หรงมู่หลี่ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจแล้วใช้สายตาซับซ้อนจับจ้องหรงจิ่นที่สวมชุดสีดำทั้งร่างแวบหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขานิ่งขรึมอย่างมาก “อวี้อ๋อง น้อมรับพระราชโองการเถิด”
“เสด็จลุง ท่านอ่านผิดไปกระมัง เสด็จพ่อจะทรงให้พี่เก้าสืบทอดบัลลังก์ต่อได้เช่นไร!” หรงจิ่นยังไม่ทันน้อมรับพระราชโองการ องค์ชายสิบเอ็ดที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังก็กระโดดออกมาอย่างข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
หรงมู่หลี่สีหน้าขรึมลง มุ่นคิ้วกล่าว “ข้ายังไม่ได้สายตาฝ้าฟาง หากองค์ชายสิบเอ็ดไม่เชื่อก็มาตรวจสอบเองได้”
องค์ชายสิบเอ็ดย่อมรู้ดีว่าหรงมู่หลี่ไม่ได้อ่านผิดแน่นอน เขาก็แค่ไม่พอใจเท่านั้น อย่าว่าแต่เขาไม่พอใจเลย เพราะองค์ชายแต่ละคนไม่มีใครพอใจสักคน องค์ชายสิบเอ็ดสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ จ้องหรงจิ่นพลันเอ่ย “เป็นเจ้า…เจ้าแอบแก้สาสน์สั่งเสียของเสด็จพ่อ!”
หรงจิ่นลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเนิ่บนาบ พลางจับจ้ององค์ชายสิบเอ็ดตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจกล่าว “แอบแก้หรือ หลังจากที่พวกเจ้าเข้ามา เสด็จพ่อถึงได้เอาสาสน์สั่งเสียนี่ส่งให้เจี่ยงปินกับมือ ข้าจะไปแก้ได้เช่นใด”
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเป็นคนบีบบังคับให้เสด็จพ่อเขียน! ข้าไม่มีทางยอมรับว่าเสด็จพ่อทรงยกบัลลังก์ให้เจ้าสืบทอดต่อแน่นอน!” องค์ชายสิบเอ็ดตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธ
จากนั้นพวกหรงเหยี่ยนก็ค่อยๆ มองหน้ากัน เหมือนเข้าใจในทันทีว่าองค์ชายสิบเอ็ดคิดจะทำอะไร หรงจิ่นไม่มีพรรคพวกใดในราชสำนักเลย หากคิดจะขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย ขอแค่พวกเขาหารือกันอย่างเหมาะสม…สาสน์สั่งเสียก็เป็นแค่ของเล่นที่เอาไว้พรางตาประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น
“พี่รอง ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง” หรงเหยี่ยนมองพลันเอ่ยถามหรงเซวียน
หลังจากผ่านความทรมานมาทั้งคืน หรงเซวียนจึงสีหน้าซีดขาวร่างกายโงนเงนนานแล้ว คนข้างกายรีบประคองเขาขึ้นไปนั่งอีกฝั่ง ถึงแม้สีหน้าของหรงเซวียนจะอ่อนแรงโรยรา ทว่าภายในใจกลับชัดเจนดี เวลานี้ท่านน้ายังไม่ส่งข่าวคราวใดมา เกรงว่าเรื่องนอกเมืองก็คงไม่ได้ราบรื่นสักเท่าไรนัก เอาเถอะ ถึงอย่างไรตนก็ไม่ได้มีโอกาสอะไรอยู่แล้ว หรงเซวียนเปิดเปลือกตาขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าย่อมน้อมรับตามสาสน์ของเสด็จพ่ออยู่แล้ว”
“แต่ทั้งๆ ที่สาสน์สั่งเสียนี่มีปัญหาชัดๆ!” องค์ชายหกร้องแหวเสียงสูง
หรงเซวียนปิดตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าหารือจัดการกันเถิด”
เวลานี้ทุกคนถึงเข้าใจท่าทีของหรงเซวียน เขาไม่ต้องการแก่งแย่งตำแหน่งฮ่องเต้ ดังนั้นก็อย่าเอาเขาเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย สุดท้ายใครเป็นฝ่ายชนะ เขาก็พร้อมน้อมรับคนนั้นขึ้นเป็นฮ่องเต้
“ข้าคิดว่าพี่สี่เป็นตัวเลือกผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุด!” องค์ชายสิบเอ็ดกล่าว หลังจากพูดจบ ภายในใจขององค์ชายสิบเอ็ดก็เกิดนึกเจ็บปวดขึ้นมา ทั้งๆ ที่หรงเหยี่ยนไร้ซึ่งความโปรดปรานไปนานแล้ว ขอแค่ให้เวลาอีกสักไม่กี่ปีเขาคงช่วงชิงอำนาจมาแทนได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่จู่ๆ เสด็จพ่อก็สิ้นพระชนม์ไป ทว่าตนยังไม่แข็งแกร่งพอ ภายใต้สถานการณ์ที่จนปัญญาเช่นนี้เลยทำได้แค่สนับสนุนคนที่ดูมีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดในเวลานี้แทน
“ข้าเองก็สนับสนุนพี่สี่เช่นกัน!” องค์ชายห้าแสดงท่าทีเสียงขรึม
ชั่วขณะนั้นภายในพระตำหนักพลันตกอยู่ในความโกลาหล ราวกับทุกคนลืมไปพร้อมกันแล้วว่าร่างของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์และสาสน์สั่งเสียสีเหลืองอร่ามยังวางไว้ตรงนั้น กระทั่งแม้แต่หรงจิ่นยังถูกหลงลืมไป ในเมื่อในสายตาของคนอื่นๆ หรงจิ่นไม่น่าหาเรื่องด้วยเลยจริงๆ แต่นั่นเป็นเพราะหรงจิ่นมีฮ่องเต้แคว้นเย่ว์คอยหนุนหลัง บัดนี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เขาจะสามารถฟื้นคืนชีพมาช่วยหนุนหลังเขาได้อีกหรือ พอไม่มีฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ นอกจากตำแหน่งอวี้อ๋องค้ำหัวแล้วก็ไม่เหลืออะไรอีก เพราะเหตุนี้องค์ชายสิบเอ็ดถึงกล้าสงสัยเรื่องสาสน์สั่งเสียอย่างเปิดเผยเช่นนั้น
หรงมู่หลี่และหรงมู่เฟิงสบตากัน แต่นั่งอยู่อีกฝั่งโดยไม่ปริปากพูดอะไร พวกเขาเคยเป็นองค์ชายมาก่อน ฉะนั้นเขาจะไม่เข้าใจทุกการกระทำของพวกองค์ชายได้เช่นไร เพียงแต่ตอนนั้นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แข็งแกร่งเกินไป พี่น้องจึงไร้หนทางจะช่วงชิงกับเขาได้ ทว่าสถานการณ์ของหรงจิ่นในเวลานี้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กระทั่งหรงมู่หลี่ยังนึกคลางแคลงใจในสายตาและความลำเอียงในการเลือกผู้สืบทอดบัลลังก์ของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อย่างอดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นสิ่งที่เหล่าองค์ชายผู้สืบทอดควรพึงมี
สำหรับเหล่าองค์ชายแล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ใกล้เพียงเอื้อมแต่กลับมีช่องว่างมาขวางกั้นไว้อยู่
หรงมู่เฟิงกวาดตามองหรงจิ่นที่นั่งเงียบกริบไม่พูดอะไรอยู่อีกฝั่งพลางขบคิดบางอย่าง องค์ชายเก้าเหมือนไม่ได้อารมณ์ฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดอย่างที่ใครต่อใครต่างเล่าลือกัน หากไม่รู้ความใดเลยคงดื้อรั้นระเบิดอารมณ์ใส่ไปแล้ว กระทั่งพอได้ยินเหล่าองค์ชายพูดเช่นนี้ย่อมไฟโทสะปะทุ แต่หรงจิ่นกลับเอาแต่ก้มหน้านั่งอยู่อีกฝั่งและมองพื้นนิ่งไม่พูดอะไร เหล่าองค์ชายต่างมัวแต่กำลังแก่งแย่งบัลลังก์ว่าสรุปแล้วควรเป็นของใครโดยไม่สนใจหรงจิ่นสักนิด แต่หรงมู่เฟิงกลับหลักแหลมสามารถสัมผัสอันตรายได้จากความนิ่งเงียบเช่นนี้ของเขา
หรงมู่เฟิงดึงพี่ใหญ่ของตนโดยไม่มีใครสังเกตเห็น สื่อให้เขามองหรงจิ่น หรงมู่หลี่มองตามสายตาไปก่อนจะชะงักเช่นกัน ไม่นานหรงมู่หลี่ก็กระแอมไอเสียงเบาก่อนเอ่ยว่า “สาสน์สั่งเสียอยู่ตรงนี้
ทุกคนต่างผงะ เวลานี้ถึงรู้ว่าพวกเขาถกเถียงกันเสียงดังดุเดือด กระทั่งโยนตัวเอกทิ้งไว้อีกฝั่ง จากนั้นก็มองหรงจิ่นแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่ายังไม่ทันพูดอะไร หรงซิงก็เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว สีหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจฮึกเหิม กล่าวเสียงโอหังว่า “ข้าไม่ยอมรับที่เสด็จพ่อยกบัลลังก์ให้เขาสืบทอด! เสด็จพ่อทรงยกบัลลังก์ให้พี่สี่ต่างหาก!”
ยังพูดไม่ทันจบ นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าพร้อมเพรียงดังแว่วมาจากด้านนอก เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่น้อยกำลังล้อมพระตำหนักชิงเหอไว้อยู่ หรงมู่หลี่สีหน้าเปลี่ยนพลันเอ่ย “องค์ชายสิบ เจ้ากำลังทำอะไรกัน”
หรงซิงยิ้มกล่าว “เปล่านี่ เสด็จพ่อทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าก็แค่เคลื่อนกองกำลังอวี่หลินมาคุ้มกันก็เท่านั้น”
“น้องสิบช่างเหิมเกริมนัก! บังอาจเคลื่อนกองกำลังอวี่หลินโดยพลการเลยหรือ!” องค์ชายหกตวาดขึ้น เขาเป็นพวกเดียวกับจวงอ๋อง หลังจากจวงอ๋องถูกวางยาก็คิดว่าตนคงมีโอกาสแทนที่หรงเซวียนได้มาตลอด
หรงซิงเลิกคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เวลานี้จะมีใครมาคิดถึงเรื่องกฎบ้าบออีกเล่า ใครแย่งอำนาจทางการทหารได้ก่อน คนนั้นก็เป็นฝ่ายควบคุมวังหลวงได้ก่อนจากนั้นก็จะกลายเป็นผู้ชนะ และตอนนี้เห็นได้ชัดว่าชัยชนะเป็นของพวกเขา “ข้าก็แค่มาคุ้มกัน พี่หกพักผ่อนดีๆ เถิด อีกเดี๋ยวจะได้มีแรงถวายบังคมให้เสด็จพ่ออย่างไรเล่า หากมีพี่น้องคนใดไม่พอใจก็ลุกขึ้นพูดมาเลย”
ทุกคนเงียบกริบ สีหน้าดุดันของหรงซิงบ่งบอกทุกอย่างหมดแล้ว
ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางพระตำหนัก “หรงซิง เจ้าคิดก่อกบฏหรือ”
ชั่ววินาที่นั้นภายในพระตำหนักตกอยู่ในความสงบ สักพักหรงซิงถึงเลื่อนสายตาไปมองตำแหน่งที่หรงจิ่นอยู่อย่างฉงน เลิกคิ้วยิ้มเยาะกล่าว “พูดกับข้าอยู่หรือ”
หรงจิ่นยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่สบอารมณ์ “องค์ชายที่ยังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง แต่กลับมีหน้าใช้สรรพนามที่อ๋องใช้กัน?”
“หรงจิ่น! เจ้าใช้ชีวิตเบื่อแล้วหรืออย่างไร!” หรงซิงตวาดขึ้นเสียงดัง จากนั้นก็ชักดาบยาวที่นำติดตัวมาชี้ไปทางหรงจิ่นด้วยความโมโห แต่ไหนแต่ไรมาเหล่าองค์ชายของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ต่างให้ความเกรงใจต่อหรงจิ่น ทว่าความเกรงใจและความอ่อนข้อให้ไม่ได้เกิดจากตัวของหรงจิ่นเอง แต่เป็นเพราะฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ตอนนั้นหรงไหวยั่วยุหรงจิ่น พวกเขาก็ทำได้แค่แอบเย้ยว่าเขาโง่เขลา ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากต่อกรกับหรงจิ่น แต่เป็นเพราะพวกเขารู้จักอดทนมากกว่าหรงไหวอยู่มาก แต่ตอนนี้คนที่กดหัวเขาไว้ดั่งภูผาสูงใหญ่อย่างฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้ตายไปแล้ว เหตุใดพวกเขายังต้องทนหรงจิ่นอีกต่อไปเล่า
ดังนั้นถึงแม้หรงซิงจะไร้มารยาทกับหรงจิ่น แต่เหล่าองค์ชายที่อยู่ ณ ที่นั้นกลับไม่ได้แสดงท่าทีสนใจแต่อย่างใด แม้แต่คนที่ระมัดระวังตัวอย่างหรงเหยี่ยนยังปล่อยเลยตามเลย เวลานี้เขาให้ความสนใจว่าสาสน์ราชโองการและบัลลังก์ที่อยู่ในพระตำหนักชิงเหอใครจะได้เป็นคนนั่งมากกว่ากันแน่