่ได้อีกหรือ”
มู่หรงอวี้หันหน้าหนี กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่รู้ว่าใต้เท้ากู้ต้องการจะพูดอะไร”
หรงจิ่นลืมตา มองไปที่มู่หรงอวี้อย่างเกียจคร้านเอ่ย “จื่อชิงใจอ่อนเกินไปแล้ว มอบเขาให้หนานกงอี้ ศาลต้าหลี่มีวิธีมากมายที่จะทำให้คนอ้าปากพูด”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “องค์ชายเก้าหมายความว่า กระหม่อมไม่มีวิธีที่จะทำให้เขาอ้าปากพูดได้อย่างนั้นหรือ”
เมื่อรู้สึกถึงความไม่พอใจของนาง หรงจิ่นก็รีบกล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้ากลัวว่าจื่อชิงจะเหนื่อยต่างหาก” แน่นอนว่าวิธีของชิงชิงนั้นได้ผลมากกว่า อย่างน้อยก็รอจนกว่ามู่หรงอวี้จะพูดแล้วค่อยให้การในศาลก็จะไม่ถูกคนคิดว่ายอมรับผิดเพราะทนถูกทรมานไม่ไหวแต่…เขาจะบอกได้หรือว่าเขาแค่อยากเห็นมู่หรงอวี้ถูกทรมานจนเลือดไหลนอง
มู่ชิงอีมองมู่หรงอวี้ ยิ้มบางเอ่ย “พูดตามตรง คดีนี้…สุดท้ายแล้วไม่ว่าตวนอ๋องจะอยู่เบื้องหลังสั่งฆ่าจวงอ๋อง หรือเป็นตัวท่านเองที่ต้องการฆ่าจวงอ๋อง สำหรับข้าแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็สามารถปิดคดีได้เช่นกัน เพราะ…ยาพิษที่ใช้วางยาองค์ชายจวงอ๋องนั้นตรวจสอบพบแล้ว เป็นยาลับเฉพาะของเย่าหวังกู่ ‘ยาสลายวิญญาณ’ ในยุทธภพมีเพียงแค่ที่เย่าหวังกู่ที่เดียว เพียงแค่สิ่งนี้ข้าก็สามารถปิดคดีได้อย่างราบรื่น”
มู่หรงอวี้ยิ้มอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะพูดพร่ำทำเพลงอยู่ทำไม”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “เรื่องนี้น่ะหรือ…คงเป็นเพราะข้าไม่ชอบให้คนอื่นมายืมมีดข้าเพื่อฆ่าคนกระมัง” มู่หรงอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากข้ารับปากเป็นพยานแล้วจะมีประโยชน์อะไร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตายสถานเดียว เหตุใดข้าต้องให้เจ้าสมปรารถนาด้วยเล่า”
มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ “ข้อดีก็คงจะเป็น…หากอานซุ่นจวิ้นอ๋อง บอกความจริง ข้าก็จะมีวิธีทำให้ท่านตายอย่างสงบสุข แต่ถ้าหาก…ท่านรู้ดี การสังหารองค์ชายในแคว้นเย่ว์จะต้องโทษทัณฑ์เลาะกระดูก กงอ๋องความรู้กว้างขวาง คงไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าอะไรคือการตายอย่างทรมานหรอกกระมัง”
“ต่ำช้า!” มู่หรงอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป แน่นอนว่าเขารู้ว่าอะไรคือทัณฑ์เลาะกระดูก และเขาก็เคยเห็นคนที่ถูกลงโทษทัณฑ์เลาะกระดูก แต่เขากลับไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะถูกลงโทษทัณฑ์เลาะกระดูก
มู่ชิงอีไม่ได้รู้สึกเจ็บใจแต่กลับยิ้มเอ่ย “หากข้าไม่ต่ำช้า…กงอ๋องจะมีวันนี้ได้อย่างไร ดังนั้นกงอ๋องควรรู้ไว้ว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นต้องทำได้อย่างแน่นอน”
มู่หรงอวี้หมายจะพุ่งตัวเข้าใส่ แต่กลับถูกรั่วเหล็กที่แข็งแกร่งขวางไว้ ทำได้เพียงเขย่ารั้วเหล็กอย่างแรงเท่านั้น แต่เหล็กกลับไม่ได้สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย “กู้หลิวอวิ๋น!”
มู่หรงอวี้รู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจว่าเขาไม่เคยเกลียดชังใครมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าที่ดูเหมือนกำลังยิ้มอย่างสดใสได้เอาทุกอย่างที่เป็นของเขาไป และทั้งหมดนี้กู้หลิวอวิ๋นไม่ได้ทำเพื่อเอามาเป็นของตัวเอง แต่เพียงเพื่อเอาทุกอย่างไปจากเขาเท่านั้น เพราะรู้ว่ากู้หลิวอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่กู้หลิวอวิ๋นตัวจริง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าการเป็นปฏิปักษ์ของกู้หลิวอวิ๋นที่มีต่อเขานั้นเป็นเพราะความเกลียดชังจริงๆ หรือไม่ ความเกลียดชังที่ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางเช่นนี้ ราวกับว่าทุกสิ่งที่เขาปกป้องด้วยชีวิตได้ถูกผู้อื่นพรากไปเพียงเพราะคิดว่ามันสนุก
“กู้หลิวอวิ๋น! ทำไมเจ้า…ทำไมเจ้าต้องทำกับข้าเช่นนี้! บอกมาเจ้าเป็นใครแน่! หรือว่าเจ้าไม่กล้าบอกแม้กระทั่งตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เจ้ามันต่ำช้า!” ดวงตาของมู่หรงอวี้แดงก่ำ จับจ้องไปที่มู่ชิงอีด้วยความอาฆาต
มู่ชิงอีถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่ามู่หรงอวี้อยู่ในจุดที่สิ้นหวังจึงได้สูญเสียการควบคุมเช่นนี้ แม้ว่าหลายวันมานี้เขาจะถูกขังอยู่ในคุก แต่มู่ชิงอีก็ให้คนมาบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว เขารู้ดี…หลิงซูทรยศเขาตั้งนานแล้ว หรือกล่าวได้ว่า…หลิงซูไม่เคยเป็นคนของเขามาก่อนเลย
“คุณชาย คุณชายเว่ยมาขอรับ” นอกประตู อู๋ฉิงเดินเข้ามาพลางกล่าวเสียงเบา
มู่ชิงอีเลิกคิ้วอย่างสงสัยเอ่ย “เว่ยอู๋จี้ เขามาทำอะไรในเวลานี้” อู๋ฉิงส่ายหน้า “คุณชายเว่ยยังพาคนมาด้วยอีกหนึ่งคน บอกว่า…ต้องการพบอานซุ่นจวิ้นอ๋อง บางทีอาจจะสามารถช่วยงานคุณชายได้ขอรับ”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ช่างเถิด เชิญเขาเข้ามา ใต้เท้าหนานกงก็ให้เวลาข้าเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น หากยังถามไม่ได้ความ ข้าคงทำได้เพียงส่งตัวเขาให้ใต้เท้าหนานกงแล้ว เช่นนี้…ข้าจะไม่เสียหน้าหรอกหรือ”
หรงจิ่นหัวเราะเบาๆ ซบไหล่นางอย่างเกียจคร้านเอ่ย “หากชิงชิงอยากให้เขาเอ่ยปากพูดข้าจะลงมือช่วยเจ้าเอง ไม่เห็นต้องทำให้มันมากความ ข้าจะเอากระดูกของเขามาหักทีละชิ้นแล้วค่อยประกอบกลับเหมือนเดิม…มู่หรงอวี้ก็ดูไม่เหมือนสุภาพบุรุษผู้แข็งแกร่งอะไร” อู๋ฉิงที่อยู่ข้างๆ มุมปากกระตุก หากหักกระดูกทีละชิ้นแล้วประกอบกลับเข้าไปใหม่ ต่อให้เป็นวีรบุรุษผู้แข็งแกร่งก็คงทนไม่ได้
มู่ชิงอีกรอกตาใส่เขา หันไปอีกทางหนึ่งพลางกำชับว่า “เชิญคุณชายเว่ยเข้ามา”
ไม่นานเว่ยอู่จี้ก็เดินเข้ามาช้าๆ ภายใต้แสงเทียนสลัว คุณชายเว่ยยังคงสวมเสื้อแพรสีม่วง ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีม่วง ถือพัดสีดำทองท่าทางสง่างาม แม้ว่าจะเดินอยู่ในห้องขังที่มืดมิดและคับแคบแห่งนี้ แต่กลับดูราวกับว่าเขากำลังจะไปที่พระตำหนักจินหลวนเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยท่าทางสงบอย่างไรอย่างนั้น ข้างหลังเขามีคนสวมเสื้อคลุมสีดำ หมวกขนาดใหญ่ปิดบังใบหน้าของเขา เพียงแค่ดูจากท่าทางการเดินสามารถคาดเดาได้ว่าเป็นสตรี
เมื่อมองไปยังหรงจิ่นที่เอนหลังพิงเก้าอี้และไม่ลืมที่จะโอบมู่ชิงอี คุณชายเว่ยก็หางตากระตุก กล่าวด้วยความรังเกียจว่า “ทำไมมืดขนาดนี้” เขาหยิบไข่มุกสองสามเม็ดออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนออกไป ได้ยินเพียงเสียงกระทบของไข่มุกกลิ้งเข้าไปในห้องคุมขังไหลไปอยู่ตามมุมเสาและกำแพง ห้องคุมขังที่เดิมทีมืดสลัวก็มีแสงสว่างไสวขึ้นในทันที