“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะหารือกับหรงจิ่นและจวนจวงอ๋องดู ขอแค่จัดการหลิงซูก็ถือว่าเป็นการชดใช้ให้จวงอ๋องแล้ว ไม่ลากไปเกี่ยวพันกับเย่าหวังกู่แน่นอน” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา
“ขอบใจเจ้ามาก” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ย
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “เดิมทีข้าตั้งใจมาขอบคุณท่าน ทว่าตอนนี้ท่านกลับเกรงใจข้า ไม่จำเป็นเลย”
“เจ้าก็เช่นกัน” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ มั่วเวิ่นฉิงแค่ทำในเรื่องที่ตนอยากทำก็เท่านั้น ดังนั้น…ไม่จำเป็นต้องขอบคุณเลยสักนิด
มู่ชิงอีชะงักไป ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มบางออกมาแล้วไม่พูดอะไรอีก
ณ จวนจวงอ๋อง
หรงเซวียนมองขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กและใบสั่งตำรับยาตรงหน้าอย่างนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร หรงยางยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะดึงมือกลับด้วยท่าทีนอบน้อม เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพ่อ จะทาน…ยานี้หรือไม่”
หรงเซวียนเอ่ยถามเสียงขรึม “มั่วเวิ่นฉิงอยู่จวนตระกูลกู้หรือ”
หรงยางพยักหน้ากล่าว “ถึงแม้จะไม่ได้เจอตัวมั่วเวิ่นฉิงกับตา แต่ดูจากท่าทางของกู้หลิวอวิ๋นแล้ว มั่วเวิ่นฉิงอยู่ในจวนแน่นอน” มิเช่นนั้นคงไม่ได้ยาและใบสั่งตำรับยามารวดเร็วขนาดนี้
หรงเซวียนถอนหายใจเอ่ย “กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่คนเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ยังให้ความสำคัญ” หรงยางมุ่นคิ้ว เอ่ยถามอย่างฉงนว่า “ท่านพ่อ เรื่องที่ท่านถูกวางยาคงหนีไม่พ้นเย่าหวังกู่ เรื่องนี้…อาเก้า…” ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นอุบายของหรงเหยี่ยน แต่คงพูดยากหากจะบอกว่าหรงจิ่นไม่ได้คิดยื่นมือเข้ามาเกี่ยวพันเลย
หรงเซวียนส่ายศีรษะกล่าว “ไม่หรอก ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจน้องเก้านัก แต่…ด้วยความสามารถวิทยายุทธและนิสัยของเขาแล้ว ไม่มีทางใช้วิธีการวางยาพิษเช่นนี้แน่นอน หากเขาวางยาจริงๆ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยให้รอดมาได้”
ถึงแม้จะไม่เข้าใจหรงจิ่นแต่หรงเซวียนก็พอดูออก หากหรงจิ่นไม่ลงมือก็คือไม่ลงมือ แต่หากลงมือเมื่อไรคงไม่มีทางปล่อยให้รอดชีวิตไปได้แน่นอน
“มั่วเวิ่นฉิงออกจากเย่าหวังกู่ไปแล้ว เห็นทีเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องโกหก”
“แต่จนถึงป่านนี้พวกเราก็ยังหาตัวคนที่วางยาท่านพ่อไม่ได้” หรงยางเอ่ยขึ้นอย่างเกรี้ยวโกรธ ถึงแม้มู่หรงอวี้จะตายไปแล้ว แต่ใครก็รู้ว่าคนที่เกิดในเชื้อพระวงศ์อย่างมู่หรงอวี้ไม่มีความสามารถใด คนที่วางยาย่อมต้องเป็นคนในเย่าหวังกู่แน่นอน ดังนั้นผู้หญิงที่ชื่อหลิงซูแห่งสำนักเย่าหวังกู่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ทว่าหลังจากมู่หรงอวี้ตายนางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หรงเซวียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ต้องหาตัวเจอแน่นอน อย่าใจร้อนไปเลย”
“เช่นนั้นยานี้…”
หรงเซวียนหยิบขวดกระเบื้องเคลือบขึ้นมาแล้วเอ่ย “กินสิ เจ้าสำนักเย่าหวังกู่เป็นคนเขียนใบสั่งตำรับยามาให้ด้วยตนเองเหตุใดจะไม่กินเล่า” ยิ่งไปกว่านั้นความจริงทำให้เขาต้องกินยานี้ ตอนนี้สุขภาพของเขาย่ำแย่ลงทุกวัน ถึงแม้มั่วเวิ่นฉิงบอกว่าอาจจะกลับไปแข็งแรงดั่งเดิมไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ
หรงเซวียนเทยาออกมาเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็คว้าถ้วยชาด้านข้างดื่มตามยาลงท้องไป ไม่นานก็มองลูกชายแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเองก็ได้เจอกู้หลิวอวิ๋นแล้ว รู้สึกเป็นเช่นใดบ้าง”
หรงยางชะงักงัน ครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หรงเซวียนเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดเลยโบกมือกล่าว “เอาเถอะ วันหน้าเจ้าติดตามเรียนรู้กับอาของเจ้าให้มากแล้วกัน ต่อให้เจ้าจะผูกมิตรกับกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้อย่างสนิทสนมไม่ได้แต่ก็ห้ามไปล่วงเกินเขาเด็ดขาด เจ้าเข้าใจหรือไม่” หากล่วงเกินกู้หลิวอวิ๋นก็เท่ากับล่วงเกินหรงจิ่น หลังจากหรงเซวียนสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ มาระยะหนึ่งแล้วจึงยิ่งทึ่งกับวิธีการของน้องชายผู้นี้ของเขาเข้าไปใหญ่
“ลูกเข้าใจแล้ว”
พริบตาเดียววันสถาปนาขึ้นครองราชย์ก็ใกล้เข้ามาทุกที ราชทูตจากแคว้นอื่นๆ ต่างรีบทยอยเดินทางมายังแคว้นเย่ว์อย่างต่อเนื่อง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงเสด็จสวรรคตกะทันหันย่อมมาร่วมงานศพไม่ทัน แต่ต้องเข้าร่วมพิธีสืบทอดบัลลังก์ฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่แล้ว หลังจากข่าวเรื่องการตายของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แพร่สะพัดไปทั่ว ทุกคนก็เริ่มเตรียมตัวเดินทางมาร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ทันที เพราะเหตุนี้ระยะเวลาหนึ่งเดือนครึ่งจึงนานพอ
ในฐานะอัครมหาเสนาบดี ตำแหน่งขุนนางปกครองสูงสุดที่จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย อย่างน้อยหลังจากมู่ชิงอีรับช่วงต่อดูแลงานในราชสำนักยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม ประกอบกับได้รับความช่วยเหลือจากหรงจิ่นและคำชี้แนะอย่างลับๆ ของกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีจึงเรียนรู้งานได้อย่างรวดเร็ว ในสายตาคนนอกมองว่าอัครมหาเสนาบดีหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นดั่งอัจฉริยะผู้เก่งกาจโดยไม่ต้องมีใครสอน แม้แต่คนที่เป็นปฏิปักษ์กับมู่ชิงอีและหรงจิ่นอย่างพวกหรงเหยี่ยนยังแอบถอนหายใจแล้วยอมรับว่าเขาเป็นหนุ่มน้อยที่มีความสามารถมากจริงๆ ในขณะเดียวกันยังลอบอิจฉาที่บุคคลยอดเยี่ยมเช่นนี้ดันถูกหรงจิ่นฉกตัวไปก่อนเสียได้
คนพวกนี้ย่อมไม่รู้ว่ามู่ชิงอีลากตัวหรงจิ่น กู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีไปอ่านสาสน์ทุกคืน ทันทีที่ว่างก็จะหอบม้วนกระดาษกองโตมาขอคำชี้แนะจากกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีทุกวัน ทำอย่างไรได้เล่า ถึงแม้จะจัดการวางแผนอย่างลับๆ หรือกระทั่งไม่มีใครคอยสอนงาน แต่หากพูดถึงการจัดการงานในราชสำนักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหรงจิ่นหรือมู่ชิงอีต่างก็เป็นมือใหม่กันทั้งสิ้น หากไม่มีคุณชายซิ่วถิงและอดีตองค์รัชทายาทผู้มากประสบการณ์อย่างมู่หรงซี พวกเขาทั้งสองคนคงวิ่งวุ่นเจออุปสรรคไปสักระยะหนึ่งเป็นแน่แท้
ดังนั้นหากคิดจะสร้างความหวาดเกรงให้คนอื่นๆ ถ้าไม่ได้มีสติปัญญาล้ำเลิศพึ่งพาสมองของตัวเองได้ พวกเขาก็จำเป็นต้องมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง
เพื่อเป็นการให้เกียรติต่อพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ครั้งนี้ ทูตที่แต่ละแว่นแคว้นส่งตัวมาจึงมีสถานะไม่ธรรมดาทั้งสิ้น ในฐานะอัครมหาเสนาบดีอย่างมู่ชิงอีย่อมต้องออกไปต้อนรับแขกเหรื่อเหล่านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้มู่ชิงอีรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือทูตที่แคว้นหวาส่งมาครั้งนี้กลับเป็นองค์ชายคนโตอย่างมู่หรงเค่อกับจ้าวจื่ออวี้อานซีจวิ้นอ๋อง มู่หรงเค่ออาจไม่เท่าไร แต่จ้าวจื่ออวี้กลับไม่ใช่คนธรรมดาๆ ทันทีที่เจอหน้ากันมู่ชิงอีก็รู้เลยว่าจ้าวจื่ออวี้จำนางได้แล้ว
“คุณชายจัง ตั้งแต่จากแคว้นหวามาครั้งนั้นยังสบายดีอยู่หรือไม่” ภายในสถานทูตแคว้นหวา จ้าวจื่ออวี้กวาดตามองมู่ชิงอีพลางขบคิดบางอย่าง รวมถึงมองเซี่ยซิวจู๋ที่อยู่ด้านหลังนางด้วย ดวงตาบนใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึมพลันหรี่ลงเล็กน้อย สุดท้ายก็เลื่อนสายตามาจับจ้องมู่ชิงอี
สายตาช่างแหลมคมนัก ได้เจอะเจอกันไม่กี่ทีแต่กลับจดจำนางได้อย่างแม่นยำ
“อานซีจวิ้นอ๋องช่างความจำดียิ่งนัก” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย เห็นได้ชัดว่ายอมรับตัวตนของตัวเองแล้ว “อานซีจวิ้นอ๋องเรียกข้าว่ากู้หลิวอวิ๋นก็พอ เรื่องวุ่นวายครานั้นคงสร้างเรื่องน่าขันให้จวิ้นอ๋องแล้ว”
จ้าวจื่ออวี้เอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องวุ่นวายที่อัครมหาเสนาบดีกู้ก่อครานั้น…เปิดโลกของข้าไม่น้อย”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว ยิ้มบางกล่าว “อานซีจวิ้นอ๋องเกรงใจกันแล้ว จวิ้นอ๋องกับฝูอ๋องเดินทางมาไกลคงลำบากน่าดู หากต้อนรับขับสู้ได้ไม่ดีที่ใดก็โปรดอภัยให้ด้วย”
จ้าวจื่ออวี้เลิกคิ้วแต่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรอีก
มู่หรงเค่อเองก็กวาดตามองมู่ชิงอีเช่นกัน ตอนนั้นเขาเองก็เคยเจอจังชิงเช่นกัน แต่หากจ้าวจื่ออวี้ไม่พูดขึ้นมา มู่หรงเค่อก็คงนึกไม่ถึงว่าอัครมหาเสนาบดีหนุ่มน้อยที่วางตัวบุคลิกน่าเกรงขามตรงหน้าผู้นี้จะเป็นหนุ่มน้อยใบหน้าหล่อเหลาของแคว้นหวาในครานั้น เพราะเหตุนี้จึงแสดงท่าทีระแวดระวังมู่ชิงอีขึ้นมาทันที
“อัครมหาเสนาบดีกู้มีความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย ข้านับถือนัก หากมีโอกาสยังอยากขอคำชี้แนะ ขออัครมหาเสนาบดีกู้โปรดให้คำชี้แนะด้วย” มู่หรงเค่อเอ่ยพลางหัวเราะเสียงสูง ถึงแม้เบื้องหน้าจะดูสนิทสนมกลมเกลียว แต่ความเป็นจริงมู่หรงเค่อกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นคนของตระกูลกู้แคว้นหวา ตระกูลกู้ถูกฮ่องเต้แคว้นหวาฆ่ายกครัว ทว่าในแคว้นเย่ว์ลูกหลานของตระกูลกู้กลับขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี เรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วทั้งใต้หล้าว่าเชื้อพระวงศ์ของแคว้นหวากีดกันคนเก่ง ฮ่องเต้แคว้นหวายอมรับขุนนางที่มีความสามารถไม่ได้
มู่ชิงอียิ้มกว้างเอ่ย “ฝูอ๋องชมกันเกินไปแล้ว กระหม่อมก็แค่บังเอิญเข้าตาฝ่าบาทก็เท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจดั่งที่ท่านว่าไว้เลย”