บทที่ 24 ประธานลู่ ฉันไม่มีโรคประจำตัวอย่างที่คุณคิด
บทที่ 24 ประธานลู่ ฉันไม่มีโรคประจำตัวอย่างที่คุณคิด
เธอพยายามยกมือซ้ายขึ้น แต่ลู่เฉินก็กดฝ่ามือของเธอลง
“ไม่ ไม่ ไม่”
ลู่เฉินคนนี้เขาดูเหมือนจะเป็นผู้ชายที่ดี
…
หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งและกระตุกอีกครั้งหนึ่ง และในที่สุดการลงโทษก็สิ้นสุด
ซูโย่วอี๋เจ็บปวดไปทั้งตัวและใบหน้าของเธอซีดเซียว เธอมองใบหน้าที่หล่อเหลาห่างออกไปไม่กี่ฟุตด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
ก่อนค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบไม้ออกจากปาก
ลู่เฉินเห็นว่าเธอโอเคแล้วและไม่น่าจะมีปัญหาอีก จึงปล่อยมือจากมือของหญิงสาว
“ขอโทษที พอดีมันเรื่องด่วนน่ะ”
ดวงตาของลู่เฉินเป็นกังวล “ผมอยากจะถามว่าคุณป่วยเป็นโรคประจำตัวอะไรอยู่หรือเปล่า หมายเลข 23”
ซูโย่วอี๋อยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา และเกือบจะกระอักเลือดออกมา
โรคประจำตัว?
สุนัขจิ้งจอกทำให้เธออับอายขายหน้าจริง ๆ
เธอพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่เธออ้วนจึงลุกขึ้นได้เพียงครึ่งเดียว และมือของเธอก็อ่อนยวบ ก่อนจะหงายหลังลง
ดวงตาทั้งสี่สบกัน
สถานการณ์นี้มันน่าอายมาก
สวรรค์ คุณปล่อยให้ลู่เฉินออกไปก่อนได้ไหม
ลู่เฉินเอนตัวลงเล็กน้อยแล้วพยุงเธอขึ้น “ลุกได้ไหม เดี๋ยวผมช่วยพาคุณไปนั่งตรงนั้น”
ซูโย่วอี๋พยายามลุกอย่างมาก เธอปล่อยมือจากลู่เฉินและก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว และนึกถึงคำพูดที่ลู่เฉินพูดกับเธอเมื่อกี้ และพูดขึ้นว่า “ประธานลู่ ฉันไม่มีโรคซ่อนเร้นอย่างที่คุณคิด คุณไปเถอะ ฉันไม่เป็นไร”
“ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ”
พอพูดจบ เธอก็ถึงกับกัดฟันกรอด ๆ
สีหน้าของลู่เฉินดูเย็นชา ดูไม่ออกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ “คุณหมอกำลังจะมาที่นี่ คุณจะต้องเข้ารับการตรวจอย่างละเอียด เขาจะคอยดูแลคุณในระหว่างถ่ายทำ”
ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการ เธอเพิ่งถูกไฟฟ้าช็อตไปนะ แล้วอย่างนี้จะถูกตรวจพบหรือเปล่า
“ต้องให้ผมอยู่ที่นี่ด้วยไหม”
เห็นได้ชัดว่าลู่เฉินไม่ต้องการอยู่ที่นี่ เพียงแค่ถามตามมารยาท
ซูโย่วอี๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ ๆ คุณลู่ คุณมีงานต้องทำอีกมาก คุณไปเถอะ”
ลู่เฉินพยักหน้าแล้วเดินออกไปสองก้าวแล้วหันกลับมา “อย่าคิดที่จะหนี หากคุณไม่ได้รับการตรวจ คุณจะถูกระงับจากการถ่ายทำรายการวาไรตี้นี้”
ด้านผู้ช่วยผู้กำกับที่รีบพาหมอไปหาซูโย่วอี๋ที่ในป่าก็ช่วยเธอกลับไปที่ห้องนั่งเล่นของหอพักเพื่อรับการตรวจ
ส่วนสุนัขจิ้งจอกนั่งดูเธออย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ด้านคุณหมอที่สวมแว่นตาดำพูดขึ้นว่า “ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”
ซูโย่วอี๋ “รู้สึกอึดอัดมาก”
อย่างแรกเธอถูกไฟฟ้าช็อตโดยเจ้าจิ้งจอก เป็นเวลาหนึ่งนาที สองเธอเพิ่งเสียหน้าต่อหน้าลู่เฉิน
หมอทำสีหน้าจริงจัง “เป็นอะไรไป”
…
หลังจากตรวจสอบแล้ว สรุปว่า ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องการผลตรวจอย่างละเอียด เธอต้องไปที่โรงพยาบาลและตรวจด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง
ผู้ช่วยใช้ประโยชน์จากเวลาว่างเพื่อรายงานสถานการณ์ของซูโย่วอี๋ให้เจ้านายทราบ เมื่อเขากลับมา เขาถือกระดาษมาหนึ่งแผ่นและปากกาติดมือมาด้วย
ผู้ช่วยยิ้มและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “คุณซู เพื่อสุขภาพของคุณ เราขอแนะนำให้คุณออกจากเกาะพร้อมกับเจ้าหน้าที่เพื่อไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณโอเคไหม?”
ซูโย่วอี๋อ้ำอึ้ง เธอเข้าใจการปฏิบัติของทีมถ่ายทำ แต่เธอไม่ได้ป่วยจริง ๆ ที่สำคัญคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอก็ไม่สามารถอธิบายให้ใครฟังได้
เธอรู้สึกทำอะไรไม่ถูก “ฉันสบายดีค่ะ”
จริง ๆ นะคะ ได้โปรดเชื่อฉันเถอะ
ผู้ช่วยยิ้มอย่างมืออาชีพและพูดว่า “โอเค ๆ งั้นนี่คือใบยินยอม กรุณาเซ็นชื่อด้วยครับ”
ซูโย่วอี๋อ่านดู มันเป็นเอกสารทางกฎหมายฉบับสมบูรณ์ที่ระบุว่าทีมงานของรายการให้บริการทางการแพทย์อย่างครบถ้วน แต่เธอปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ และเธอจะต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่สำหรับปัญหาสุขภาพของเธอที่อาจตามมา
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทีมงาน…
สมแล้วที่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์เป็นบริษัทใหญ่ พวกเขาคำนึงถึงปัญหานี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
ซูโย่วอี๋ถอนหายใจและหยิบปากกาขึ้นมาและเซ็นชื่อของเธอ “ตกลง”
เธอต้องการให้พวกเขาออกไปไว ๆ
ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากเฝ้าดูการถ่ายทอดสด
[เอ๋ ทำไมคุณหมอถึงพายัยอ้วนกลับมา?]
[เธอไปทำอะไรในป่า?]
[เธอเพิ่งไปกินมันฝรั่งทอดไปหนึ่งถุง คุณเชื่อไหม]
[วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า]
[ใครก็ได้บอกหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น]
[เธอเป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?]
หลังจากที่ทุกคนไปแล้ว ซูโย่วอี๋และเจ้าจิ้งจอกก็เผชิญหน้ากัน
เนื่องจากมีกล้องถ่ายอยู่ ซูโย่วอี๋จึงไม่ได้ทำพฤติกรรมผิดปกติใด ๆ และลุกขึ้นกลับไปที่หอพักอย่างเงียบ ๆ
ทันทีที่ประตูเปิดออก เฉินซีซีซึ่งกำลังอ่านการ์ตูนอยู่ก็มองเธอด้วยความประหลาดใจ “พี่สาว พี่ไปไหนมา ฉันหาพี่ไม่เจอเลย”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าให้เธอ “ไว้คราวหน้า ฉันจะบอกเธอนะ”
เมื่อเห็นฟูกเปล่าของเฉินซีซี หัวใจของเธอก็ยิ่งอึดอัด
เธอนอนลงบนฟูก หลับตาและเข้าไปในระบบที่เจ้าจิ้งจอกยืนอยู่อย่างสบายใจ
ใบหน้าของมันดูภาคภูมิใจ โดยไม่รู้ตัวว่าอารมณ์ของซู่จู่ของมันนั้นแย่แค่ไหน
ซูโย่วอี๋พุ่งตัวไปที่จิ้งจอกราวกับลูกศร และชกไปที่ท้องของมันด้วยสองหมัด
เจ้าจิ้งจอกกระโดดด้วยความโกรธ [ซู่จู่ ใจเย็นก่อน!]
“ฉันทนไม่ไหวแล้ว!”
[อ๊ากก ปล่อยนะ ปล่อย]
สองมือของซูโย่วอี๋นั้นเหมือนกับกำลังถอนขนไก่ ทั้งแข็งแกร่งและรวดเร็ว เมื่อเธอจับขนสุนัขจิ้งจอกได้ เธอพยายามถอนขนมัน และในไม่ช้าพื้นดินก็ปกคลุมไปด้วยขนจิ้งจอก
ขนเจ้าจิ้งจอกจริง ๆ…
หลังจากความโกรธของซูโย่วอี๋ลดลง
สุนัขจิ้งจอกก็เต็มไปด้วยความคับแค้นใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
อา ท่านพระเจ้าผู้สูงศักดิ์ ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่น่ากลัวจริง ๆ…
หลังจากระบายความโกรธเสร็จซูโย่วอี๋ก็พลิกตัวและผล็อยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูโย่วอี๋ตื่นนอนตอนเจ็ดโมงเช้า โทรศัพท์มือถือของทุกคนถูกยึดไปตอนที่มาที่เกาะ แต่โชคยังดีที่ในหอพักมีนาฬิกาปลุกอิเล็กทรอนิกส์ติดตั้งไว้
หลังจากเปลี่ยนชุดฝึกสีเหลืองของคลาส B แล้ว ซูโย่วอี๋ก็ปลุกเฉินซีซีก่อนจะออกไปและวางชุดฝึกของไว้ให้เธอที่ข้างเตียง
เธอต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารเช้า
ไข่ต้มสองฟองและนมพร่องมันเนยสำเร็จรูปบนโต๊ะคืออาหารเช้าทั้งหมดของเธอ
ในช่วงเวลานี้ ผู้คนลงไปที่โรงอาหารชั้นล่างเพื่อรับประทานอาหารเช้า
อวี๋ชิงจ้าวไม่แม้แต่จะมองซูโย่วอี๋
ส่วนหลินเจี้ยนและสาว ๆ ในหอพักคนอื่นต่างทักทายเธออย่างเป็นมิตร
อีกคนคือฉูรั่วฮวน ซึ่งตามจิกกัดเธอตลอด ไม่แม้แต่จะคุยกับเธอ
และแล้วก็มาถึงเวลาแปดนาฬิกาในพริบตา แต่ซูโย่วอี๋ก็ยังไม่เห็นเฉินซีซี
เธอจึงไปที่ห้อง และเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเธอยังคงนอนหลับอยู่
เด็กนี่ไม่สนใจใครจริง ๆ
“เฉินซีซี อาหารพร้อมแล้วนะ”
เฉินซีซีรู้สึกสับสน “ไหน ๆ ข้าวอยู่ไหน”
“พี่สาว ดูเหมือนฉันจะหิวนิดหน่อย” เฉินซีซีลุกขึ้นจากฟูก รวบผมของเธอ ซูโย่วอี๋สบเข้ากับดวงตาที่ไร้เดียงสาของเด็กสาว มันน่ารักมาก
ซูโย่วอี๋เร่งเร้า “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า เดี๋ยวก็ไปกินอาหารเช้าไม่ทันหรอก”
เฉินซีซีตบหน้าตัวเองแล้วพูดว่า “โอ้”
“พี่สาว รอฉันก่อน ฉันจะแต่งหน้าก่อน”
ซูโย่วอี๋ “…??”
ในที่สุดกระเป๋าสัมภาระของเฉินซีซีก็ถูกเปิดออก และหนังสือการ์ตูนก็มีมากกว่าครึ่งกระเป๋า นอกจากเสื้อผ้าส่วนตัวแล้วที่เหลือก็คือเครื่องสำอาง
เมื่อเห็นนาฬิกาชี้ไปที่เวลา 08:10 น. ซูโย่วอี๋รอแทบไม่ไหว “เฉินซีซี หยุดแต่งหน้า เราสายแล้ว”
เฉินซีซีขมวดคิ้ว “ไม่ เดี๋ยวก่อนพี่สาว ต่อหน้ากล้องจะดูไม่ดีไม่ได้”
ซูโย่วอี๋พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องตื่นแต่เช้า ตื่นสายแบบนี้เป็นการไม่ให้เกียรติผู้สอนและทีมงานรายการนะ”
เฉินซีซีหดคออย่างสำนึกผิด “ฉันจะรีบไปค่ะ”