ในความจริงเป็นไปได้ที่จะมีความคิดเช่นนี้ เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะทุกคนไม่ได้ถือว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นอัครมหาเสนาบดีโดยสมบูรณ์ มิเช่นนั้น ต่อให้ไม่ใช่กู้หลิวอวิ๋น แต่การที่อัครมหาเสนาบดีถูกคนในราชวงศ์สังหารภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก แม้ว่าจะไม่ลงมือถึงขั้นนั้น แต่ก็ไม่มีทางที่จะยุติง่ายๆ เพียงแต่ในสายตาของหรงเหยี่ยนและคนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับในความเก่งกาจของกู้หลิวอวิ๋น แต่กลับเห็นว่าเขาเป็นคนที่ประจบประแจงจนได้รับความเอ็นดูมากกว่าผู้ที่เหมาะที่จะเป็นอัครมหาเสนาบดีชั้นสูง
หรงจิ่นลูบคิ้วพลางเหลือบมองหรงฮ่าวที่อยู่ข้างล่าง กล่าวด้วยความเหลืออดว่า “ไปถามซิว่าคนมากันครบแล้วหรือยัง” การได้ยินข่าวชิงชิงถูกลอบสังหารกลางดึกทำให้หรงจิ่นไม่พอใจเป็นอย่างมาก รู้สึกแย่ราวกับว่าสมบัติชิ้นเดียวที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ที่เขาได้ครอบครองเป็นเจ้าของและรักยิ่งกว่าตัวเองเกือบจะพังทลาย ความจริงแล้วการที่หรงจิ่นไม่ได้ชักดาบออกมาทันทีที่ถึงที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็นับว่าเขาอดทนมากแล้ว
เจี่ยงปินรับคำสั่งแล้วรีบออกไปดู ท่าทางรวดเร็วราวกับสายลมจนดูไม่ออกเลยว่าเป็นชายสูงอายุ
หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยงปินก็กลับมารายงาน “กราบทูลฝ่าบาท มากันครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนเหล่านั้น…ถูกควบคุมตัวอยู่ด้านนอกเพื่อรอคำสั่ง”
“ดีมาก” หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพอใจ มองไปยังห้องโถงอันกว้างขวางพลางกล่าวว่า “ที่นี่เล็กเกินไป ออกไปคุยข้างนอกดีกว่า เอาเสื้อคลุมให้อัครมหาเสนาบดีกู้ด้วย” แม้ห้องโถงของที่ว่าการเฟิ่งเทียนกว้างขวางต่อให้ยืนกันหลายสิบคนก็ไม่แออัด แต่ไม่มีที่ว่างสำหรับคนจำนวนมากที่อยู่ข้างนอก ดังนั้นองค์ชายเก้าจึงไม่ถือสาที่จะลดสถานะเพื่อออกไปข้างนอก
“ไม่ต้องหรอก” มู่ชิงอียกมือขึ้นห้ามเจี่ยงปินที่กำลังรีบหันไปหยิบเสื้อคลุม นางเพียงแค่ขี้หนาวในฤดูหนาว แต่ตอนนี้กลางเดือนสี่แล้วหากยังรู้สึกหนาวเย็นอยู่ก็คงต้องไปพบหมอกระมัง หรงจิ่นมองดูนางอย่างละเอียด ตรวจดูให้แน่ใจว่าสีหน้าแดงก่ำของนางไม่ได้มาจากความหนาว จากนั้นถึงได้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางจับมือมู่ชิงอีเดินออกไปด้านนอก
เมื่อเห็นเขาลุกขึ้น หรงเหยี่ยนกับหรงซิงก็ลุกขึ้นตาม แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่หรงจิ่นเดินลงบันไดมากลับไปหยุดยืนอยู่ข้างหรงฮ่าว ภายใต้สายตาประหลาดใจของทั้งสามคน หรงฮ่าวพลันถูกเตะออกจากห้องโถง
“ท่าน!” ในที่สุดหรงซิงก็ไม่สามารถระงับความโกรธได้อีกต่อไป
“น้องสิบ” หรงเหยี่ยนรีบคว้าหรงซิงที่ท่าทางเดือดดาลพลางส่ายหน้า หรงจิ่นหันมามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยเอ่ยถาม “ทำไม”
หรงซิงกัดฟันเอ่ย “แม้ว่าหรงฮ่าวจะทำผิดแต่ก็เป็นหลานแท้ๆ ของฝ่าบาท ฝ่าบาททำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
หรงจิ่นแสยะยิ้ม “ก็ยังไม่ตายไม่ใช่หรือ รอเขาตายก่อนเจ้าค่อยมาโวยวายกับข้า อีกอย่าง พ่อแท้ๆ ยังไม่เดือดร้อนเลย เจ้าจะเดือดร้อนไปทำไม”
“ฝ่าบาท” หรงเหยี่ยนก้าวขึ้นไปบังหรงซิงพลางกล่าวด้วยความเคารพ “น้องสิบอารมณ์ร้อน ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย”
“เหอะ!” หรงจิ่นเค่นเสียงแล้วจับมือมู่ชิงอีเดินออกไปข้างนอก ท่าทางหยิ่งยโสทำให้หรงซิงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “พี่สี่ ท่านดูสิ…”
“ฉึก” อาวุธลับที่มองแทบไม่เห็นผ่านหน้าของหรงซิงอย่างฉิวเฉียด หรงซิงรู้สึกเย็นวาบบนใบหน้า ยกมือขึ้นเช็ดก็พบว่ามีเลือดสีแดง หรงจิ่นที่เดินไปถึงหน้าประตูแล้วหันกลับมา มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หรงซิง ควบคุมปากตัวเองให้ดี มิเช่นนั้นข้าจะทำให้อ้าปากพูดไม่ได้อีก!”
ใบหน้าของหรงซิงซีดขาวลงทันที
ด้านนอก บรรดาผู้มีอำนาจทั่วทั้งแคว้นเย่ว์ยืนรออยู่ที่ลานกว้างด้วยความเป็นกังวลและสับสน หลังจากที่บรรดาเด็กหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคุณชายของแต่ละจวนอ๋องถูกข้าหลวงของที่ว่าการเฟิ่งเทียนควบคุมตัวให้คุกเข่าอยู่หน้าประตู สีหน้าของทุกคนก็เคร่งขรึมมากกว่าเดิม สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือหนึ่งในนั้นมีฟู่เอินโหวหรงไหวที่ถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กักบริเวณมาเป็นเวลานานแล้วอยู่ในนั้นด้วย ในชั่วขณะหนึ่งทุกคนแอบคาดเดาในใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้อาจไม่ง่าย
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในความมึนงง ประตูที่เดิมทีปิดสนิทอยู่ก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหันจากด้านในพร้อมวัตถุสีดำพุ่งออกมา ทุกคนพลันตกใจพากันรีบถอยหนีออกเป็นวงกว้าง เมื่อสิ่งนั้นตกลงพื้นพร้อมกับเสียงร้อง ทุกคนจึงมองเห็นชัดเจนว่าที่แท้นั่นคือหรงฮ่าวคุณชายสองจวนตวนอ๋อง
“น้องสอง เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ตวนอ๋องซื่อจื่อรีบเข้าไปถาม
หรงฮ่าวถูกเตะออกมาอย่างกะทันหัน เจ็บปวดจนไม่สามารถพูดออกมาได้อยู่นาน เพียงแต่จ้องมองตวนอ๋องซื่อจื่อที่อยู่ตรงหน้าด้วยตาเขม็ง
“มากันครบแล้วใช่หรือไม่” ด้านใน หรงจิ่นกับมู่ชิงอีเดินเรียงกันออกมา คนหนึ่งสวมชุดขาวคนหนึ่งสวมชุดดำ รูปร่างหน้าตางดงามเหมือนกันแต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันสิ้นเชิง หรงจิ่นที่สวมชุดดำเป็นเหมือนการจุติในคืนอันมืดมิด ให้ความรู้สึกเย็นชาผสมกลิ่นคาวเลือด ส่วนกู้หลิวอวิ๋นในชุดขาวทำให้คนรู้สึกถึงความอ่อนโยนพลอยอบอุ่นในหัวใจ สะอาดและสง่างามเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านใบหน้า แม้ว่าทั้งสองคนจะแตกต่างกันแต่เมื่อยืนอยู่ด้วยกันกลับทำให้คนรู้สึกถึงความกลมกลืนและเหมาะสมอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับแสงสว่างกับความมืด กลางวันกับกลางคืน ดวงอาทิตย์อันอบอุ่นกับดวงจันทร์อันหนาวเหน็บ ดูเหมือนจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ไม่สามารถขาดใครคนใดคนหนึ่งไปได้
“ถวายบังคมฝ่าบาท!” ทุกคนกล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
ข้างในมีองครักษ์สองสามคนยกเก้าอี้สองตัวออกมา ตัวหนึ่งวางอยู่บนขั้นบันไดนอกห้องโถงที่ว่าการเฟิ่งเทียน อีกตัวหนึ่งวางไว้ทางขวาในตำแหน่งที่ต่ำลงมาหนึ่งขั้น
หรงจิ่นนั่งลงอย่างเงียบเชียบ ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่ชิงอีนั่งในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจที่ชิงชิงไม่สามารถนั่งข้างเขาได้ แต่ก็รู้ว่านี่ต้องเป็นความตั้งใจของชิงชิงจึงไม่ได้พูดอะไร
“ลุกขึ้นเถิด” หลังจากผ่านไปนานหรงจิ่นก็เปิดปากพูดขึ้น
ทุกคนแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ขอบพระทัยฝ่าบาท” กล่าวขอบพระทัยพลางลุกขึ้น
หรงจิ่นพิงพนักเก้าอี้ เคาะนิ้วเรียวของเขาบนที่วางแขนเก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจ กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงให้พวกเจ้ามาที่นี่”
ทุกคนมองหน้ากัน กล่าวพร้อมกันว่า “ขอฝ่าบาทโปรดชี้แจงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นแสยะยิ้ม “หรงฮ่าว บอกไปสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป”
ในขณะนี้หรงฮ่าวนับว่าอาการดีขึ้นมาบ้าง เขารู้ว่าเหตุการณ์ไม่ค่อยดีนักเมื่อเห็นสถานการณ์ด้านนอกประตูเลยส่งสายตาไปยังหรงเหยี่ยนเพื่อขอความช่วยเหลือ หรงเหยี่ยนขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าอย่างหมดปัญญา หรงฮ่าวพลันหน้าซีด รู้ได้ทันทีว่าบิดาอาจจะทอดทิ้งตนแล้ว จึงได้รู้สึกลุกลนขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท…กระหม่อม กระหม่อมถูกใส่ความ…กระหม่อมถูกใส่ความ!”
“ดีเสียจริง!” หรงจิ่นจับจ้องหรงฮ่าวอย่างเย็นชา สองพยางค์นี้ดูเหมือนจะถูกเค้นออกมารอดไรฟันของเขา จ้องหรงฮ่าวอยู่นานก่อนจะถามว่า “หมายความว่า…เจ้าไม่ได้ลอบสังหารอัครมหาเสนาบดี?”
หรงฮ่าวพยักหน้าด้วยความตื่นตระหนกพลางตอบ “กระหม่อมถูกใส่ความ…กระหม่อมไม่ได้เป็นคนทำพ่ะย่ะค่ะ…”
“เช่นนั้นเสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่จะอธิบายว่าอย่างไร คุณชายสองจวนตวนอ๋องพาคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดดำเดินเล่นรอบๆ เมืองหลวงตอนกลางคืน? ตงฟังซวี่ เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้! ” หรงจิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ในฝูงชน ตงฟังซวี่ที่เดิมทียืนดูละครอย่างสบายอารมณ์สีหน้าเปลี่ยนทันที เดินออกมาด้วยสีหน้าขมขื่นพลางคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “กระหม่อมตงฟังซวี่คำนับฝ่าบาท!”
หรงจิ่นเลิกคิ้วถาม “อัครเสนาบดีของข้าถูกล้อมโดยมือสังหารหลายสิบคนในเมืองหลวง เรื่องนี้…กองทัพอวี่หลินของเจ้าจะอธิบายกับข้าอย่างไร” ตงฟังซวี่รู้สึกลำบากใจ เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าบรรดาองค์ชายกับหลานคนอื่นในเชื้อพระวงศ์เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้กล้าลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบันในเมืองหลวง แม้ว่ากองทัพอวี่หลินจะมีอำนาจมากในเขตเมืองหลวง แต่บรรดาองค์ชายและบรรดาหลานๆ เหล่านี้ก็เป็นคนในราชวงศ์ มักจะมีสิทธิพิเศษบางอย่างที่คนอื่นๆ ไม่มีเสมอ โดยเฉพาะในครั้งนี้ ถึงขั้นมีคนลอบสังหารกู้หลิวอวิ๋นแต่กองทัพอวี่หลินกลับไม่ได้รับข่าวใดเลย