พอพูดถึงเรื่องนี้ กู้ซิวถิงก็ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ แต่พอเห็นน้องสาวรูปงามสะกดใจของตนแล้วก็ต้องยอมรับว่าพี่ชายพูดไม่มีผิด ปีนี้มู่ชิงอีอายุสิบเจ็ดปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากนางเป็นอวิ๋นเกอป่านนี้อายุก็ปาไปสิบเก้าปีแล้ว หากเป็นบุตรสาวของตระกูลอื่นคงออกเรือนไปตั้งแต่อายุเท่านี้เช่นกัน ในเมื่อเวลานี้นางมีความคิดจะอยู่ครองคู่กับหรงจิ่นชั่วชีวิต พี่ชายอย่างเขาย่อมไตร่ตรองแทนนางอยู่แล้ว
ตกลงหรงจิ่นนั่นคิดจะขออวิ๋นเกอแต่งงานหรือไม่ หากมีความจริงใจละก็เหตุใดถึงไม่มาสู่ขอก่อนเล่า หรือคิดจะให้ฝ่ายหญิงเป็นคนเสนอก่อนหรืออย่างไร คุณชายซิ่วถิงพานนึกโกรธจนลอบสบถวิพากษ์วิจารณ์หรงจิ่นในใจว่าไม่ได้เรื่อง
นับว่านี่เป็นการใส่ความหรงจิ่นเสียแล้ว ความปรารถนาที่หรงจิ่นอยากอภิเษกกับชิงชิงแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาไม่ค่อยรู้แน่ชัดว่าปกติต้องดำเนินการเรื่องอภิเษกเช่นใด นึกเพียงว่าขอแค่เขาได้รับความยินยอมจากชิงชิง จากนั้นค่อยจัดงานอภิเษกใหญ่โตสักงานก็ได้แล้ว ชิงชิงไม่ยินยอมหรือ? เช่นนั้นก็ตื๊อต่อไป ต้องมีสักวันที่ชิงชิงยินยอมบ้างแหละ ส่วนเรื่องสู่ขอหรือ เรื่องพวกนั้นสำคัญตรงไหน เขาตามหาตัวกู้ซิ่วถิงก็เพราะชิงชิงอยากให้พี่ชายของนางอยู่ในงานอภิเษกด้วยต่างหากเล่า
คุณชายซิ่วถิงแค่นเสียงเบา มองน้องสาวแล้วเอ่ย “ไปบอกหรงจิ่นว่าหากอยากอภิเษกกับน้องสาวของกู้ซิ่วถิงก็ให้มาสู่ขอเสียดีๆ มิเช่นนั้นละก็…”
“พี่ใหญ่…” มู่ชิงอีถอนหายใจ คนนิสัยร้ายกาจอย่างหรงจิ่นชอบก่อเรื่องวุ่นวายยังพอว่า เหตุใดคนที่นิสัยอ่อนโยนอย่างพี่ใหญ่ถึงมักเห็นหรงจิ่นขัดตาอยู่เรื่อยเล่า
มู่หรงซีนั่งหัวเราะตัวโยนโดยไม่พูดอะไรอยู่อีกฝั่ง ถึงแม้เขาจะไม่มีน้องสาวแท้ๆ แต่เขากลับเข้าใจความกลัดกลุ้มของพี่ชายที่จะถูกแย่งน้องสาวไปจากอ้อมอกอยู่บ้าง
จวนตระกูลกู้ บัดนี้ควรเรียกว่าจวนอัครเสนาบดีเสียมากกว่า ถึงแม้เดิมทีนี่จะเป็นจวนเดิมของผู้ว่าการเฟิ่งเทียนขุนนางระดับสาม แต่ยามที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงประทานจวนนี้ให้ขนาดพื้นที่กลับห่างชั้นจากขุนนางระดับสามมากนัก จวนที่พอจะตั้งใกล้ๆ จวนอวี้อ๋องได้จะเป็นสถานที่ธรรมดาๆ ได้อย่างไร ดังนั้นหลังจากมู่ชิงอีขึ้นเป็นอัครเสนาบดีก็ไม่ได้คิดจะย้ายจวนไปไหนอีกแค่เปลี่ยนชื่อป้ายจวนเท่านั้น แต่เดิมทีนางไม่ชอบห้อยป้ายตำแหน่งขุนนางตรงหน้าประตูอยู่แล้ว ดังนั้นประตูจวนจึงห้อยป้ายเขียนคำว่าจวนตระกูลกู้เท่านั้น กระทั่งช่วยประหยัดพื้นที่ป้ายไปด้วย
หลังจากเข้าจวนตระกูลกู้มาก็เห็นภายในจวนถูกจัดแต่งอย่างประณีต หากพูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือการตกแต่งภายในจวนออกจะหรูหราเกินกว่าสถานะของกู้หลิวอวิ๋นด้วยซ้ำ พอเห็นของเก่าโบราณล้ำค่าเหล่านั้นที่ประทับตราจวนอวี้อ๋องด้านล่างก็รู้ได้ทันทีว่าเอาของพวกนี้มาจากไหน เกรงว่าของสะสมในจวนของหรงจิ่นยังมีน้อยกว่าจวนตระกูลกู้เสียอีกกระมัง
ครั้นเห็นจวนที่ถูกใครบางคนจัดตกแต่งอย่างเอาใจใส่จนเห็นได้ชัด ความไม่พอใจที่คุณชายซิ่วถิงมีต่อหรงจิ่นก็ลดน้อยลงบ้าง นอกเสียจากจะใส่ใจนางมากจริงๆ บนโลกนี้คงมีไม่กี่คนที่จะใส่ใจแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากมายขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของหรงจิ่นแล้วไม่ใช่คนที่อ่อนโยนและละเอียดอ่อนอีกต่างหาก
“คุณชาย” บังเอิญเซี่ยซิวจู๋ก็อยู่ในจวนด้วย ครั้นเจอมู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงก็ผงะไป “คุณชายกู้ ผิงอ๋อง”
เมื่อเจอเซี่ยซิวจู๋ กู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีก็พลอยตกใจไปด้วยเช่นกัน “เหตุใดหัวหน้าองครักษ์เนี่ยถึงมาอยู่ที่นี่ได้” หลังจากได้ฟังเรื่องของเนี่ยอวิ๋น รวมถึงเรื่องที่เปลี่ยนชื่อเป็นเซี่ยซิวจู๋และติดตามมู่ชิงอีแล้ว มู่หรงซีก็ผ่อนลมหายใจยาวแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก แม้แต่เนี่ยอวิ๋นก็จากแคว้นหวามา ตกลงเสด็จพ่อของเขาคิดจะทำอันใดกันแน่บัดนี้แม่ทัพคนสำคัญที่สุดของแคว้นหวาก็คือจ้าวจื่ออวี้ อีกทั้งเนี่ยอวิ๋นและจ้าวจื่ออวี้ก็ออกมาจากสำนักเดียวกันจึงผูกพันกันมาก เสด็จพ่อไม่ทรงคิดบ้างหรือว่าหากเนี่ยอวิ๋นเป็นอะไรไป จ้าวจื่ออวี้จะไม่รู้สึกแย่ไปด้วย หรือจะบอกว่า…ความจริงเสด็จพ่อก็ระแวงจ้าวจื่ออวี้ด้วยเช่นกัน?
หากฮ่องเต้คิดจะระแวงขุนนางที่มีอิทธิพลหรือแม่ทัพที่มีคุณงามความดีกลับไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดอะไร แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ควรมีขอบเขตบ้าง หากคิดจะฮุบอำนาจไว้ในมือคนเดียวก็ต้องมีความสามารถในเรื่องนั้นๆ ด้วย ในฐานะฮ่องเต้แต่ไม่กล้าให้อำนาจขุนนาง แถมไม่มีวิธีการควบคุมขุนนาง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการทุกเรื่องได้โดยเพียงลำพังหรอกกระมัง
มู่หรงซีส่ายศีรษะ นับตั้งแต่ออกจากแคว้นหวามา เขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นหวาแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมากังวล
“ซิวจู๋มีอะไรหรือไม่” มู่ชิงอีเอ่ยถาม ตอนนี้เซี่ยซิวจู๋ยังเป็นแม่ทัพใหญ่ดูแลกองทัพประจำการเมืองหลวง มีเรื่องมากมายรุมเร้าไม่น้อย หากไม่มีเรื่องสำคัญ เซี่ยซิวจู๋ไม่มีทางมาหานางตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้แน่นอน
เซี่ยซิวจู๋พยักหน้าเล็กน้อย “หมดช่วงไว้ทุกข์เจ็ดวันแล้ว ฝ่าบาททรงพาเหล่าอ๋องทั้งหลายออกวังไปแล้ว ฝ่าบาทเลยสั่งให้ข้ากลับมาคุ้มกันความปลอดภัยของคุณหนู”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วกล่าว “แล้วกองกำลังป้องกันเมืองหลวงเล่า”
เซี่ยซิวจู๋กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “มีรองแม่ทัพอยู่ ฝ่าบาทเองก็ส่งไคหยางไปคอยสอดส่องแล้ว ย่อมไม่มีเรื่องใด”
“เช่นนั้นก็ดี” มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย บัดนี้จิ้งหย่วนโหวคุมกองทัพเจี้ยนรุ่ยอยู่หมัดแล้ว ส่วนกองทัพรักษาพระองค์เสิ่นเช่อก็ค่อยๆ ถูกพวกเทียนซูเข้าควบคุม กองทัพประจำการเมืองหลวงมีเซี่ยซิวจู๋ กองทัพอวี่หลินมีตงฟังซวี่ กองทัพม้าละแวกเมืองหลวงเองก็อยู่ในมือของพวกเขา ฉะนั้นคงไม่ต้องกังวลเรื่องวุ่นวายใดแล้ว
ขณะที่สนทนกัน บ่าวรับใช้นอกประตูก็รายงานว่าคุณชายเว่ยมาขอพบ มู่ชิงอีเลยทำได้แค่ขอตัวจากกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีไปพบเว่ยอู๋จี้ก่อน
หลังจากเห็นมู่ชิงอีเดินออกไป มู่หรงซีก็ยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเคยเจอเลยจินตนาการไม่ออก บัดนี้พอเห็นชิงอีถึงเข้าใจสำนวนที่ว่า…เครื่องประดับสตรีไม่เป็นรองเคราบุรุษ ดูท่าทางชิงอีตอนนี้แล้ว อย่าว่าแต่เคราบุรุษเลย เกรงว่าบุรุษในใต้หล้านี้ยังห่างชั้นกับนางมากนัก”
ครั้นเห็นท่าทีมู่ชิงอีรับมือกับเรื่องในราชสำนักได้อย่างสบายๆ กู้ซิ่วถิงก็นึกชื่นชมไม่น้อย ถึงแม้ตั้งแต่เด็กมาอวิ๋นเกอจะเรียนหนังสือและได้รับการสั่งสอนมาพร้อมกับเขา แต่หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้เขาจะจินตนาการไม่ออกว่าคนที่งามสง่าสะสวยอย่างน้องสาวเขาจะขึ้นว่าการเรื่องบ้านเมืองในราชสำนักในวันหนึ่งได้
“เห็นนางเป็นเช่นนี้แล้ว…กลับดูดีกว่าเลี้ยงอยู่ในวังอีกมิใช่หรือ” กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วยิ้มกล่าว เวลานั้นคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ตอนนั้นคุณหนูใหญ่จวนซู่เฉิงโหวเองก็ใบหน้างดงามโดดเด่นไม่แพ้ใคร แต่หากว่ากันด้วยบุคลิกกลับเทียบชั้นกับกู้หลิวอวิ๋นหนุ่มน้อยอัครเสนาบดีของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ในเวลานี้ไม่ได้เลย
ถึงแม้มู่ชิงอีในตอนนี้จะสวมใส่ชุดบุรุษสีขาวสง่าธรรมดาๆ ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องประดับงดงามหรูหรา ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าแต่งตัวอย่างประณีต แต่เพียงแค่ยืนเฉยๆ ก็สามารถดึงดูดสายตาทุกคนได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่เป็นเพียงหนุ่มน้อยที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่หว่างคิ้วกลับผุดความเฉียบแหลมและความยำเกรงที่ใครต่อใครต่างต้องยอมศิโรราบให้ ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูใหญ่ที่เคยถูกเลี้ยงดูมาในจวนก็ไม่มีทางมีบุคลิกอันโดดเด่นเหล่านี้ได้
มู่หรงซีถอนหายใจเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์คนใหม่ก็เป็นบุคคลที่ดูแคลนไม่ได้เลย เรื่องในวันหน้าคงยากจะคาดเดาได้…”
พอเปรยถึงหรงจิ่น กู้ซิ่วถิงก็แค่นเสียงเบา “หรงจิ่นมีความทะเยอทะยานไม่น้อย เพียงแต่ต้องดูว่าเขาจะมีความสามารถนั้นหรือเปล่า”
มู่หรงซีผุดรอยยิ้มอย่างเข้าใจดี “หากเขามีความสามารถ คุณชายซิ่วถิงย่อมต้องยืนฝ่ายเดียวกับน้องเขยอยู่แล้ว แถมยังออกแรงอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกระมัง”
กู้ซิ่วถิงเงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มบางกล่าว “ถึงเวลานั้น…หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
ภายในโถงหน้าของจวนตระกูลกู้ เว่ยอู๋จี้กำลังนั่งจิบชาอยู่ในโถงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาที่ผ่อนคลายสบายๆ ในยามปกติดูนิ่งขรึมและอ่อนล้าขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าหลายวันมานี้เว่ยอู๋จี้ใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วงทีเดียว