บทที่ 62 อยากจะร้องไห้
บทที่ 62 อยากจะร้องไห้
เฉินซีซีดึงพี่สาวของเธอไปที่โซฟาแล้วนั่งลง “แม่คะ พ่อคะ วันนี้พวกเราเหนื่อยกันมากแล้ว มานั่งคุยกันเถอะ”
เฉินป๋อเฉียงมองไปที่ความใกล้ชิดของลูกสาวกับซูโย่วอี๋ก็รู้สึกประหลาดใจมาก
มีเด็กสาวหลายคนที่อายุใกล้เคียงกับซีซีในครอบครัวฝั่งพ่อ แต่เธอกลับไม่ชอบเล่นกับเด็กพวกนั้น ถึงอย่างนั้นเด็กสาวกลับสนิทสนมกับผู้หญิงที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างซูโย่วอี๋เนี่ยนะ
ชายวัยกลางคนพูด “ขอบคุณที่ดูแลซีซีมาตลอดนะ เธอได้เรียนรู้อะไรมากมายจากคุณ”
เป็นการรบกวนล่ะสิไม่ว่า
แต่ถึงอย่างนั้น ซูโย่วอี๋ก็ยินดีและพูดตอบกลับไปว่า “คุณลุงคะ ฉันยินดีค่ะ ซีซีเองก็ช่วยเหลือฉันตั้งหลายอย่าง”
เฉินซีซีรู้สึกว่าพี่สาวของเธอถ่อมตัวเกินไป “เราต้องขอบคุณพี่สิ ฉันไปอยู่ที่บ้านพี่ตอนออกจากเกาะตั้งหลายวัน แถมพี่ยังทำอาหารให้ฉันกิน ทั้งสอนฉันจัดที่นอน แล้วยังซื้อของให้ฉันด้วย”
คุณนายเฉินมองไปที่ลูกสาวของเธอแล้วพูดว่า “แม่รู้แล้ว ๆ”
ซูโย่วอี๋แอบขยิบตาให้เฉินซีซี และบอกให้เธอหยุดพูด แต่กระต่ายขาวตัวน้อยยังพูดเจื้อยแจ้ว ไม่มองเธอเลยด้วยซ้ำ
เหมือนกับเธอรอเวลานี้มานานที่จะบอกว่าซูโย่วอี๋ดีกับเธออย่างไร
ซูโย่วอี๋ที่ทนฟังก็หน้าเปลี่ยนสี
เธอออกไปตอนนี้เลยได้ไหม
บรรยากาศในห้องค่อนข้างอึดอัด
เฉินป๋อเฉียงสังเกตเห็นความไม่สบายใจของซูโย่วอี๋จึงขัดจังหวะ “คืนนี้แม่กับพ่อต้องกลับไต้หวัน เอาอย่างนี้ดีกว่า พ่อจะพาไปกินข้าวแล้วถือโอกาสเลี้ยงอาหารค่ำเป็นการขอบคุณ”
“เร็วจัง”
เฉินซีซีกล่าวว่า “พ่อกับแม่อย่าเพิ่งกลับได้ไหม หนูยังไม่ได้คุยกับแม่เลย”
คุณนายเฉินลูบหัวกระต่ายน้อยสีขาว “เดี๋ยวแม่มาหาใหม่นะ”
ซูโย่วอี๋ได้ยินว่าเธอต้องไปกินข้าวด้วย จึงรีบปฏิเสธทันที “ฉันมีนัดเลี้ยงฉลองกับสมาชิกในทีมน่ะค่ะ ไม่รบกวนคุณดีกว่า”
เฉินซีซีขมวดคิ้ว “ไม่ ๆ พี่สาว พี่เพิ่งปฏิเสธพวกเธอไปไม่ใช่เหรอ?”
นี่เธอ…
หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ!
ถ้าเธอไม่รู้ว่ากระต่ายขาวตัวน้อยเป็นคนซื่อบื้อแค่ไหน ซูโย๋วอี๋คงคิดว่าเฉินซีซีจงใจแกล้งเธอแน่ ๆ
หญิงสาวฝืนยิ้ม “ซีซี เธอได้ยินผิดแล้ว”
ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเฉินซีซีว่านี่เป็นข้ออ้างของซูโย่วอี๋ที่ไม่ต้องการกินข้าวกับครอบครัวของเธอ
ตึ๊ง!
[ภารกิจ: ให้ซู่จู่ไปกินอาหารเย็นกับครอบครัวของเฉินซีซี เพื่อให้พวกเขาพอใจ]
ซูโย่วอี๋รู้แจ่มแจ้งว่าระบบนี้มันห่วยแตก และภารกิจที่ปล่อยออกมานั้นทั้งฝืนความรู้สึก เข้าใจยาก หรือที่เธอไม่อยากทำ
แต่จะปฏิเสธได้ยังไง
เธอมองไปที่คุณนายเฉินอย่างคาดหวังและหวังว่าพวกเขาจะเชิญเธออีกครั้ง เพื่อที่ซูโย่วอี๋จะได้ไปทานอาหารเย็นตามที่ระบบบังคับ
เฉินป๋อเฉียงได้ยินที่ซูโย่วอี๋พูดก็คิดอยู่สักพัก เขาไม่ต้องการทำให้แขกลำบากใจ “ถ้าอย่างนั้น…”
ซูโย๋วอี๋กลัวว่าเขาจะไม่เชิญเธอจึงรีบพูดออกไปว่า “คุณลุง คุณป้าคะ ฉันคิดว่าพวกคุณกับเฉินซีซีไม่ได้เจอกันนาน เลยไม่อยากรบกวนเวลาอยู่ด้วยกัน ฉันเลยโกหก ขอโทษด้วยค่ะ”
คุณนายเฉินยิ้ม “ไม่รบกวนหรอกจ้ะ อีกอย่างเราก็เชิญลู่เฉินและคนจากทางรายการมาด้วย”
เมื่อได้ยินชื่อของลู่เฉิน ด้วยคำพูดเป็นกันเองมาก ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะใกล้ชิดกันมาก
ซูโย่วอี๋สามารถสรุปได้ว่าครอบครัวของลุงเฉินไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยธรรมดาแน่
“งั้นไปกันเถอะ รถรออยู่ข้างนอกแล้ว”
เฉินซีซีจูงมือพี่สาวออกมาอย่างมีความสุขและกระซิบใกล้หูของเธอ “ฮ่าฮ่า พี่สาว ฉันนึกว่าพี่จะไม่มาด้วยซะอีก ฉันอยากกินข้าวเย็นกับพี่จริง ๆ นะ”
กระต่ายน้อยเล่นตลกอะไร
ซูโย๋วอี๋ทำอะไรไม่ถูกและแสร้งทำเป็นโกรธ “คราวหน้าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ”
เฉินซีซีเกาะติดเธออีกครั้ง
คุณนายเฉินหันกลับมาเป็นครั้งคราวและพูดว่า “ที่รัก ซีซีดูเหมือนจะชอบเธอจริง ๆ”
เฉินป๋อเฉียงพยักหน้าและไม่พูดอะไร
รถจอดอยู่ที่โรงรถใต้ดิน ลิฟต์ภายในตรงไปที่ชั้นแปด และคนอื่น ๆ ก็มาถึงแล้ว
ซูโย่วอี๋ชำเลืองมองและเห็นว่าทุกคนที่มาล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโต
มีทั้งลู่เฉิน อาจารย์ทั้งสี่คน หัวหน้าผู้กำกับ และหัวหน้าทุกแผนกของรายการต่างก็มาอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อเฉินป๋อเฉียงเข้ามาในห้อง พวกเขาก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ประธานเฉิน คุณนายเฉิน สวัดสีครับ”
ลู่เฉินยืนอยู่ด้านหน้า “สวัสดีครับ คุณลุง คุณป้า”
“โตเป็นหนุ่มแล้วนะ หน้าตาหล่อเหลา แถมยังมีพรสวรรค์ เป็นคลื่นใต้น้ำของแม่น้ำแยงซี*[1]จริง ๆ ไม่เหมือนพวกเราที่ยิ่งแก่ตัวทุกวัน”
ลู่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะ “พวกคุณต่างหากครับที่อยู่ในช่วงที่ดีที่สุด ผมเทียบไม่ติดเลย”
ปลายสายตาของเขาหันไปที่ซูโย่วอี๋ซึ่งยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย เฉินป๋อเฉียงก็ขอให้ทุกคนนั่งลง
ในห้องมีโต๊ะอยู่สองโต๊ะ มีคนบริการยืนเว้นระยะด้วยสายตาที่รอให้คนโต๊ะหลักนั่งก่อน เฉินซีซีจึงดึงซูโย่วอี๋ไปข้างหน้า
ซูโย๋วอี๋ผลักเธอทันที “เธอไปคนเดียวเถอะ”
คุณนายเฉินเห็นดังนั้นจึงกวักมือเรียกพวกเธอ “โย่วอี๋ มานั่งข้างฉันกับซีซีสิ”
น้ำเสียงของคุณนายเฉินนั้นราบเรียบมาก เนื่องจากลูกสาวของเธอชอบซูโย่วอี๋ เธอจึงชอบซูโย่วอี่ด้วย
ถึงผู้คนในห้องดูเบาบาง แต่ก็ดูกลมกลืนกันมาก
เดิมทีฮันเอินจีต้องการนั่งกับคุณนายเฉิน แต่ตอนนี้เธอทำได้เพียงนั่งกับอาจารย์คนอื่นเท่านั้น
หลังจากพวกเขานั่งกันแล้ว แขกคนอื่น ๆ ก็จับจองโต๊ะอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่ใช่เพราะภารกิจ ซูโย๋วอี๋อยากจะหนีไปโต๊ะอื่นจริง ๆ
เฉินป๋อเฉียงเป็นคนรักไวน์ เขาเปิดขวดไวน์หลายขวด ซูโย่วอี๋เห็นอย่างนั้นก็ยิ้มเจื่อน ๆ ถึงยังไงเธอก็ไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว จึงได้แต่เทน้ำเปล่าลงในแก้วของตัวเอง เพื่อหาทางสร้างความพอใจให้กับแขก
ด้านเฉินซีซีก็แอบหยิบขวดไวน์อย่างลับ ๆ ล่อ ๆ และเดินออกไป แต่ทันใดนั้น คุณนายเฉินก็ได้ตะโกนว่า “เฉินซีซี วางมันลง”
เฉินซีซีอ้าปากค้าง “แค่จิบนิดหน่อยเองค่ะ”
“ไม่ได้”
ฮันเอินจียิ้ม “คุณป้าคะ คุณเข้มงวดกับซีซีเกินไป ฉันกับน้องชายดื่มตั้งแต่ตอนประถม”
คุณนายเฉินค่อนข้างทำอะไรไม่ถูก “ฉันไม่อยากให้เธอแตะต้องสิ่งเหล่านี้เร็วเกินไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่ในวัยต่อต้าน”
ในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยไวน์
เฉินป๋อเฉียงกล่าวว่า “ขอบคุณที่ดูแลสาวน้อยของเรานะครับ”
ก่อนหน้านี้ ทุกคนล้วนไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเฉินซีซี ถ้าจะบอกว่าดูแลเธอ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ที่เฉินป๋อเฉียงเน้นย้ำแบบนั้น มันเป็นเพราะว่าเขาต้องการบอกทุกคนว่าเฉินซีซีเป็นลูกสาวของ เฉินป๋อเฉียง และคุณควรปฏิบัติต่อเธอให้ดีกว่านี้
ลู่เฉินถือแก้วของเขายกขึ้นและพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าคุณไม่สนับสนุนให้เฉินซีซีเข้าวงการบันเทิงนี่ครับ”
นี่เป็นการสอบถามเฉินป๋อเฉียงให้แน่ชัดกับเส้นทางที่เฉินซีซีเลือกเดิน
เฉินป๋อเฉียงยิ้ม “แค่ตอนแรกน่ะ แต่พอเราเห็นว่าซีซีชอบเต้นมาก เราก็หยุดเธอไม่ได้”
“ฉันแก่แล้ว ถึงไม่อยากให้เธอเข้าวงการยังไง ก็คงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยและให้เธอทำในสิ่งที่เธอชอบ”
ซูโย่วอี๋อยากจะยึดมั่นหลักการนี้ในเรื่องการกินอาหารของเธอบ้าง แต่เธอก็ไม่อยากเข้าร่วมการสนทนา
ในตอนนี้ อาหารที่เธอกินได้มีจำกัด มีแค่โจ๊กกุ้งและสลัดผลไม้บนโต๊ะเท่านั้น
ทันใดนั้นปลาชิ้นหนึ่งก็ถูกวางลงในชาม
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น และเห็นว่าเป็นคุณนายเฉินที่มองมาที่เธอและพูดว่า “นี่เป็นปลาที่ปรุงด้วยวิธีพิเศษ เป็นเมนูแนะนำของที่นี่ เธอลองชิมดู”
ใบหน้าของเธอดูใจดีและน้ำเสียงของเธอก็อ่อนโยน
เป็นแม่ที่เธอเคยจินตนาการไว้
นั่นทำให้ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกพูดไม่ออก และตอบกลับอย่างแผ่วเบาว่า “ขอบคุณค่ะคุณป้า”
เธอจิ้มปลาด้วยตะเกียบของเธอ
‘สุนัขจิ้งจอก ฉันขอกินหน่อยได้ไหม’
‘ฉันไม่ได้อยากกินมันนะ’
‘แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจต่างหาก’
ฉันแค่ต้องการสัมผัสถึงความรักของพ่อแม่ ที่ไม่เคยได้สัมผัสในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือได้รับจากแม่ใจร้ายคนก่อน
สุนัขจิ้งจอกอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อน [กินซะ คุณแหกกฎได้ระหว่างทำภารกิจ]
ซูโย่วอี๋ผู้ไม่ได้กินอาหารมีรสชาติและน้ำมันมาเกือบเดือน ก็เคี้ยวมันทันที
รสชาตินี้มันทำให้เธออยากจะร้องไห้ แต่แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมมาจริง ๆ
[1] คลื่นใต้น้ำของแม่น้ำแยงซี ความว่า คนหนุ่มสาวไฟแรงมีความสามารถ