“อัครมหาเสนาบดีกู้ถ่อมตนเกินไปแล้ว” ฝูอ๋องยิ้มเอ่ย
ถึงอย่างไรฝูอ๋องก็รู้สึกดีกับหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้าอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นกู้หลิวอวิ๋นหรือจังชิง เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงแคว้นหวาครานั้นกระพือข่าวใหญ่โตเกินไปจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ในทางกลับกันเพราะเหตุการณ์ในปีนั้นถึงกล่าวได้ว่าเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่ของเชื้อพระวงศ์แคว้นหวา สุดท้ายผลประโยชน์กลับตกมาอยู่ในมือขององค์ชายคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานและถูกมองข้ามอย่างเขาเสียได้ หากไม่ใช่เพราะเหล่าองค์ชายแคว้นหวาเจ็บป่วยล้มตายไป เรื่องเป็นตัวแทนทูตมาแคว้นเย่ว์ครั้งนี้ก็คงไม่ใช่เขา
ในขณะเดียวกันมู่ชิงอีเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังฝูอ๋องผู้นี้แต่อย่างใด ในเมื่อช่วงนั้นองค์ชายที่มีความสัมพันธ์ซึ่งนับว่าไม่แย่กับพี่ชายของนางก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้รับความสำคัญจึงไม่มีความแค้นใดกับตระกูลกู้ บางทีอาจเพราะสิ่งแวดล้อมที่เติบโตมาท่านอ๋องผู้นี้จึงไม่มีท่าทีผยองโอหังเฉกเช่นองค์ชายคนอื่นๆ ทว่ากลับเข้ากับคนอื่นได้ง่ายซึ่งหาได้ยากนัก
“ท่านอ๋องเดินทางรอนแรมมาไกลเหนื่อยมาตลอดทาง หลิวอวิ๋นไม่ขอรบกวนท่านอ๋องแล้วดีกว่า เชิญท่านอ๋องพักผ่อนก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าเฝ้าฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงอียิ้มเอ่ยพร้อมลุกขึ้นยืน
รู้ว่าธุระของเขาเยอะ ฝูอ๋องจึงไม่ได้รั้งแต่อย่างใด ลุกขึ้นยืนตามแล้วยิ้มกล่าว “เช่นนั้นข้าไม่ไปส่งแล้วกัน” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “เชิญท่านอ๋องพักเถิด”
“ข้าไปส่งอัครมหาเสนาบดีกู้เอง” จ้าวจื่ออวี้ลุกขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึมพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ ฝูอ๋องเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ยิ้มกล่าว “เช่นนั้นก็ดี”
มู่ชิงอียิ้มบางอย่างไม่ใส่ใจ เพียงแค่เอ่ยว่า “เช่นนั้นต้องลำบากอานซีจวิ้นอ๋องแล้ว”
หลังจากร่ำลาฝูอ๋อง พวกเขาสามคนก็เดินออกจากสถานทูตอย่างเงียบๆ หลังจากออกจากประตูมาจ้าวจื่ออวี้ก็ไม่มีท่าทีจะกลับเข้าไปแต่อย่างใด มู่ชิงอีหันไปมองเซี่ยซิวจู่ที่อยู่ข้างกายตนแวบหนึ่งพลางลอบถอนหายใจ เพียงแค่แวบเดียวจ้าวจื่ออวี้ยังจำนางได้ แล้วเหตุใดจะจำเซี่ยซิวจู๋ที่เติบโตมาด้วยกันมิได้เล่า นางจึงเดินก้าวนำหน้ามุ่งไปตรงจุดที่คนไม่พลุกพล่านอย่างช้าๆ
“จวิ้นอ๋อง? มีเรื่องอันใดอยากพูดอย่างนั้นหรือ” หลังจากเดินมาในตรอกเปลี่ยวมุมหนึ่ง มู่ชิงอีก็หยุดฝีเท้าลงก่อนหันไปเอ่ยถามจ้าวจื่ออวี้ จ้าวจื่ออวี้เลิกคิ้วมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่ จังชิงหรือกู้หลิวอวิ๋น หรือ…ไม่ใช่ทั้งคู่” คนอื่นอาจไม่รู้ จ้าวจื่ออวี้อยู่เมืองหลวงแคว้นหวามานาน ตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจ้าวและตระกูลกู้ก็ไม่ได้แย่ เหตุใดจะไม่รู้เรื่องที่กู้หลิวอวิ๋นอายุสั้นเล่า
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “บัดนี้ข้าอยู่ในแคว้นเย่ว์ ข้าเป็นใครแล้วอานซีจวิ้นอ๋องจะสนใจไปทำไมกัน จวิ้นอ๋อง ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่เล่า”
จ้าวจื่ออวี้แค่นเสียง ฉับพลันก็เหวี่ยงมือหมายฟาดไปทางมู่ชิงอี เซี่ยซิวจู๋ที่อยู่ด้านหลังดึงตัวมู่ชิงอีออกในคราวเดียวก่อนรับมือกับจ้าวจื่ออวี้ด้วยมือเดียว ทว่าไม่ได้ตอบโต้กลับ ชั่วขณะนั้นก็ถูกจ้าวจื่ออวี้ไล่ต้อนไปด้านหลัง แต่จ้าวจื่ออวี้ไม่ได้ต้อนจนมุมเสียทีเดียว ขณะที่เหวี่ยงมือหมายตบไปที่หัวใจของเซี่ยซิวจู๋จู่ๆ ก็ชะงักมือกลางคัน จับจ้องเซี่ยซิวจู๋ก่อนเอ่ยเสียงเย็นชา “เป็นท่านจริงๆ ด้วย”
เซี่ยซิวจู๋ถอนหายใจ ยกมือขึ้นถอดหน้ากากบนใบหน้าออก ใบหน้าสะอาดหมดจดจับจ้องไปทางจ้าวจื่ออวี้ด้วยสายตาซับซ้อน ครั้นเห็นใบหน้าของเซี่ยซิวจู๋ แววตาของจ้าวจื่ออวี้ก็มีประกายความสบายใจผุดขึ้นมา แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ แค่นยิ้มมองไปทางเซี่ยซิวจู๋เอ่ย “ดีเหลือเกิน เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์วังหน้าแคว้นหวา เป็นถึงศิษย์พี่ของอานซีจวิ้นอ๋อง ทว่ากลับวิ่งแจ้นมาเป็นองครักษ์ให้คนอื่น ตอนนั้นท่านเองก็จงใจปล่อยพวกเขาไปด้วยกระมัง”
เซี่ยซิวจู๋เอ่ยอย่างจนใจ “ศิษย์น้อง…” เซี่ยซิวจู๋ละอายใจต่อเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ตอนนั้นเขาปล่อยพวกมู่ชิงอีไป อีกทั้งยังสร้างเรื่องหนักใจให้จ้าวจื่ออวี้พอควร
จ้าวจื่ออวี้มองเขาแล้วเอ่ย “ข้าลืมไป ตอนนี้ท่านไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ติดตาม แต่ท่านเป็นถึงหัวหน้ากองทัพประจำเมืองหลวงแห่งแคว้นเย่ว์ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์องค์ใหม่ทำอะไรไร้กฎเกณฑ์ หากท่านยังเห็นข้าเป็นศิษย์น้องอยู่ละก็ หลังจบพิธีขึ้นครองราชย์ก็กลับไปกับข้าเสีย”
เซี่ยซิวจู๋ส่ายศีรษะเอ่ย “ไม่ได้”
ในเมื่อเขารับปากกับหรงจิ่นแล้วว่าจะคอยปกป้องมู่ชิงอีย่อมไม่มีทางผิดคำพูดเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นเขาตอบแทนบุญคุณของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไปแล้ว เขาไร้หนทางจะเห็นพ้องต้องกับวิธีจัดการเรื่องต่างๆ ของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ หากเทียบกับเป็นหัวหน้าองครักษ์ที่ได้รับความยำเกรงจากทุกคนยามอยู่ในวังหลวงแคว้นหวา เขากลับชอบใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองชอบในแคว้นเย่ว์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นมู่ชิงอีหรือหรงจิ่นต่างไม่เคยมองเขาเป็นองครักษ์เลยสักนิด อีกทั้งยังให้อิสระเขามากมาย ถึงแม้จะต้องใช้ชีวิตโดยพึ่งพาคนอื่น แต่เซี่ยซิวจู๋กลับรู้สึกมีอิสระและเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่เล็กจนโต เพียงแต่…รู้สึกผิดต่ออาจารย์ที่คอยชี้แนะตนมาตลอด รวมถึงศิษย์น้องที่เป็นห่วงตนมาตลอดด้วย
จ้าวจื่ออวี้โมโหถึงขีดสุด “ช่างไร้ยางอายนัก เช่นนั้นก็ลงมือเถิด”
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เซี่ยซิวจู๋ก้มหน้าลงพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
จ้าวจื่ออวี้แค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะชักดาบพุ่งใส่เซี่ยซิวจู๋ เซี่ยซิวจู๋เบี่ยงตัวหลบ จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ปะทะฝีมือกันอีกครั้ง ครั้นเห็นพวกเขาสองคนฟาดฟันกันอย่างดุเดือดในตรอกเล็กๆ เช่นนั้น มู่ชิงอีจึงทำได้เพียงพิงข้างกำแพงดูการต่อสู้อย่างเบื่อหน่าย
“เอ๊ะ เหตุใดถึงสู้กันเล่า” บนโลกนี้ไม่มีวันขาดคนไร้สีสันแน่นอน ไม่นานบุคคลลึกลับที่ชอบผลุบๆ โผล่ๆ อย่างคุณชายเหวินหวาไท่สื่อเหิงที่ไม่รู้ว่าหนีหายไปไหนเมื่อหลายวันก่อนก็กระโดดลงมาจากหลังคาจรดเท้าลงข้างกายมู่ชิงอีพอดิบพอดีพร้อมยิ้มตาหยี
“……”
“อ้าว แม่นางมู่ ไม่เจอกันนาน” คุณชายไท่สื่อเหิงไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด แถมยังทักทายนางอย่างคุ้นเคย ทำเอามู่ชิงอีหมดคำพูด จากนั้นก็ก้มหน้ามองชุดคลุมสีขาวปักลายเมฆสีเงินบนกายแวบหนึ่ง “คุณชายไท่สื่อ คนฉลาดมักอยู่ได้ไม่นาน” เหมือนว่านางจะไม่เคยบอกตัวตนให้ไท่สื่อเหิงรู้มาก่อน แต่พอเห็นท่าทีที่เขาแสดงออกมาราวกับว่ามันควรเป็นเช่นนั้น ดูท่าทางไม่ใช่ว่าเพิ่งรู้แน่นอน
ไท่สื่อเหิงลูบจมูกยิ้มกล่าว “คือว่า…เมื่อก่อนแม่นางมู่ยังมีแก่ใจต้อนรับข้า เหตุใดเวลานี้ถึงทำหน้าทำตาไร้อารมณ์เช่นนี้เล่า หรือข้าจะขอเวลาไตร่ตรองไม่ได้เลยหรือ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วกล่าว “การไตร่ตรองของคุณชายไท่สื่อคือการพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินตามสืบตัวตนของข้าอย่างนั้นหรือ”
“แหะๆ” คุณชายไท่สื่อยิ้มเจื่อน ไม่พลิกตามสืบได้ที่ไหนกัน ติดตามเจ้าเมืองเทียนเชวียกับติดตามฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ถึงแม้จะต้องเป็นวัวเป็นม้าให้เขาเหมือนกัน แต่ค่าตอบแทนกับอนาคตแตกต่างราวฟ้ากับเหว ไท่สื่อเหิงไม่มีทางพูดแน่นอน เขาใช้เวลาตั้งสองสามเดือนกว่าจะสืบเรื่องทุกอย่างจนกระจ่างซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กระทั่งตกตะลึงกับสองคนนี้ไปพักใหญ่ สุดท้ายพอขบคิดได้ว่าหากวันใดพวกเขาสองคนรู้ว่าตนตามสืบเบื้องหลังพวกเขาละก็ต้องลงมือฆ่าปิดปากตนแน่นอน หลังจากคุณชายเหวินหวาเก็บตัวขบคิดมาสามวันสามคืนแล้วเลยตัดสินใจเป็นฝ่ายมาขอเข้าพวกอย่างรู้งานจะดีกว่า
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “ความจริงข้าจะบอกว่าเห็นแก่มิตรภาพระหว่างท่านกับพี่สาว หากคุณชายไท่สื่อไม่เต็มใจก็ช่างเถอะ แต่…ใครใช้ให้คุณชายไท่สื่ออยากรู้อยากเห็นเกินไปเล่า พอดีเลย ตอนนี้ในมือข้ามีตำแหน่งหนึ่งว่างอยู่ คุณชายไท่สื่อต้องสนใจอย่างแน่นอน”
ไท่สื่อเหิงดวงตาเป็นประกาย “อาลักษณ์บันทึกประวัติศาสตร์หรือ”
อาลักษณ์บันทึกประวัติศาสตร์ก็ดีสิ สิ่งสุดยอดของอาลักษณ์บันทึกประวัติศาสตร์ก็คือสามารถบันทึกเรื่องในปัจจุบันถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ แถมยังใช้สถานะของเขาขุดคุ้ยความลับที่ใครๆ ต่างไม่รู้ได้ด้วย จากสมญานามผู้รอบรู้ในยุทธภพก็เลื่อนขั้นเป็นผู้รอบรู้ในใต้หล้าแทน
มู่ชิงอีผุดรอยยิ้มเย็นชาข้างมุมปาก “ขุนนางฝ่ายตรวจการต่างหาก วันข้างหน้าคงต้องลำบากคุณชายไท่สื่อแล้ว”