ที่ว่างด้านนอกโถงใหญ่มีขุนนางใหญ่และเหล่าคนในเชื้อพระวงศ์ยืนกันแน่นขนัด อีกทั้งยังไม่มีเก้าอี้นั่งแต่อย่างใด แต่เวลานี้ทุกคนจะเลือกมากจุกจิกไม่ได้เลยทำได้แค่ยืนจับกลุ่มหลบมุมแลกเปลี่ยนข่าวสารของแต่ละคนไป เพื่อหาความกระจ่างให้ได้ว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ท่านพ่อ ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” หรงยางประคองหรงเซวียนเดินเข้ามาอย่างช้าๆ พลางเอ่ยถามเสียงเบา ดึกดื่นมืดค่ำขนาดนี้แต่จู่ๆ ฝ่าบาทกลับทรงเรียกทุกคนมาที่จวนว่าการเฟิ่งเทียน ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน
หรงเซวียนเอ่ยเสียงเรียบ “หลายวันมานี้เจ้าไปยุ่งกับคนพวกนั้นหรือไม่” หลังจากกินยาที่มั่วเวิ่นฉิงให้มา สุขภาพของเขาก็ดีขึ้นไม่น้อย ถึงแม้จะยังไม่แข็งแรงแต่ดีกว่าเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยหอบอย่างในวันวานมากแล้ว
“ลูกจำคำกำชับของท่านพ่อได้ ลูกมิกล้าขัดคำสั่ง” หรงยางเอ่ยอย่างนอบน้อม ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีตกใจ “ท่านพ่อ…หมายถึง…”
“ไม่พ้นเรื่องนี้หรอก” หรงเซวียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
หรงยางรู้สึกเพียงเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นบนหน้าผากเป็นระยะ หากไม่ใช่เพราะคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าของบิดาเมื่อหลายวันก่อน ไม่แน่เขาคงหวั่นไหวไปกับพวกพี่น้องเหล่านั้นจนร่วมก่อเรื่องด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็นับว่าตน…โชคดีแล้ว
“จวงอ๋อง” พอเห็นหรงเซวียนก็มีคนไม่น้อยทยอยเข้ามาทำความเคารพ พร้อมแฝงไปด้วยเจตนาที่อยากจะถามไถ่ข่าวคราวว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากหรงเซวียนถูกวางยาก็สุขภาพทรุดลงมาก รวมถึงนิสัยสุขุมขึ้นและปล่อยวางทุกอย่างลงไม่น้อย พูดคุยอยู่นานทว่าทุกคนก็ยังคงไม่ได้ข้อมูลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง สุดท้ายเลยทำได้แค่ขอตัวออกมาอย่างเศร้าใจ
“ดูท่าทางฝ่าบาทคงอยู่ด้านใน” หรงยางเอ่ยอย่างประหลาดใจ องครักษ์วังหน้าคุ้มกันอยู่หน้าประตูโถง ฝ่าบาทต้องอยู่ด้านในแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่า…หรงยางพลันนึกถึงยามที่เจอหนุ่มน้อยใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนดั่งลมฤดูใบไม้ผลิที่จวนตระกูลกู้ในครานั้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า
“อัครมหาเสนาบดีกู้มาถึงแล้ว!” รถม้าคันหนึ่งหยุดลงตรงหน้าประตูที่ว่าการเฟิ่งเทียน จากนั้นบุรุษหนุ่มที่ใส่หน้ากากคนหนึ่งและบุรุษที่ดูท่าทางสง่าอ่อนโยนสวมชุดสีฟ้าก็กระโดดลงจากรถม้าพร้อมกัน ทุกคนต่างรู้จักบุรุษสวมหน้ากากกันไม่น้อยเพราะเขาเป็นหัวหน้าของกองทัพประจำการเมืองหลวงในเวลานี้ ทว่าบุรุษชุดสีฟ้าผู้นั้นกลับไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด
ไท่สื่อเหิงมองคนท่ามกลางความมืดมิดตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ล้วนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่และตระกูลทรงอิทธิพลที่หาพวกหนุนหลังทั้งนั้น พลันอดยิ้มกล่าวไม่ได้ว่า “เรื่องใหญ่ไม่เบา ใต้เท้ากู้โปรดลงรถเถิด”
มู่ชิงอีที่อยู่ในรถม้ายิ้มบางกล่าว “คุณชายไท่สื่อตื่นเต้นน่าดู”
ไท่สื่อเหิงอมยิ้มไม่พูดอะไร คนที่มีงานอดิเรกชอบขุดคุ้ยเรื่องความลับของคนอื่นมักมีนิสัยชอบดูละครสนุกๆ อยู่แล้ว ไท่สื่อเหิงก็ไม่ต่างเช่นกัน บัดนี้เรื่องลุกลามใหญ่โต หรือเพราะใกล้พิธีขึ้นครองราชย์เข้ามาทุกที ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์องค์ใหม่เลยคิดจะระเบิดอารมณ์เพื่อสาวงาม?…พ่อบุรุษหนุ่มเอ๋ย
เซี่ยซิวจู๋แหวกม่านเปิดออก มู่ชิงอีลงมาจากรถม้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน ครั้นเงยหน้าเห็นเหล่าคนที่กำลังรอด้วยท่าทีร้อนใจก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้
“อัครมหาเสนาบดีกู้สบายดีหรือไม่”
“คารวะอัครมหาเสนาบดีกู้”
“อัครมหาเสนาบดีกู้…” มีใครไม่รู้บ้างว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นคนโปรดของฮ่องเต้องค์ใหม่ ชั่วเวลานั้นทุกคนต่างทยอยเดินหน้าเข้ามาทักทายไม่ขาดสาย มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ร้อนใจอะไรพร้อมทำความเคารพกลับทุกคนด้วยท่าทีสุขุม ทุกอิริยาบถช่างสง่างดงาม
“ใต้เท้ากู้ ฝ่าบาทเชิญให้ท่านรีบเข้าไป” เจี่ยงปินเดินออกมาจากโถงใหญ่อย่างรีบร้อน เอ่ยขึ้นด้วยท่าทียำเกรง
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “เข้าใจแล้ว ลำบากท่านขันทีแล้ว”
เจี่ยงปินรีบกล่าว “มิบังอาจ เชิญใต้เท้ากู้เถิด”
“ใต้เท้าทุกท่าน ข้าขอเสียมารยาทก่อนแล้วกัน” มู่ชิงอีประสานมือให้ทุกคนแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินตามเจี่ยงปินเข้าไปในโถงใหญ่ เหลือไว้เพียงสายตาที่แตกต่างกันไปของทุกคนและเริ่มเปิดประเด็นถกเถียงกันอยู่ด้านหลัง เจี่ยงปินเป็นขันทีติดตามรับใช้อดีตฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ บัดนี้พออดีตฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เสด็จสวรรคตแล้วก็ยังอยู่รับใช้ข้างกายฝ่าบาท ถึงแม้จะเป็นขันทีแต่กลับได้รับความไว้ใจจากฝ่าบาท หลายปีมานี้ใครเคยเห็นเจี่ยงปินแสดงท่าทีเกรงใจนอบน้อมกับขุนนางคนใดบ้าง เวลานี้เลยยิ่งเห็นความสำคัญของกู้หลิวอวิ๋นที่มีต่อฝ่าบาท
ภายในโถงใหญ่
หรงเหยี่ยนและหรงซิงนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ด้านล่างอย่างเงียบเชียบ พลางมองหรงจิ่นที่นั่งเอนกายปิดตาอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน จากนั้นก็มองไปทางหรงฮ่าวที่นอนอยู่บนพื้นขยับตัวไม่ได้ อารมณ์ก็ยิ่งนิ่งขรึมขึ้นมาทันที แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคนที่นั่งอยู่ด้านบนถึงสร้างความรู้สึกกดดันให้พวกเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลันชวนให้พวกเขาสองคนลอบเสียววาบในใจ ไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าหรงจิ่นจะมีบุคลิกเช่นนี้ด้วย!
ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทในเดิมทีถูกผลักมาจากด้านนอก มู่ชิงอียืนมองทุกคนที่อยู่ด้านในตรงหน้าประตู
“จื่อชิง รีบเข้ามาเร็ว” หรงจิ่นที่ปิดตาพักผ่อนมาตลอดพลันลืมตาแล้วกวักมือเรียกมู่ชิงอี
มู่ชิงอีเอือมระอา แต่ก็ทำได้แค่ย่างกรายขึ้นบันไดสูงมาตรงหน้าโต๊ะตามคำสั่งของเขา หรงจิ่นยื่นมือมาลากตัวมู่ชิงอีไป “ดึกดื่นขนาดนี้แล้วจื่อชิงจะมาทำไมอีก นั่งลงคุยกันก่อนเถิด” มู่ชิงอีแอบถอนหายใจ จากนั้นก็เห็นท่าทีไม่สบอารมณ์ที่พาดผ่านบนใบหน้าของหรงซิงในสายตา เอ่ยยิ้มบาง “ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ขุนนางระดับหนึ่งขึ้นไปมาเข้าเฝ้าที่นี่มิใช่หรือ”
หรงจิ่นแน่นิ่งไปแล้วยู่ปากเอ่ยอย่างหัวเสียว่า “เจ้าโง่ปู้อวี้ถัง!” เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จำเป็นต้องให้ชิงชิงออกจากจวนตอนมืดค่ำเสียที่ไหนกัน ถึงแม้พอเจอชิงชิงแล้วจะทำให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย แต่แค่นึกถึงว่าในตระกูลกู้ยังมีว่าที่พี่เขยที่รับมือด้วยยากแล้ว ฉับพลันหรงจิ่นก็นึกหดหู่ใจขึ้นมา
ปู้อวี้ถังย่อมไม่ได้โง่ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหรงจิ่นไม่อยากให้มู่ชิงอีมา แต่พอเห็นไอสังหารเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากร่างหรงจิ่นแล้ว ปู้อวี้ถังก็รู้ว่าเรื่องวันนี้คงไม่จบลงง่ายๆ แน่นอน ดังนั้นต่อให้หรงจิ่นกำชับว่าไม่ต้องเรียกมู่ชิงอีมา ถึงจะกำชับเขาก็ต้องแอบส่งคนไปบอกข่าวอยู่ดี ในเมื่อบัดนี้ภายในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ คนที่พอจะโน้มน้าวฝ่าบาทได้ก็มีแค่อัครมหาเสนาบดีกู้เพียงคนเดียว
มู่ชิงอีหลุบตาหัวเราะ จากนั้นก็มองสีหน้าประหลาดของหรงเหยี่ยนและหรงซิงเบื้องล่างแวบหนึ่ง รวมถึงหรงฮ่าวที่เหมือนถูกข่มให้กลัว เอ่ยถามขึ้นว่า “ดึกดื่นขนาดนี้ ฝ่าบาททรงเรียกคนมากมายมาทำไมหรือ พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงานหรือเพคะ”
หรงจิ่นพยักหน้ากล่าว “จื่อชิงพูดถูก พรุ่งนี้ทูตจากแคว้นเป่ยฮั่นมาถึง จื่อชิงต้องทำหน้าที่ต้อนรับ รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
ข้ากลับแล้วปล่อยให้ท่านฆ่าคนพวกนี้ทิ้งหมด? มู่ชิงอีหมดคำพูด ถอนหายใจเอ่ย “พรุ่งนี้กระหม่อมไม่ไป ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกลับไปเถิด อย่างน้อย…ขุนนางกรมพิธีการก็กลับไปก่อน จะเสียมารยาทต่อหน้าคนนอกไม่ได้” หากทำให้คนของกรมพิธีการตกใจขึ้นมาแล้วตอนไปต้อนรับทูตของแคว้นเป่ยฮั่นพรุ่งนี้อาจแสดงท่าทีสติหลุดหวาดกลัวขึ้นมา คนที่ขายหน้ามิใช่พวกเขาหรืออย่างไร
หรงจิ่นดวงตาเป็นประกาย เพราะทูตที่มาจากเป่ยฮั่นครั้งนี้ก็คือเกอซูฮั่นเจ้าคนน่ารังเกียจนั่น เขายังไม่ลืมว่าตอนที่อยู่แคว้นหวาเกอซูฮั่นเคยขอหมั้นหมายกับชิงชิง ถึงแม้จะถูกชิงชิงปฏิเสธแต่ก็จะดูแคลนไม่ได้ ชิงชิงไม่ชอบใจเขาเลยต้องจำยอม เพราะเหตุนี้หรงจิ่นที่อารมณ์ดีจึงโบกมือสั่งให้ขุนนางของกรมพิธีการไม่กี่คนและกรมที่ไม่สำคัญต่างกลับจวนไปนอน ซึ่งอยู่ที่ว่าพวกเขาจะนอนหลับหรือไม่แล้ว
ถึงแม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่กลับทำให้หรงเหยี่ยนและหรงซิงมองเห็นความสำคัญของกู้หลิวอวิ๋นที่มีต่อหรงจิ่นอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ยิ่งเป็นกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เพียงเพราะกู้หลิวอวิ๋นถูกลอบฆ่า เขาถึงขนาดเรียกคนในตระกูลทรงอิทธิพลทั่วทั้งเมืองหลวงมารวมตัวกัน กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เป็นตัวสร้างหายนะของบ้านเมืองเสียจริง